ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1177 วิวัฒนาการขึ้นไปอีก
บทที่ 1177 วิวัฒนาการขึ้นไปอีก
หานเจวี๋ยเทศนาธรรมให้เหล่าคู่บำเพ็ญอยู่เนิ่นนานนัก พวกนางต่างได้รับประโยชน์ต่างกันไป คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดย่อมเป็นลี่เหยา โลกมหามรรคของนางมั่นคงแล้ว นับว่าอยู่ในขั้นตอนมุ่งสู่ผู้สร้างมรรคา
ลี่เหยาเร่งร้อนอยากกลับไปปิดด่าน ส่วนหานเจวี๋ยได้ชักชวนให้เหล่าสตรีที่เหลือไปเที่ยวเล่นที่โลกปฐมยุคกับเขา เหล่าสตรีไม่ได้คัดค้านในเรื่องนี้ ไม่พบหน้ากันมาพันล้านปีแล้ว ได้ออกไปเที่ยวชมโลกาด้วยกัน พวกนางย่อมดีใจเป็นธรรมดา
หานเจวี๋ยโบกแขนเสื้อ พาพวกนางลงสู่โลกปฐมยุคทันที
ปัจจุบันนี้โลกปฐมยุคเปลี่ยนไปใหญ่หลวงยิ่ง หากว่ากันเพียงขนาดของโลกปฐมยุค ในระยะหนึ่งพันล้านปีมานี้ขยายขนาดเพิ่มขึ้นไปหลายเท่าตัว ภายในโลกปฐมยุคก็มีอริยะมหามรรคเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เทพมารชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดได้ก่อกฎเกณฑ์สายแรกขึ้นมาแล้ว
เทพมารชีวิตเป็นเทพมารตนแรกของโลกปฐมยุค อีกทั้งได้รับการสั่งสอนชี้แนะจากหานเจวี๋ย ตบะย่อมเป็นอันดับหนึ่งในโลกปฐมยุค รองลงมาจากเขาคือตู๋กูอู๋ หานโยวหัวหน้าเผ่าเทพปฐมยุครวมถึงผู้ทรงพลังชั้นแนวหน้าที่ไล่ตามหลังเขามาติดๆ ไม่ได้ทิ้งห่างกันมากนัก
หานเจวี๋ยทอดสายตากวาดมองโลกปฐมยุค ประเมินดูอยู่ครู่หนึ่ง โลกปฐมยุคครอบครองฐานกำลังรบที่เพียงพอจะต่อสู้กับทั่วยุคสมัยไร้สิ้นสุดได้ จำนวนผู้บำเพ็ญในระดับต่างๆ ไม่ด้อยไปกว่าทั้งหมดในยุคสมัยไร้สิ้นสุดเลย
ในฐานะเทพผู้สร้าง โลกมหามรรคของเขาย่อมต้องเหนือกว่าโลกทั้งหมดในยุคนี้ เส้นทางมุ่งสู่ยอดมหามรรคที่สรรพสิ่งฝักใฝ่ก็ดำเนินไปได้สะดวกสบายกว่าสิ่งมีชีวิตในโลกมหามรรคอื่นๆ
ในอนาคตโลกปฐมยุคจะต้องให้กำเนิดผู้สร้างมรรคาขึ้นแน่นอน ความทะเยอทะยานของหานเจวี๋ยคือในหมู่ผู้สร้างมรรคาทั้งสี่สิบเก้าราย โลกปฐมยุคต้องครอบครองสัดส่วนครึ่งหนึ่ง!
มีแต่ต้องเป็นเช่นนี้ โลกปฐมยุคถึงจะมีคุณสมบัติเข้าแทนที่ดินแดนเวิ้งว้าง!
เขาต้องการให้สีขาวโพลนด้านนอกลานเป็นสีแดงเข้ม!
คณะของหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นในห้วงอวกาศ ออกท่องเที่ยวไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย ฉางเยวี่ยเอ๋อร์มีนิสัยร่าเริงคึกคักที่สุดเริ่มเล่าเรื่องของโลกปฐมยุคเท่าที่ตนทราบออกมา
ถึงแม้โลกปฐมยุคจะอยู่ไกลแสนไกลจากจุดศูนย์กลางยุคสมัยไร้สิ้นสุด แต่ตำนานของโลกปฐมยุคไม่ได้เลือนหายไปจากสรรพสิ่ง นั่นเป็นเพราะโลกปฐมยุคยิ่งใหญ่มากจริงๆ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เคยไปเยือนโลกปฐมยุคล้วนทราบดีว่าโลกปฐมยุคน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง ในยุคสมัยไร้สิ้นสุดนี้ โลกปฐมยุคกับโลกมหามรรคแห่งอื่นราวกับสองค่ายทัพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขนาดพื้นที่ของโลกต่างกันลิบลับ ความลึกลับของโลกปฐมยุคดึงดูดให้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอยากมุ่งหน้าไป ต้องการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตปฐมยุค แต่ช่างยากเย็นนัก ในยมโลกเนืองแน่นจนแทบเบียดเสียดกันแล้ว
“ตู๋กูอู๋ใช่ศิษย์ของท่านหรือไม่ เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน เขาเข้าสู่โลกปฐมยุค เอาชนะผู้แข็งแกร่งไปมากมาย เพียงเพื่อจะพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของตน ท้ารบยอดมหามรรคไปหลายร้อยราย ผยองอย่างยิ่ง แต่ที่น่าตะลึงคือในระดับที่ต่ำกว่าผู้สร้างมรรคาลงมา ไม่มีผู้ใดสามารถสยบเขาได้เลย”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ถามด้วยความสนใจ ตู๋กูอู๋ประกาศตัวว่าเป็นศิษย์ของเทพผู้สร้าง ด้วยเหตุนี้ผู้สร้างมรรคารวมถึงบรรดาผู้ทรงพลังที่มุ่งสู่ผู้สร้างเหล่านั้นถึงไม่กล้าสั่งสอนเขา
หากว่าใช่จริงๆ เล่า
สิงหงเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มั่นใจขนาดนั้นก็อาจจะใช่จริงๆ ท่านพี่มีนิสัยถ่อมตัว แต่เหล่าศิษย์และบุตรธิดาแต่ละคนกลับผยองดุดันขึ้นทุกรุ่น น่าแปลกใจเช่นกัน”
เซวียนฉิงจวินอดขบขันไม่ได้ เอ่ยไปว่า “อาจเป็นเพราะแนวทางการสั่งสอนของเขาที่ทำให้เหล่าชนรุ่นหลังหวาดกลัว ผู้ใดเพิ่งจะเริ่มฝึกบำเพ็ญก็ต้องปิดด่านเก็บตัวอยู่กับเขาหลายล้านปีทั้งสิ้น นี่เป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ดังนั้นเด็กๆ พวกนั้นถึงได้แปรเปลี่ยนไปมีนิสัยตรงข้ามกับเขาทุกคน”
เหล่าสตรีพากันเอ่ยหยอกเย้าหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยยิ้มแต่ไม่ตอบ กำลังสอดส่องดูตู๋กูอู๋
ตู๋กูอู๋ปิดด่านอยู่ เขาเริ่มบุกเบิกโลกมหามรรคของตนขึ้นแล้ว โลกของเขาก็นับว่าเป็นเป็นมหาอำนาจขั้วหนึ่งในโลกปฐมยุคเช่นกัน ห้วงมิติในโลกปฐมยุคพรั่งพร้อมสมบูรณ์นัก แต่มิได้ตั้งขนานกันไปเสียทั้งหมด โลกมหามรรคเหล่านั้นล้วนซุกซ่อนอยู่ในห้วงมิติชั้นที่อยู่ลึกเข้าไปอีก ไม่ได้รบกวนเหล่าสรรพสิ่ง
ตบะของตู๋กูอู๋ใช้ได้เลย ไล่ตามเทพมารชีวิตได้แบบหายใจรดต้นคอ
ถึงอย่างไรเทพมารชีวิตก็วิวัฒนาการมาจากเทพมารฟ้าบุพกาล แต่ตู๋กูอู๋มีคุณสมบัติสุดเลิศล้ำที่เพิ่งจะปรากฏขึ้นหลังจากโลกปฐมยุคถือกำเนิดขึ้นมา สายเลือดผสมกลมกลืนกับโลกปฐมยุคมากกว่า
หานเจวี๋ยถอนสายตากลับมา เริ่มเสพสุขกับช่วงเวลาผ่อนคลายที่หาได้ยาก
เขาสามารถเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนเหล่าสตรีไปได้อีกนาน
สำหรับตัวเขาในตอนนี้หมื่นปีก็เหมือนชั่วพริบตาเดียว งดฝึกบำเพ็ญไปสักหมื่นปีก็ไม่เป็นไร
….
