ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน
บทที่ 120 อู้เต้าเจี้ยน
“เจ้าเคยเห็นรึ”
หานเจวี๋ยปราดตามองหญ้าโลกาสวรรค์ เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
หญ้าโลกาสวรรค์เอ่ยตอบ “ตอนที่…คนก่อนของข้าฝึกฝน นางก็ถือหินแบบนี้อยู่ก้อนหนึ่ง”
หินที่เทพเซียนถือ?
หานเจวี๋ยจ้องมองหินสีม่วงเข้มในมือราวกับคิดอะไรอยู่
เขาใช้พลังจิตตรวจสอบอย่างละเอียด น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะดูอย่างไร นี่ก็เป็นหินวิญญาณก้อนหนึ่ง เพียงแต่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณที่เหนือกว่าหินวิญญาณอื่นๆ
หานเจวี๋ยทิ้งหินก้อนนี้ไว้ข้างๆ หญ้าโลกาสวรรค์ ด้วยอยากจะรู้ว่าหินก้อนนี้จะมีผลลัพธ์อย่างไร
หากเป็นเพียงหินวิญญาณ เช่นนั้นคงไม่คู่ควรที่เทพเซียนจะถืออยู่ในมือทุกวัน
หานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกฝนต่อไป
ขณะที่เขายุ่งอยู่กับการฝึกฝนนั้น แดนบำเพ็ญพรตในใต้หล้ากลับเกิดเหตุการณ์ราวกับกระแสคลื่นพัดโหมกระหน่ำ
ยิ่งผู้บำเพ็ญสายมารคึกคัก ยิ่งทำให้สายหลักเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
ตอนที่พญาอสรพิษหยกม้วนตัวเข้ามาในใต้หล้าก่อนหน้านี้ สำนักสายมารต่างก็พากันดอดหนี ที่เปิดศึกกับพญาอสรพิษหยกส่วนใหญ่เป็นสำนักสายหลัก เพราะอย่างนั้นหลังจากพญาอสรพิษหยกตายแล้ว สายหลักจึงอ่อนแอกว่าสายมาร
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความคึกคักของผู้บำเพ็ญสายมารจึงทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ
กระทั่งมีข่าวแพร่กระจายไปทั่วแดนบำเพ็ญพรต
จักรพรรดิมารเมื่อหลายพันปีก่อนฟื้นคืนชีพแล้ว!
จักรพรรดิมารปรารถนาจะสถาปนาราชวงศ์ฝ่ายมาร ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ก่อตั้งจากกลุ่มผู้บำเพ็ญสายมาร!
เขากำลังรับสมัครผู้บำเพ็ญสายมารทั่วทั้งใต้หล้าเพื่อเข้าร่วมกับเขา!
ชั่วขณะนั้น ตำนานรูปแบบต่างๆ ของจักรพรรดิมารก็ถูกเล่าลือไปทั่วโลกมนุษย์
เจ็ดปีหลังจากนั้น
ข่าวเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพของจักพรรดิมารถูกเล่าลือมาถึงต้าเยี่ยน
ขณะนี้ ราชวงศ์ฝ่ายมารได้ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และประกาศศักดาเป็นใหญ่อยู่อีกด้านหนึ่ง
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเรียกรวมบรรดาผู้อาวุโสมาที่ตำหนักหอประชุมใหญ่บนยอดเขาหลัก หลี่ชิงจื่อเองก็มาด้วย
เมื่อหลี่ชิงจื่อได้ยินว่าจักรพรรดิมารฟื้นคืนชีพ สีหน้าก็แปลกประหลาด
“เฮ้อ! ใต้หล้าจะวุ่นวายอีกครั้งแล้ว”
“กลัวอะไรกัน จักรพรรดิมารอยู่ห่างจากพวกเราตั้งไกล”
