ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1160 ลี่เหยาและสวินเซิ่งจุน
บทที่ 1160 ลี่เหยาและสวินเซิ่งจุน
ลี่เหยาข่มความตื่นเต้นไว้ เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “เมื่อครู่นั้นคือสิ่งใดเจ้าคะ”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “บอกไม่ได้ ความลับนี้มิใช่สิ่งที่ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับผู้สร้างมรรคาจะได้สัมผัส อย่าได้แพร่งพรายออกไป ข้าสอนให้เพียงเจ้าเท่านั้น”
ลี่เหยาตื้นตันนัก มองหานเจวี๋ยด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความอ่อนหวาน
หลังจากมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่สิ้นสุดลง นางก็ไม่กล้าไปรบกวนหานเจวี๋ยส่งเดชอีก นางข่มกลั้นความปรารถนาในใจเอาไว้เสมอมา อยากจะไล่ตามหานเจวี๋ยให้ทันเพียงแต่ไม่เคยเอ่ยออกมา
“จำนวนผู้สร้างมรรคามีจำกัดหรือไม่เจ้าคะ” ลี่เหยาเอ่ยถาม
หานเจวี๋ยย้อนถาม “ไยจึงถามเช่นนี้เล่า”
“ผู้สร้างมรรคาเป็นอมตะมิวางวาย อยู่เหนือกฎเกณฑ์ ตัวตนที่แข็งแกร่งระดับนี้หากมีมากเกินไปเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดี อีกอย่างดินแดนเวิ้งว้างจะรองรับผู้สร้างมรรคามากมายปานนั้นไหวหรือ”
ลี่เหยาเล่าความกังวลของตนออกมา อันที่จริงมิใช่เพียงนางเท่านั้น ผู้ทรงพลังรายอื่นๆ ก็มีความกังวลเช่นนี้อยู่ นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดพวกเขาพยายามยื้อแย่งอยากสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาก่อน
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำกัดจำนวน มีเพียงข้อจำกัดเดียวคือระดับผู้สร้างมรรคายากจะพิสูจน์ให้สำเร็จได้ มิใช่สิ่งที่พึ่งพาเพียงความพยายามแล้วจะทำได้ นับตั้งแต่ฟ้าบุพกาลถือกำเนิดมาถึงปัจจุบันนี้ ใช้เวลามากน้อยเพียงใด ไม่รู้ผ่านมากี่ล้านล้านปีแล้ว แต่เพิ่งปรากฏผู้สร้างมรรคาทั้งหมดหกคนเท่านั้น เจ้าเพิ่งอายุแปดร้อยล้านกว่าปี หานฮวงเองก็เป็นเช่นนี้ พวกเจ้ารีบร้อนกันเกินไปแล้ว”
ลี่เหยาโล่งใจ ไม่จำกัดจำนวนคนก็ดีแล้ว
หลังจากได้รับคำชี้แนะจากหานเจวี๋ย นางก็บังเกิดความเชื่อมั่นขึ้นในใจ
ทั้งสองพูดคุยกันต่อไปอีกสักพัก นอกจากเรื่องบำเพ็ญเพียรแล้ว ก็มีอีกหัวข้อเดียวคือหานอวิ๋นจิ่น
ในฐานะมารดาผู้ให้กำเนิดของหานอวิ๋นจิ่น ตามปกติแล้วลี่เหยาไม่กังวลใจกับหานอวิ๋นจิ่นเลยและไม่ออกไปเยี่ยมเยือนเขาด้วย ล้วนเป็นเขาที่มาเยี่ยมคารวะมารดาเสมอ
หานเจวี๋ยเสนอให้ลี่เหยาออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกบ้าง หากคิดจะพิสูจน์ผู้สร้างมรรคามิใช่เรื่องที่ทำให้สำเร็จได้ในระยะเวลาไม่กี่ร้อยล้านปี ต้องหาเวลาผ่อนคลายจิตใจบ้าง อีกทั้งมีประโยชน์ต่อแนวคิดในการก่อตั้งกฎเกณฑ์
ลี่เหยาเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดท่านถึงพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาได้ในไม่กี่ร้อยล้านปีเล่า”
“คุณสมบัติของข้าเลิศล้ำ ข้ามีคุณสมบัติสุดยอดผู้แข็งแกร่ง หาไม่แล้วจะให้กำเนิดเทพมารอนธการได้อย่างไรเล่า”
“เจ้าค่ะ”
ลี่เหยาพลันรู้สึกว่าไม่ควรเอาตัวเองไปเทียบกับหานเจวี๋ยจริงๆ แต่หากเทียบกับคนอื่น ความก้าวหน้าของนางเรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่งแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าทัศนคติของนางเปลี่ยนไปแล้วจึงยิ้มด้วยความพอใจ
หลังหานเจวี๋ยออกไปได้ไม่นาน ลี่เหยาก็ออกจากอาณาเขตเต๋าไปเช่นกัน
