ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1179 ยุคใหม่
บทที่ 1179 ยุคใหม่
หลังจากบรรพชนเต๋าสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคา ฟ้าบุพกาลแห่งใหม่ถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ผานกู่ผสานโลกมหามรรคของตนเข้ากับบรรพชนเต๋า ชั่วขณะนั้น ชื่อเสียงของฟ้าบุพกาลแพร่ขยายออกไปในวงกว้าง ไม่ด้อยไปกว่าอนธการเลย
สรรพสิ่งล้วนทราบดีว่าฟ้าบุพกาลจะเติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจ ไม่มีทางสกัดขวางได้ กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ล้วนเข้ามาผูกมิตรกับฟ้าบุพกาล
ทว่าในเวลานี้เอง มหันตภัยแห่งฟ้าบุพกาลได้มาเยือนแล้ว
ผู้สืบสายเลือดที่เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์สังเวยทั้งเผ่าพันธุ์เพื่อปกป้องไว้ได้บรรลุเป็นยอดมหามรรค เริ่มก่อความวินาศให้แก่ฟ้าบุพกาล
บรรพชนเต๋าและผานกู่ยังคงมีเศษเสี้ยวความรู้สึกผิดต่อเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์อยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้สอดมือเข้ายุ่ง กลับปล่อยให้สิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลตกอยู่ในความหวาดหวั่น
ผู้สืบทอดดวงชะตาเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์มีนามว่าเต้าเทียน เดิมทีไม่ได้มีนามเช่นนี้ แต่หลังจากความทรงจำในอดีตตื่นขึ้นมาก็เปลี่ยนชื่อเป็นเต้าเทียนอย่างเป็นทางการ
เต้าเทียนก็หาได้โดดเดี่ยวตัวคนเดียวไม่ เขามีอาจารย์ถึงสามคน
ได้แก่เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ สามคนนี้ยังคงมีชื่อเสียงอยู่ในยุคสมัยไร้สิ้นสุด ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ทรงพลังที่รอดชีวิตมาจากมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ได้ ล้วนบุกเบิกโลกมหามรรคขึ้นมาแล้ว
มีพวกเขาสามคนคอยสนับสนุน บรรดาผู้ทรงพลังที่อยากจะเอาใจบรรพชนเต๋าล้วนไม่กล้าลงมือ ทำให้ตอนนี้เต้าเทียนออกอาละวาดในฟ้าบุพกาลได้ดุจมัจฉาแหวกว่ายในสายวารี
เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของทั่วทั้งยุคสมัยไร้สิ้นสุด
โดยเฉพาะหลังจากได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของเต้าเทียน เรื่องนี้ก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น
หานเจวี๋ยก็สนใจเช่นกัน เริ่มจับตามองเต้าเทียนแล้ว
เหตุผลที่พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามให้การสนับสนุนเต้าเทียน เพราะต้องการแก้แค้นล้วนๆ แก้แค้นที่เหล่าจื่อผนวกรวมเหล่าตานกลับไป อีกทั้งเหล่าจื่อก็เป็นศิษย์ของบรรพชนเต๋า หลังจากบรรพชนเต๋าหวนกลับมา สองศิษย์อาจารย์ไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิด
เหล่าจื่อก็เป็นฝ่ายหลบเลี่ยงพวกเต้าจื้อจุนทั้งสามเช่นกัน
หานเจวี๋ยเฝ้ามองอยู่สักพักก็ถอนสายตากลับมา
เขาอิจฉาบรรพชนเต๋าจริงๆ ที่ยังคงมีศัตรูอยู่
ตอนนี้หานเจวี๋ยได้รับรู้ถึงความเดียวดายของผู้ไร้พ่ายแล้ว ชายผมขาวที่กล่าวถึงคนนั้นก็อยู่ในอนาคตอีกยาวไกลนัก ตัวเขาในปัจจุบันนี้นอกจากฝึกบำเพ็ญแล้ว มีน้อยเรื่องนักที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้
เขาถึงขั้นที่บังเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น หรือจะสร้างความปั่นป่วนให้ยุคสมัยไร้สิ้นสุดดูสักครั้ง เพียงเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ตน
แล้วไปเถอะ ยุคสมัยไร้สิ้นสุดยังแข็งแกร่งไม่มากพอ รอจนมีผู้สร้างมรรคาเพิ่มขึ้นมาอีกสักคน เขาค่อยประทานเคราะห์ภัยสักด่านให้ยุคสมัยไร้สิ้นสุด
หานเจวี๋ยมีตบะระดับนี้แล้ว ในสายตาของเขาสรรพสิ่งหาได้มีความหมายไม่ เขาจะทำตามอำเภอใจเท่านั้น
หานเจวี๋ยสอดส่องคนอื่นๆ ต่อ
หลักๆ คือสอดส่องดูหลานชายของเขา หานเหลียงและฉู่เสี่ยวชี
หานเหลียงได้รับการสนับสนุนจากสองผู้สร้างมรรคา ตบะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ฉู่เสี่ยวชีที่ได้รับการสนับสนุนจากอนธการก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย เทียบเท่ากับได้รับการสนับสนุนจากผู้สร้างมรรคาถึงสามราย
หลานชายสองคนนี้ยังไม่เคยพบหน้ากัน แต่อยู่ในรุ่นเดียวกันจึงตกเป็นเป้าที่ถูกสรรพสิ่งจับเปรียบเทียบกันไปเสียแล้ว
ในรุ่นของพวกเขา โดยพื้นฐานแล้วไม่มีคนที่เลิศล้ำยิ่งไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว แถมยังได้รับความสำคัญจากผู้สร้างมรรคาทั้งคู่
ระหว่างทั้งสองใครจะสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาก่อนกลายเป็นประเด็นถกเถียงของเหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ว่างไร้เรื่องราวไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าหลานชายทั้งสองพัฒนาไปได้ดียิ่ง หานเจวี๋ยก็พอใจมากกว่าเดิม
หานเจวี๋ยหลับตาลงอีกครั้ง ฝึกบำเพ็ญต่อไป
….