“เดิมทีแดนบำเพ็ญพรตก็เป็นสถานที่ที่สายหลักสายมารผลัดเปลี่ยนกันทรงอำนาจ นี่คือเหตุผลที่มียอดวีรบุรุษปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านั้นพญาอสรพิษหยกแข็งแกร่งปานนั้นยังตายได้เลย”
“จักรพรรดิมารเคยรวบรวมผู้บำเพ็ญสายมารในใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียวมาก่อน แต่นั่นมันเป็นเรื่องตั้งกี่ปีมาแล้ว ยุคสมัยได้เปลี่ยนผ่านไปนานแล้ว”
……
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสังเกตเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของหลี่ชิงจื่อ ราวกับอยากพูดอะไรออกมาแต่ยั้งเอาไว้
ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น “หลายสิบปีก่อนผู้อาวุโสหลี่ก็เคยสืบเรื่องจักรพรรดิมารมาก่อน หรือว่าจะรู้อะไรเข้า”
เมื่อคำพูดนี้ออกจากปาก ผู้คนทั้งหลายก็หันไปทางหลี่ชิงจื่อ
หลี่ชิงจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “หลายสิบปีก่อน ผู้อาวุโสสังหารเทพให้ข้าไปตรวจสอบเรื่องจักรพรรดิมารโดยเฉพาะ บางทีเขาอาจจะคำนวณอะไรออกมาได้ แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร และหวังว่าข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งขมวดคิ้ว เหล่าผู้อาวุโสก็พากันกระซิบกระซาบอย่างอดไม่ได้
กวนโยวกังกล่าวพึมพำขึ้น “หรือผู้อาวุโสสังหารเทพจะคำนวณได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าแดนบำเพ็ญพรตจะมีเคราะห์ใหญ่เช่นนี้ ที่ไม่เอ่ยปากออกมาเพราะกลัวว่าพวกเราจะกังวลใจ”
เหล่าผู้อาวุโสต่างก็รู้สึกว่ามีเหตุผล พากันเห็นด้วยในความคิดนี้
พวกเขาต่างรู้ดีว่าเสาหลักที่แท้จริงของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์นั้นคือผู้อาวุโสสังหารเทพ แม้แต่ผู้อาวุโสสังหารเทพยังสืบข่าวเรื่องนี้โดยเฉพาะ ดูท่าเคราะห์ในครั้งจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ภารกิจคุณูปการของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ล้วนจำกัดให้อยู่ในต้าเยี่ยนทั้งหมด ศิษย์ที่อยู่นอกต้าเยี่ยนให้เรียกตัวกลับมาให้หมด” นักพรตเต๋าจิ่วติ่งออกคำสั่ง
หลิ่วปู๋เมี่ยเอ่ยปากกล่าว “ท่านเจ้าสำนัก ข้าอยากจะย้ายสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตมาที่ต้าเยี่ยนทันที ได้หรือไม่”
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งส่ายหน้ากล่าว “ต้าเยี่ยนไม่ได้มีสถานที่ให้พวกเจ้าฝึกฝนได้มากเพียงนั้น สร้างค่ายกลส่งตัวเถิด”
“ตกลง!”
วันนั้น เหล่าผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็เริ่มทำงานหนัก
หานเจวี๋ยไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
เขายังคงฝึกฝน ซึ่งอยู่ห่างจากระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสี่สักระยะหนึ่ง
วันนี้
หญ้าโลกาสวรรค์จะแปลงกายแล้ว!
