ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1178 อายุห้าพันสี่ร้อยล้านปี
บทที่ 1178 อายุห้าพันสี่ร้อยล้านปี
“ถูกต้อง ข้ายังทำไม่สำเร็จ เจ้าก็ยิ่งไม่มีทางสำเร็จได้ หากว่าเจ้ายืนกรานอยากลองพยายาม ข้าก็จะรอดู”
เจ้านวฟ้าบุพกาลเอ่ยตอบ น้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้ขุ่นข้องต่อบรรพชนเต๋าเลย
บรรพชนเต๋าพลันโบกมือคราหนึ่ง เบี้ยตัวหนึ่งลอยลงไป เกิดคลื่นพายุพัดสะเทือนดินแดนของเจ้านวฟ้าบุพกาล เจ้านวฟ้าบุพกาลวางหมากตามลงไป ตัวเบี้ยกลายเป็นขุนเขาลูกหนึ่ง ขวางตะหง่านท่ามกลางลมพายุ ทำให้สายลมกระจายตัวออกไป
สองผู้สร้างมรรคาเดินหมากกันต่อไป ดินแดนที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาบางคราก็พินาศลง บางคราก็ปรากฏขึ้นใหม่ คล้ายจะไม่อาจตัดสินแพ้ชนะไปได้ชั่วนิรันดร์
….
ณ โลกปฐมยุค ในแดนยมโลก
ท่ามกลางหมอกภูตผีเลือนสลัว เมืองที่ยิ่งใหญ่อลังการแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านทรงอำนาจ ราวกับมีเทพผีที่สุดแสนยิ่งใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดของยมโลก ร่างกายในส่วนที่เผยออกมาเพียงพอจะสร้างความอกสั่นขวัญหายให้แก่สิ่งมีชีวิตสามัญได้
มีป้ายแขวนไว้เหนือประตูเมือง จารึกอักษรสามคำที่ใหญ่โตยิ่งกว่าขุนเขาเอาไว้ วังยมราช!
ภายในโถงชั้นแรกของวังยมราช หยางเทียนตงนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ ในมือโบกพัดขนนกอันหนึ่งไว้ มีเพลิงสีครามลุกไหมอยู่บนขนนก ยามที่โบกพัดจะเกิดความหนาวเย็นชวนสะท้าน
“วันนี้น่าเบื่อเสียจริง”
หยางเทียนตงพลันทอดถอนใจออกมา แต่ก่อนอยากจะมาที่โลกปฐมยุค แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเบื่อขึ้นมาอีกแล้ว
เขาดูแลยมโลกของโลกปฐมยุค ไม่ว่าผู้ทรงพลังจากโลกภายนอกหน้าไหนอยากจะเข้าสู่โลกปฐมยุคล้วนต้องมาขอร้องเขาทั้งสิ้น
หากบอกว่าตอนนี้นอกจากท่านอาจารย์ของเขาแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงผู้ใดอีกก็ไม่ใช่เรื่องเกินไปเลย
อำนาจอันเป็นนิรันดร์นำมาซึ่งความว่างเปล่าไร้สิ้นสุด
ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงอริยะมหามรรค ทว่าก็ต้องเผชิญความอ้างว้างเดียวดายของผู้สูงส่งไร้ศัตรูเช่นกัน
ในช่วงที่เบื่อหน่าย หยางเทียนตงชอบนึกย้อนกลับไปในอดีต จมจ่อมอยู่กับการผจญภัยในกาลก่อน
ในขณะที่หยางเทียนตงเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง เงาร่างหนึ่งก็ร่อนลงมา
เป็นสื่อหยวนหงเหมิง
หยางเทียนตงเหลือบมองเขาทีหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจเลย
สื่อหยวนหงเหมิงเอ่ยว่า “ข้าคือสื่อหยวนหงเหมิง ต้องการกลับชาติไปเกิดในโลกปฐมยุค อยากเห็นรูปการณ์ของโลกปฐมยุค ร่างจริงของข้าจะไม่ล่วงล้ำเข้าไป เพียงจะส่งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งเข้าไปเท่านั้น ที่มาแจ้งเรื่องกับเจ้าโดยเฉพาะก็เพราะเห็นแก่หน้าของเทพผู้สร้าง”
หยางเทียนตงรู้สึกว่านามของสื่อหยวนหงเหมิงดูคุ้นๆ อยู่บ้าง เขานึกดูอย่างละเอียด มิใช่เทพมารอนธการตนนั้นที่ผสานรวมเข้ากับหานฮวงหรอกหรือ เป็นผู้สร้างมรรคาหน้าใหม่นั่นเอง
แม้จะเผชิญหน้ากับผู้สร้างมรรคา หยางเทียนตงก็ไม่ตระหนกแม้แต่น้อย
เขาเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ในเมื่อเป็นผู้สร้างมรรคา ได้ขออนุญาตจากเทพผู้สร้างหรือยัง”
“เทพผู้สร้างไหนเลยจะใช่คนที่ไปเข้าพบได้ เจ้าทำได้อย่างนั้นหรือ”
“เช่นนั้นก็แปลว่าเจ้าไม่มีวาสนา”
หยางเทียนตงโบกพัดพลางเอ่ยยิ้มๆ เขารู้ดีว่าท่านอาจารย์ของตนอยู่ในอาณาเขตเต๋า แต่นอกจากศิษย์สำนักซ่อนเร้นแล้วผู้ใดจะเข้าไปได้อีกเล่า