ในห้วงอวกาศ
ชายชุดดำคนหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปด้านหน้า เขามีร่างกายกำยำ ใบหน้าคล้ำกร้าน เรือนผมสีแดงปลิวสะบัด ดูราวกับเปลวเพลิงลุกโชน
เขาก็คือเต้าเทียน สายเลือดรุ่นหลังของเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์
เขาเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว ข้ามผ่านห้วงอวกาศแห่งแล้วแห่งเล่า มาถึงผืนแผ่นดินเดียวดายแห่งหนึ่ง ผืนแผ่นดินนี้เตียนราบ รกร้างโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา
ในบริเวณใจกลางของผืนแผ่นดิน มีเงาร่างสามร่างนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหากันอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นสามสายปะปนเข้าด้วยกัน ทำให้ห้วงมิติรอบข้างผันผวนอยู่ตลอด ราวกับจะพังถล่มลงได้ทุกเมื่อ
เต้าเทียนร่อนลงด้านหลังคนทั้งสาม คุกเข่าคารวะ
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยถามโดยไม่ลืมตาขึ้น “มาด้วยเรื่องใด”
เต้าเทียนกล่าวว่า “ศิษย์ไม่อยากแก้แค้นแล้วขอรับ”
จ้าวเซวียนหยวนเงียบไป
เต้าจื้อจุนและเจียงอี้ไม่ได้เอ่ยออกมา เพียงฝึกบำเพ็ญต่อไป
เต้าเทียนสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง เอ่ยไปว่า “ศิษย์ไปเยือนฟ้าบุพกาลมารอบหนึ่ง จู่ๆ ก็เข้าใจขึ้นมาแล้วว่าเหตุใดเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ถึงได้หายไป เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์จำกัดความก้าวหน้าของฟ้าบุพกาล บรรพชนเต๋าจำเป็นต้องลงมือ การที่บรรพชนเต๋ายอมปล่อยข้าไว้ ก็นับว่ามีเมตตาเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์มากที่สุดแล้ว”
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดตกได้ก็เป็นเรื่องดี แต่พวกเราแบกรับแรงกดดันมหาศาลปานนั้นแทนเจ้า จู่ๆ เจ้าบอกจะเลิกก็เลิก พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดเล่า”
เต้าเทียนมีสีหน้าละอายใจ ก้มหัวโขกศีรษะลงบนพื้น ไม่เงยหน้าขึ้นมา
เจียงอี้เอ่ยต่อว่า “ไม่อยากล้างแค้นก็ไม่เป็นไร จากนี้ไปเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรเล่า”
จ้าวเซวียนหยวนเพียงกล่าวล้อเล่นเท่านั้น อันที่จริงพวกเขาก็ปลงตกในเรื่องของเหล่าตานแล้วเช่นกัน แต่หากได้สร้างปัญหาให้บรรพชนเต๋าและเหล่าจื่อสักเล็กน้อย พวกเขาก็ยังคงยินดีที่จะทำ
ตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาและบรรพชนเต๋ากับเหล่าตานเป็นเพียงการกระทบกระทั่งเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจัง กลับเป็นเต้าเทียนที่รู้สึกกดดันอย่างยิ่ง
เต้าเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านอาจารย์ทั้งสามโปรดลงโทษด้วย ศิษย์ไม่มีความมุ่งหวังอยากจะทำสิ่งใดอีกแล้วขอรับ!”