ที่แปลกก็คือ ตอนที่มันแปลงกายกลับไม่ได้เผชิญกับเคราะห์สวรรค์ใด
ปีศาจเมื่อแปลงกายเป็นมนุษย์ ล้วนต้องฝ่าเคราะห์สวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น
หานเจวี๋ยมองดูหินสีม่วงเข้มที่อยู่ข้างกายมัน ‘หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้’
หญ้าโลกาสวรรค์เปล่งประกายแสงสีขาวเจิดจ้า พลังวิญญาณภายในถ้ำทะลักทลายเข้าร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง
หานเจวี๋ยหรี่ตาลง
‘วิธีการแปลงกายนี้คือโปเกมอนหรือว่าดิจิมอนกันแน่’
หานเจวี๋ยแอบหยอกล้อ ช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนที่แสนน่าเบื่อ เขาก็ชอบนึกถึงเรื่องราวในชาติที่แล้ว เพื่อนำมาเติมเต็มสิ่งที่ว่างเปล่า
เวลาผ่านไปราวๆ สามชั่วยาม
ในที่สุดหญ้าโลกาสวรรค์ก็แปลงกายสำเร็จ ต่างจากที่หานเจวี๋ยคาดคิดไว้อยู่บ้าง ไม่ใช่ดรุณีน้อยที่ร่าเริงบ๊องแบ๊ว กลับเป็นสตรีที่สูงส่งเย็นชายิ่งนักนางหนึ่ง
หานเจวี๋ยนำชุดนักพรตออกมาจากเข็มขัดเก็บสมบัติ ก่อนที่จะโยนไปให้นางสวมใส่โดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย
หลังจากหญ้าโลกาสวรรค์ใส่ชุดนักพรตแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน รูปลักษณ์นี้ของข้าเป็นเช่นไร”
หานเจวี๋ยกล่าว “พอใช้ได้กระมัง”
ยามที่บุรุษวิจารณ์รูปร่างหน้าตาของสตรี คำว่าพอใช้นั่นก็หมายถึงสวย
“นี่คือรูปร่างหน้าตาของนายท่านคนก่อนของข้า” หญ้าโลกาสวรรค์เอ่ยตอบ
หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น มองประเมินหญ้าโลกาสวรรค์อีกครั้งอย่างอดไม่ได้
นางที่ใส่ชุดสีขาวยิ่งทำให้ดูเย็นชามากกว่าเดิม ผมสีดำปล่อยยาวสยายอย่างลวกๆ ใบหน้างดงามเลิศล้ำ ดวงตาทั้งคู่ราวกับมีประกายแสงระยิบระยับ คิ้วตางดงาม ปากกับจมูกได้รูปพอดี
จำต้องพูดว่า ใบหน้ากับรูปร่างเช่นนี้ก็คู่ควรกับหญิงสาวเทพเซียนจริงๆ
ในหมู่สตรีที่หานเจวี๋ยรู้จักทั้งหมด มีเพียงเซียนซีเสวียนเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงได้
“นายท่าน หลังจากนี้ข้าชื่อว่าอู้เต้าเจี้ยนเป็นอย่างไร”
หญ้าโลกาสวรรค์บิดตัวเอ่ย นางเองก็กำลังสำรวจรูปร่างของตัวเองอยู่เช่นกัน
ใบหน้าของหานเจวี๋ยกระตุกเล็กน้อย
อู้เต้าเจี้ยน…
นางเซียนก็ใช้ชื่อนี้ด้วย?