“ไยไม่ให้หานฮวงไปหาเทพผู้สร้างเล่า”
“ไปแล้ว แต่เทพผู้สร้างไม่อยู่ที่อาณาเขตเต๋า ร่างแยกของเขาแจ้งว่าร่างจริงอยู่ในโลกปฐมยุค หากข้ากลับชาติไปเกิด จะไปเข้าพบเทพผู้สร้างด้วยตัวเอง”
สื่อหยวนหงเหมิงขมวดคิ้วเอ่ยวาจา พญายมเบื้องหน้านี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ยิ่ง
เป็นแค่พญายมตัวเล็กๆ ก็กล้าสร้างความลำบากใจให้เขาเช่นนั้นหรือ
แต่พอใคร่ครวญถึงว่าอีกฝ่ายคือศิษย์ของเทพผู้สร้าง เขาก็จำเป็นต้องอดทนไว้
หยางเทียนตงครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ก็ได้ แต่ร่างจริงของเจ้าต้องอยู่ในตำหนักนี้”
“อืม”
สื่อหยวนหงเหมิงตอบรับคำหนึ่ง เดินไปนั่งขัดสมาธิลงในมุมหนึ่งของตำหนัก แยกเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งออกมาแล้วส่งเข้าสู่สังสารวัฏแห่งโลกปฐมยุค
หยางเทียนตงไม่มองเขาอีก เริ่มระลึกถึงอดีตต่อไป
เมื่อเวลาผ่านนานไป ปรากฏผู้กลับชาติมาเกิดขึ้นในวังยมราชอย่างต่อเนื่อง หยางเทียนตงจัดการไปทีละคนๆ
หมื่นปีต่อมา
เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เป็นหานเจวี๋ย
หยางเทียนตงเหลือบมองส่งๆ แวบหนึ่ง เดิมทีไม่ได้ใส่ใจ แต่ทันทีที่มองเห็นอีกฝ่ายชัดเจนก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที
“อา…อาจารย์…”
หยางเทียนตงเอ่ยเสียงสั่น หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจเขา
สื่อหยวนหงเหมิงที่นั่งอยู่มุมห้องลุกขึ้นมา ทั้งสองหายตัวไปจากตำหนัก
หยางเทียนตงถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่ได้พบกับหานเจวี๋ยมานานเหลือเกิน นานจนสายสัมพันธ์เหินห่างไป ความรู้สึกในยามที่เขาได้เห็นหานเจวี๋ยกลับมีเพียงความหวาดกลัวและหวั่นวิตก ดังนั้นพอหานเจวี๋ยจากไป เขาถึงได้รู้สึกสบายใจ
ส่วนหานเจวี๋ยกับสื่อหยวนหงเหมิงจะไปทำอะไรนั้น เขาไม่สนใจเช่นกัน
….
เหนือโลกปฐมยุค
หานเจวี๋ยและสื่อหยวนหงเหมิงทอดมองเบื้องล่างด้วยกัน
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม
สื่อหยวนหงเหมิงไม่อาจละสายตาไปได้ ทอดถอนใจกล่าวไปว่า “สมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าอนธการและฟ้าบุพกาล”
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา
สื่อหยวนหงเหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถามออกไป “เทพผู้สร้าง ขอบังอาจถามว่ามีสายเลือดที่แข็งแกร่งยิ่งว่าเทพมารอนธการอยู่หรือไม่ หากว่ามี เทพมารอนธการจะสามารถวิวัฒนาการขึ้นไปอีกได้หรือไม่”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “การฝึกบำเพ็ญไร้จุดสิ้นสุด สายเลือดย่อมเป็นเช่นเดียวกัน เจ้าอยากจะวิวัฒนาการต่อไปอีกหรือ ยากนัก”
“ข้าอยากลองดู”
“จะลองอย่างไรเล่า”
“ตอนนี้ยังไม่ทราบขอรับ”
สื่อหยวนหงเหมิงตอบไปตามจริง ไม่มีความท้อแท้เลย กลับเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
หานเจวี๋ยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ลองไปค้นหาในโลกปฐมยุคดูเถิด”
พูดจบเขาก็หายตัวไปจากข้างกายสื่อหยวนหงเหมิง
“ในอนาคตจะปรากฏตัวตนที่เหนือกว่าเทพมารอนธการขึ้นจริงๆ”
เสียงของหานเจวี๋ยแว่วดังอยู่ในหูของสื่อหยวนหงเหมิง จากนั้นเงาร่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของสื่อหยวนหงเหมิง
เป็นชายผมขาวที่แสนลึกลับคนนั้น
สื่อหยวนหงเหมิงหรี่ตาลง จดจำคนผู้นี้ไว้
กล่าวอีกนัยคือ คนผู้นี้มีศักยภาพพอจะก้าวข้ามเทพมารอนธการไปได้
เหตุใดเทพผู้สร้างถึงบอกเรื่องนี้ต่อเขาเล่า
หรือเป็นเพราะเห็นแก่หานฮวง
สื่อหยวนหงเหมิงไม่เข้าใจ ตัดสินใจจะออกตามหาคนผู้นี้
เขาพลันแยกร่างออกไปนับไม่ถ้วน ออกท่องไปทั่วโลกา
….
ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
หานเจวี๋ยกลับมายังอารามเต๋าของตน เหล่าคู่บำเพ็ญก็กลับมาหมดแล้ว การท่องเที่ยวครั้งนี้ทำให้จิตใจของพวกนางชื่นบานกันถ้วนหน้า ไม่ได้มีความสุขเพราะออกไปเที่ยว แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะมีหานเจวี๋ยอยู่ด้วย
หานเจวี๋ยนั่งลงบนแท่นบัวดำ ทอดสายตามองไปยังอนธการ
ด้วยคำเตือนของเขาได้ทำให้อนาคตเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
สื่อหยวนหงเหมิงได้กลายเป็นมารไปเพราะมุ่งหมายจะวิวัฒนาการ ตอนแรกเขาไม่ได้เชื่อมั่นในตัวหานเจวี๋ยนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนับยุคสมัยไม่ถ้วน จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สามารถวิวัฒนาการได้ ดังนั้นเขาจึงนึกย้อนกลับไปถึงชายผมขาวที่หานเจวี๋ยชี้แนะให้เห็น
ถึงขั้นที่สุดท้ายแล้ว ชายผมขาวได้กลายเป็นจิตมารของเขา ทำให้เขาก่อสงครามใหญ่แห่งผู้สร้างมรรคาขึ้นในยุคสมัยไร้สิ้นสุด สะท้านสะเทือนอดีตและปัจจุบัน
ส่วนชายผมขาว ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
เหตุผลที่หานเจวี๋ยทำเช่นนี้เพียงเพราะอยากเพิ่มใครสักคนให้คอยพะวงถึงชายผมขาวไว้ เช่นนี้ชายผมขาวจะได้ไม่ถึงขั้นที่เติบโตพรวดพราดขึ้นมาโดยที่เขาไม่สังเกตเห็น
เขาไม่อยากออกไปค้นหาโดยเฉพาะว่าชายผมขาวเป็นใคร แทนที่จะเฝ้ารอ เขายิ่งอยากแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว
ส่วนความยึดติดที่ฝังลึกเกินไปของสื่อหยวนหงเหมิง ต่อให้หานเจวี๋ยไม่ได้ยุยงเขา ไม่ช้าก็เร็วคนผู้นี้ก็จะหมกมุ่นได้ถึงสายเลือดของเหล่าผู้ทรงพลังที่แข็งแกร่งในโลกปฐมยุคขึ้นมา ถึงขั้นที่หมายตาหานเจวี๋ยด้วย
มอบเป้าหมายที่เลื่อนลอยสักอย่างให้ไป สื่อหยวนหงเหมิงจะได้ไม่ถึงขั้นจมอยู่กับความสิ้นหวัง
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง “รอจนข้าก้าวข้ามสายเลือดเทพมารปฐมยุคไปได้ก็จะถ่ายทอดส่งต่อแก่พวกเจ้าทั้งสาม เพียงแต่พวกเจ้าทั้งสามจะยืนหยัดรอจนถึงวันนั้นได้หรือไม่ อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวังเล่า”
เหตุผลที่มีความอดทนต่อสื่อหยวนหงเหมิงถึงเพียงนั้นก็เป็นเพราะหานฮวง
สามเทพมารอนธการชีวิตผูกกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว แม้ว่าหานเจวี๋ยจะมีวิธีตัดแยกพวกเขาออกจากกัน แต่จะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อหานฮวงอย่างถาวร ในอนาคตก็ไม่อาจก้าวหน้าไปได้อีก
หานเจวี๋ยยินยอมให้มีเทพผู้สร้างรายอื่นผงาดขึ้นมาได้ แต่หากเป็นบุตรธิดาของเขาจะดีที่สุด แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ต้องให้เขาก้าวข้ามผ่านเทพผู้สร้างไปเสียก่อน
คิดๆ ไป หานเจวี๋ยก็หลับตาลง เตรียมฝึกบำเพ็ญต่อ
กาลเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปอีกพันล้านปีแล้ว
หานเจวี๋ยอายุครบห้าพันสี่ร้อยล้านปีแล้ว
เขาลืมตาขึ้น สอดส่องดินแดนเวิ้งว้างก่อน ขณะนี้เกิดเรื่องใหญ่อย่างหนึ่งขึ้นในยุคสมัยไร้สิ้นสุด เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันไปถึงเหล่าสรรพสิ่ง
………………………………………………………………