เขาออกอาละวาดในฟ้าบุพกาลมาหลายล้านปี แรกเริ่มยังคงมีความสุขนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เขาก็เริ่มแหนงหน่าย เขาเริ่มสืบหาเรื่องราวในอดีต หลังจากได้ทราบถึงความจริงเขาก็สับสนขึ้นมาอีกครั้ง
ภารกิจแต่กำเนิดของเขาคือการล้างแค้น แต่ตอนนี้ไม่ต้องล้างแค้นแล้ว เช่นนั้นเขาสมควรทำสิ่งใดเล่า
ตอนนี้เขาไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว อยากได้เพียงการให้อภัยจากท่านอาจารย์ทั้งสามเท่านั้น เขาทราบดีว่าที่ตนออกอาละวาดอย่างโอหังได้ นอกจากความเมตตาของบรรพชนเต๋าแล้ว ยังเป็นเพราะอิทธิพลของท่านอาจารย์ทั้งสามด้วย มิเช่นนั้นบรรดาผู้ทรงพลังที่อยากจะเอาใจบรรพชนเต๋าคงผนึกกำลังกันมาเล่นงานเขาจนตายแล้ว
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “ลงโทษหรือ จะให้ลงโทษอย่างไรเล่า ส่งเจ้าไปรับผิดขอขมาบรรพชนเต๋า บอกว่าทั้งหมดเป็นความยึดติดของเจ้า พวกเราไม่เกี่ยวข้องอันใดด้วยเลยอย่างนั้นหรือ”
เต้าเทียนเงียบไป ถึงแม้เขาจะไม่อยากล้างแค้นแล้ว แต่ก็ยังไม่ชอบบรรพชนเต๋าอยู่ดี ไม่ว่าจะพูดกันอย่างไร บรรพชนเต๋าก็ทำให้เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ต้องล่มสลาย เขาทำได้มากสุดก็เพียงไม่ตามจองเวรกับบรรพชนเต๋าต่อเท่านั้น
เต้าจื้อจุนลืมตาขึ้น เอ่ยไปว่า “พอแล้ว หยุดเย้าเขาเล่นเสียที”
เขามองไปที่เต้าเทียน เอ่ยต่อว่า “เจ้าคิดตกก็ประเสริฐที่สุดแล้ว อันที่จริงเจ้าไม่มีทางล้างแค้นได้สำเร็จ ถึงอย่างไรบรรพชนเต๋าก็เป็นผู้สร้างมรรคา พวกเราสามคนร่วมมือกันก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้เขาเลย พวกเราจึงไม่เคยคาดหวังให้เจ้าต้องทำสิ่งใดแทนพวกเรา เหตุผลที่รับเจ้าเป็นศิษย์ก็เพราะชื่นชมในความกล้าหาญบากบั่นไม่ย่อท้อของเจ้า”
เต้าเทียนเงยหน้ามองเต้าจื้อจุน อาจารย์ท่านนี้เข้มงวดกับเขาที่สุด ไม่คิดเลยว่าในเวลานี้จะผ่อนปรนแก่เขามากที่สุด
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ให้ฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะ จะให้เขาไล่ตามฉู่เสี่ยวชีกับหานเหลียงให้ทัน ข้าก็ว่าไม่ค่อยมีหวังนัก”
เจียงอี้ลืมตาขึ้น เอ่ยไปว่า “ก็ต้องลองดู ต่อให้ล้มเหลว อย่างน้อยเขาก็จะได้เติบโตขึ้น”
ฉู่เสี่ยวชี หานเหลียงอย่างนั้นหรือ
เต้าเทียนรู้สึกว่าสองนามนี้ค่อนข้างคุ้นหูนัก เขานึกทบทวนดูอย่างละเอียด พลันมีสีหน้าตกใจ
“สองคนนั้นกำลังมุ่งสู่ผู้สร้างมรรคาแล้ว ข้าจะไล่ตามพวกเขาได้ทันหรือขอรับ” เต้าเทียนเอ่ยถามเสียงสั่น
จ้าวเซวียนหยวนกล่าวว่า “ใช่แล้ว เจ้ายังไม่ทราบถึงฐานะของพวกเรากระมัง”
เต้าเทียนมองท่านอาจารย์ทั้งสาม เอ่ยตอบว่า “ไม่ทราบจริงๆ ขอรับ หรือว่าพวกท่านเองก็เป็นผู้สร้างมรรคาเช่นกัน”
จ้าวเซวียนหยวนหน้าตึงทันที จู่ๆ ก็นึกอยากขับศิษย์ออกจากสังกัดขึ้นมา
เจียงอี้เอ่ยว่า “พวกเราล้วนมาจากสำนักซ่อนเร้น หานเหลียงและฉู่เสี่ยวชีล้วนมีศักดิ์เป็นศิษย์หลานของพวกเรา”
เต้าเทียนพลันกระจ่างขึ้นมาในทันใด สายตาที่มองท่านอาจารย์ทั้งสามเปี่ยมด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
สำนักซ่อนเร้นเชียวนะ
ถึงขั้นเป็นผู้อาวุโสของหานเหลียงและฉู่เสี่ยวชีได้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นตัวตนระดับตำนานโบราณกาลแน่นอน!
………………………………………………………………