เหนือโลกมหามรรคอนธการที่กว้างใหญ่ไพศาล ตำหนักสามแห่งที่เชื่อมต่อกันตั้งตระหง่านอยู่ นั่นคืออาณาเขตเต๋าของสามเทพมารอนธการ
ในเวลานี้ สื่อหยวนหงเหมิงและหวงจุนเทียนมาพบหานฮวง
สามเทพมารอนธการผสานรวมกันแล้ว ต่างฝ่ายเปรียบเสมือนร่างแยกของกันและกัน ดังนั้นเมื่อมีเรื่องใดก็จะมารวมตัวหารือกัน
“ระดับที่สูงยิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ” หานฮวงเลิกคิ้ว
ดวงตาของสื่อหยวนหงเหมิงส่องประกายวาววาม “ถูกต้อง พวกเราต้องวางแผนมุ่งสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้น ในเมื่อเทพผู้สร้างบรรลุได้ แล้วเหตุใดพวกเราจะบรรลุถึงไม่ได้เล่า ถึงแม้พวกเราจะเพิ่งเข้าสู่ระดับผู้สร้างมรรคาแต่เจ้าคิดจริงๆ น่ะหรือว่าระดับผู้สร้างมรรคาเพียงพอแล้ว
“แต่ก่อนข้าต้องการสำเร็จเป็นยอดมหามรรคเพราะคิดว่ายอดมหามรรคแข็งแกร่งที่สุดแล้ว ภายหลังอยากจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกดังนั้นถึงได้เปลี่ยนผ่านสู่เทพมารอนธการ ตอนนี้ผู้สร้างมรรคาไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดอีกต่อไป พวกเราสมควรวางแผนการขั้นต่อไปได้แล้ว มุ่งหน้าสู่ตำแหน่งสุดยอดผู้แข็งแกร่งไปทีละขั้น ถึงขั้นที่จะต้องเหนือกว่าเทพผู้สร้างด้วย!”