นางไปเยี่ยมเยือนบุตรชายของตนก่อน
ณ มรรคาสวรรค์
หานอวิ๋นจิ่นตกใจกับความกรุณาของมารดาที่มาเยี่ยมเยือนกะทันหัน จนเกือบเสียกริยาแล้ว
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ลี่เหยามาหาเขาก่อน
หานอวิ๋นจิ่นเรียกตัวเหล่าภรรยาและบุตรธิดาที่ยังอยู่ข้างกายมารวมตัวกัน พาเข้ามาคารวะลี่เหยาทีละคนๆ
ลี่เหยาประหลาดใจมาก ไม่คิดเลยว่าบุตรชายจะเจ้าสำราญปานนี้
ปกติแล้วนางยุ่งง่วนกับการฝึกบำเพ็ญไม่ได้สนใจโลกภายนอกเลย โดยเฉพาะกับบุตรชาย ด้วยคิดว่าหานอวิ๋นจิ่นมีสำนักซ่อนเร้นหนุนหลังอยู่ไม่มีทางเผชิญอันตรายได้ ดังนั้นจึงไม่นึกห่วงเขาเลย
รอจนเหล่าภรรยาบุตรธิดาถอยออกไปแล้ว หานอวิ๋นจิ่นรินน้ำชาให้มารดาพลางเอ่ยถาม “ท่านแม่ ท่านมาด้วยเหตุใดหรือขอรับ มีธุระใดที่ต้องการไหว้วานลูกกระมัง”
ลี่เหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงทำตามที่ท่านพ่อของเจ้าแนะนำ หาเวลาออกมาเที่ยวเล่นบ้าง ท่านพ่อเจ้าชมเชยเจ้าให้แม่ฟัง แม่ฟังแล้วสงสัยว่าเจ้าเลิศล้ำขนาดนั้นจริงๆ น่ะหรือ ยามนี้ได้เห็นแล้วว่าเป็นความจริง มิน่าเล่าตระกูลหานถึงได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
หานอวิ๋นจิ่นหน้าแดงขึ้นมา กระแอมแล้วกล่าวว่า “แค่กๆ ท่านแม่ล้อเล่นแล้ว”
พื้นฐานของตระกูลหานเป็นเขาที่ตั้งต้นแตกกิ่งก้านสาขา หานทั่ว หานฮวง หานชิงเอ๋อร์และหานหลิงล้วนมิมีทายาทเลย จริงๆ หานฮวงมีแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดทราบถึงการมีตัวตนอยู่ของฉู่เสี่ยวชี
ลี่เหยาเริ่มสอบถามใส่ใจสถานการณ์ปัจจุบันของหานอวิ๋นจิ่น หานอวิ๋นจิ่นก็ตอบไปทีละข้อๆ
“เหตุใดไม่เริ่มบุกเบิกโลกมหามรรคของตนขึ้นเล่า เจ้าคิดจะอยู่ในมรรคาสวรรค์ไปอีกนานเพียงใด” จู่ๆ ลี่เหยาก็ถามขึ้นมา
หานอวิ๋นจิ่นผงะไป ถามด้วยความแปลกใจ “ข้าก็บุกเบิกโลกมหามรรคได้หรือขอรับ”
เขาคิดว่าตบะตนมาถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดมากอีก ถึงอย่างไรตนก็เป็นไม่แก่ไม่ตายแล้ว ซ้ำยังมีอำนาจล้นฟ้า ไยต้องฝึกบำเพ็ญอีกเล่า
หากเผชิญศัตรูที่แข็งแกร่ง เขาสามารถอาศัยกลุ่มอิทธิพลของตนไปต่อสู้ข่มศัตรูได้ ไม่จำเป็นต้องออกโรงเองเลย
ลี่เหยาขมวดคิ้วกล่าวไปว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้เหลวไหลเช่นนี้ รอจนลูกหลานตระกูลหานเก่งกล้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าคิดจริงๆ น่ะหรือว่าเจ้าจะรั้งตำแหน่งผู้นำตระกูลหานไปได้ตลอด”
หานอวิ๋นจิ่นเงียบไป
“ถูกต้อง ท่านพ่อ หากท่านไม่อยากแก่งแย่งชิงดี ไม่สู้มอบตำแหน่งผู้นำตระกูลหานมาให้ข้าดีกว่า!”
เสียงหัวเราะหนึ่งแว่วดังเข้ามา มองเห็นชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างองอาจผึ่งผาย
เขาเดินเข้ามาหยุดเบื้องหน้าลี่เหยา คารวะอย่างอ่อนน้อม เอ่ยว่า “หลานสวินเซิ่งจุนน้อมพบท่านย่า”
ลี่เหยาหรี่ตาลง นางย่อมจดจำสวินเซิ่งจุนได้ คนผู้นั้นที่สำแดงพลังยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์ในมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นหลานชายของตน
“สวินเซิ่งจุนหรือ เหลวไหล เจ้าตั้งชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร”
หานอวิ๋นจิ่นตะลึงงัน ถึงขั้นที่ค่อนข้างตระหนกแล้ว
สวินเซิ่งจุนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือฉายานามที่ข้าตั้งเองเมื่อไม่นานมานี้ เป็นอย่างไรขอรับ ท่านพ่อรู้สึกว่าน่าเกรงขามหรือไม่”
“โอหัง! วันหน้าห้ามเอ่ยนามนี้อีก!”