ช่างเถิด อันนี้แหละ
คร้านที่จะคิดแล้ว
ถึงอย่างไรนางก็เป็นแค่หญ้าต้นหนึ่ง
“อืม” หานเจวี๋ยพยักหน้าเห็นด้วย
นับจากนี้ หญ้าโลกาสวรรค์จึงเปลี่ยนชื่อเป็นอู้เต้าเจี้ยน
อู้เต้าเจี้ยนกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถามขึ้นว่า “นายท่านควรจะถ่ายทอดมรรคากระบี่ให้ข้าหรือไม่”
หานเจวี๋ยรู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง ก่อนหน้านั้นหญ้าโลกาสวรรค์เอาแต่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วราวกับหนูน้อย ตอนนี้พูดจาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
“เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดดรรชนีกระบี่เทพให้เจ้าก่อน”
ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยจึงเริ่มถ่ายทอดวิชากระบี่ให้กับอู้เต้าเจี้ยนด้วยตัวเอง
……
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนแปลงของแดนบำเพ็ญพรตราวกับคงคามหาสมุทร บางครั้งก็เงียบสงบ บางครั้งก็โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง
สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์อยู่ในความเงียบสงบมาโดยตลอด
สิบสามปีผ่านไป
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงถึงระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสี่
เขาประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าหลังจากหินสีม่วงเข้มปรากฏขึ้น พลังวิญญาณในถ้ำเทวาฟ้าประทานก็เพิ่มระดับขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ระดับความเร็วในการทะลวงของเขาไม่ได้ช้ากว่าแต่ก่อนมากจนเกินไปนัก
คุณสมบัติของอู้เต้าเจี้ยนเองก็ทำให้หานเจวี๋ยแปลกใจอยู่บ้าง หลังจากแปลงกายแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของนางก็เร็วขึ้นกว่าเดิม นางมีพรสวรรค์ทางมรรคกระบี่จริงๆ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าศิษย์และศิษย์หลานของหานเจวี๋ยยิ่งนัก
ขณะนี้นางเข้าใจดรรชนีกระบี่เทพและสามกระบี่แยกเงาแล้ว
หานเจวี๋ยไม่ได้ถ่ายทอดให้นางต่อ เหตุผลหลักเพราะว่าตบะของนางยังไม่แข็งแรงพอ ไม่อาจควบคุมวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้
เวลาผ่านไปอีกราวๆ ครึ่งปี
สิงหงเสวียนกลับมาแล้ว
เมื่อนางเห็นอู้เต้าเจี้ยน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนสี เอ่ยถามขึ้นเสียงขรึม “เจ้าเป็นใคร”
อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยตอบ “อู้เต้าเจี้ยน”
ชื่อบ้าอะไรกัน
สิงหงเสวียนไม่พอใจอย่างมาก นางหันไปหาหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าออกไปฝึกฝนที่นอกถ้ำก่อน”
ออกไป?
อู้เต้าเจี้ยนเบ้ปาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกหานเจวี๋ยไล่ออกไปเช่นนี้
แต่นางไม่กล้าขัดความตั้งใจของหานเจวี๋ย ทำได้เพียงออกไปอย่างไม่เต็มใจ
พอนางออกไปก็ทำให้พวกหยางเทียนตงตกใจเป็นอย่างมาก
เหตุใดถึงมีเซียนนางหนึ่งออกมาจากถ้ำเทวาของอาจารย์ได้
“นางคือร่างกลายของหญ้าวิญญาณต้นหนึ่งที่ข้าบ่มเพาะไว้ก่อนหน้านี้ สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณในถ้ำเทวาของข้าได้” หานเจวี๋ยเอ่ยอธิบายอย่างเรียบง่าย ซึ่งคำพูดทุกประโยคล้วนเป็นความจริง
หญ้าวิญญาณ?
สิงหงเสวียนกล่าวด้วยความขมขื่น “สามี หากท่านต้องการสตรีก็บอกข้าสิ… ต่อไปข้าจะไม่ออกไปแล้ว ย้ายเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่านก็ได้”
“อย่าได้คิดเชียว ห้ามรบกวนการฝึกฝนของข้า!”
“แต่ข้าคิดถึงท่านนี่”
“เจ้ามีหุ่นเชิดสวรรค์แล้วยังไม่พออีกหรือ”
“หา?”
ใบหน้างดงามของสิงหงเสวียนแดงก่ำ หรือตอนที่นางทำเรื่องเหล่านั้นก็ถูกหานเจวี๋ยสังเกตเห็นเข้าแล้ว
หานเจวี๋ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามขึ้นว่า “หลายปีมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เขาอยากจะถามว่ามีของล้ำค่าหรือไม่ แต่ก็รู้สึกว่าตรงเกินไปไม่ค่อยดี
ทำร้ายความรู้สึก!
……………………………………….