เขาเอ่ยอย่างหนักแน่นทรงพลัง อีกทั้งไม่กลัวหานฮวงจะคิดมากด้วย พวกเขาทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกัน
หานฮวงไม่ได้ปฏิเสธ แต่คิดทบทวนอย่างจริงจัง
หลังสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคา เขาค่อนข้างสับสนหลงทางไปจริงๆ
หวงจุนเทียนกล่าวว่า “จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญคือจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร ข้าตระหนักได้แล้วว่าขีดจำกัดของเทพมารอนธการอยู่ที่ใด อาศัยเพียงอนธการ อย่างมากพวกเราก็แค่แข็งแกร่งกว่าผู้สร้างมรรคารายอื่นเล็กน้อยเท่านั้น”
สื่อหยวนหงเหมิงเอ่ยเสียงเข้ม “ย่อมต้องยกระดับสายเลือดขึ้น! จะต้องมีสายเลือดที่เลิศล้ำกว่าเทพมารอนธการอยู่แน่นอน เทพผู้สร้างจึงประสบความสำเร็จได้เช่นนี้ ก่อนมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จะมาเยือน ฟ้าบุพกาลรองรับเทพมารอนธการได้เพียงตนเดียว ในเมื่อหานฮวงมีตัวตนอยู่ เช่นนั้นเทพผู้สร้างจะเป็นอันใดไปได้เล่า เขาไม่มีทางด้อยไปกว่าเทพมารอนธการแน่นอน”
เมื่อเขาเอ่ยมาเช่นนี้ หานฮวงและหวงจุนเทียนมีสีหน้าตกตะลึง
วิวัฒนาการจากเทพมารอนธการขึ้นไปอีกอย่างนั้นหรือ
สื่อหยวนหงเหมิงกล่าวว่า “ข้าเตรียมจะกลับชาติไปเกิดใหม่ ออกหาประสบการณ์ในโลกปฐมยุค บางทีโลกปฐมยุคอาจจะให้คำตอบแก่ข้าได้ แต่เรื่องนี้อาจจะเป็นการล่วงเกินเทพผู้สร้าง จำเป็นต้องให้เจ้าออกหน้า”
หานฮวงเอ่ยอย่างใช้ความคิด “เจ้าต้องรับปากมาก่อนว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายให้โลกปฐมยุค”
สื่อหยวนหงเหมิงส่ายหน้าหลุดขำออกมา “ต่อให้ข้ากล้ากว่านี้อีกสิบเท่าก็ไม่กล้าทำหรอก เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเตือนเลย”
หานฮวงลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ยังคงยินยอม
เขาคิดว่าตนสมควรจะมุ่งหน้าสู่ระดับที่สูงขึ้นไปกว่านี้จริงๆ!
….
ในส่วนลึกของดินแดนเวิ้งว้าง ใต้พฤกษาเทพไร้ขอบเขต
เจ้านวฟ้าบุพกาลกำลังเดินหมากกับบรรพชนเต๋าอยู่ กระดานหมากคือโลกใบหนึ่ง เมื่อวางตัวหมากลงไปจะแปรเปลี่ยนเป็นมหาโชค แบ่งดินแดนออกเป็นสองส่วน พวกเขาต่างวิวัฒนาการโลกขึ้น โลกทั้งสองฟากฝั่งกลืนกินกันไปเรื่อยๆ เกมดำเนินต่อไป
บรรพชนเต๋าเปิดปากเอ่ยขึ้น “ในอนาคตจะมีผู้สร้างเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะมีสักคนหรือไม่ที่บรรลุถึงระดับที่สูงขึ้นไปกว่านี้ได้”
เจ้านวฟ้าบุพกาลเอ่ยอย่างเฉยเมย “เจ้าอยากทราบถึงทัศนคติของเทพผู้สร้างกระมัง”
บรรพชนเต๋าแย้มยิ้ม “แน่นอน แต่เหตุผลที่ข้าอยากทราบก็เป็นเพราะมีความเชื่อมั่นอยู่ เทพผู้สร้างท่านนี้ต่างไปจากเจ้า ต่างไปจากเทพมารอนธการในกาลก่อน เขามีความใจกว้างมากกว่า”
เจ้านวฟ้าบุพกาลกล่าวว่า “เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว เพิ่งจะพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาได้ก็มุ่งหวังถึงระดับที่สูงยิ่งกว่าแล้ว ข้าเคยล้มเหลวมาก่อน ไม่สามารถให้คำตอบเจ้าได้ ข้าบอกได้เพียงอย่างเดียวคือ หากเจ้าปรารถนาจะไปสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้น ก็ยังคงต้องรอต่อไป รอจนกว่าเจ้าจะแข็งแกร่งได้เท่าข้า”
บรรพชนเต๋าเอ่ยอย่างมีนัยลุ่มลึก “บางทีการมุ่งสู่ระดับที่สูงยิ่งกว่าคงไม่ได้อาศัยเพียงการฝึกบำเพ็ญอย่างเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นเหตุเจ้าถึงทำไม่สำเร็จเล่า”
………………………………………………………………