“เพราะอะไรกัน ขนาดลุงใหญ่ยังไม่คัดค้านเลย!”
“เจ้า…ไม่เชื่อฟังข้าแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ท่านพ่อ ข้าเติบใหญ่แล้ว วาจาเมื่อครู่หาใช่การล้อเล่นไม่!”
สวินเซิ่งจุนโต้เถียงขัดแย้งกับหานอวิ๋นจิ่น สีหน้าเปี่ยมความเย่อหยิ่ง
ในเวลานี้เอง แรงกดดันน่าหวาดหวั่นเข้าครอบงำ กดทับจนสวินเซิ่งจุนจนคุกเข่าลงไปในทันที ร่างกายสั่นสะท้าน เขามองไปที่ลี่เหยาด้วยความผวาตกใจ
“ท่านย่า…”
“ไร้มารยาทเช่นนี้ เห็นทีว่าบิดาเจ้าจะไม่ได้อบรมสั่งสอนเจ้าให้ดี”
ลี่เหยาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สวินเซิ่งจุนตระหนกอยู่ในใจ เขาไม่คิดเลยว่าท่านย่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้
หานอวิ๋นจิ่นโล่งอกอยู่คนเดียว
เขาสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยขึ้นว่า “ไสหัวออกไปซะ ทบทวนตัวเองให้ดี”
สวินเซิ่งจุนคิดจะถอยออกไป ทว่าไม่อาจขยับเขยื้อนได้
“เขาแข็งข้อกับเจ้าเช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะปกป้องเขาอีกหรือ” ลี่เหยามองหานอวิ๋นจิ่นอย่างไม่พอใจ
หานอวิ๋นจิ่นกล่าวอย่างจนใจว่า “ไม่ใช่ครั้งแรกไอ้ลูกทรพีคนนี้ทำตัวเช่นนี้ แต่เขาก็เพียงปากเสียไปหน่อยเท่านั้น ไม่เคยทำตัวอกตัญญูต่อข้าอย่างแท้จริงเลย”
สวินเซิ่งจุนเงยหน้าขึ้น มองไปที่ลี่เหยาด้วยความขุ่นข้อง สีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจ
ลี่เหยาเอ่ยว่า “เขามีนิสัยเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วจะชักนำหายนะใหญ่หลวงมา สถานะของตระกูลหานอาจจะคุ้มครองเขาได้ แต่หากเขาล่วงเกินคนในตระกูลหานเข้าเล่า แม้แต่บิดาเขายังกล้าดูแคลนไม่เคารพ หากวันหน้าเขาแข็งแกร่งขึ้นจะเห็นเหล่าพี่ชายพี่สาวของเจ้าอยู่ในสายตาหรือ จะเห็นเหล่าศิษย์พี่ของเจ้าอยู่ในสายตาหรือ”
ยิ่งฟังหานอวิ๋นจิ่นก็ยิ่งตระหนก เขาย้อนนึกถึงสวินเซิ่งจุนในมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ โอหังเกินไปแล้วจริงๆ
สวินเซิ่งจุนกัดฟันเอ่ย “ข้ามิใช่คนไม่รู้ดีรู้ชั่ว”
ครั้งนี้หานอวิ๋นจิ่นไม่ช่วยพูดให้เขาอีกต่อไป
เขาใคร่ครวญตามวาจาของลี่เหยาดู ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ เนื่องจากสวินเซิ่งจุนอาจจะชักนำทำให้สำนักซ่อนเร้นแตกแยกได้
ลี่เหยาเอ่ยว่า “ข้ากำลังจะออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์พอดี เจ้าจงเข้าไปทบทวนตัวเองในอาณาเขตกระบี่ของข้าแล้วกัน”
แสงสีเงินสายหนึ่งผุดออกมาจากหว่างคิ้วของนาง ดูดตัวสวินเซิ่งจุนเข้าไปในลำแสง
หานอวิ๋นจิ่นอึกอักอยากพูดแต่ก็เงียบลง
ลี่เหยาเอ่ยถาม “เจ้ายินดีจะออกไปเที่ยวเล่นกับแม่หรือไม่”
“ลูกย่อมยินดีแน่นอนขอรับ”
หานอวิ๋นจิ่นรีบตอบรับ จุดประสงค์หลักคือกลัวจะเกิดเหตุขึ้นกับสวินเซิ่งจุน
ด้วยเหตุนี้ สองแม่ลูกจึงออกจากมรรคาสวรรค์ ออกท่องไปในดินแดนเวิ้งว้าง
ในเวลาเดียวกันนี้ ภายในอาณาเขตกระบี่ ห้วงดารามืดสลัว เงากระบี่นับไม่ถ้วนดูคล้ายหมู่ดาวพร่างพราว สวินเซิ่งจุนไม่สามารถออกไปจากโลกใบนี้ได้ เขาคิดว่าเป็นเพียงการกักบริเวณให้สำนึกตนเท่านั้น แต่พอถึงยามที่เงากระบี่เหล่านั้นพุ่งเข้ามาโจมตีเขา เขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมา
………………………………………………………………