ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 136 ระดับมหายานขั้นสอง ยอดผู้บำเพ็ญอันดับหนึ่งในใต้หล้า
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 136 ระดับมหายานขั้นสอง ยอดผู้บำเพ็ญอันดับหนึ่งในใต้หล้า
บทที่ 136 ระดับมหายานขั้นสอง ยอดผู้บำเพ็ญอันดับหนึ่งในใต้หล้า
หลังจากเซวียนฉิงจวินเข้ามาในถ้ำเทวา นางก็เดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะ
นางมองไปที่หานเจวี๋ยพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เดาะลิ้นและเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “แม้แต่อีกาทองก็ถูกเจ้ากำราบจนอยู่หมัด เจ้าคงเป็นระดับมหายานแล้วสินะ!”
เมื่อหานเจวี๋ยได้ยินก็พลันรู้สึกว่าตนเองพลาดอะไรบางอย่างไป
เขารีบร้อนเปิดระบบเขตอาคม ปกคลุมเขาเพียรบำเพ็ญเซียนทั้งลูกไว้
ขณะที่เขาแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ประสิทธิภาพของระบบก็แข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย เขตอาคมปกคลุมเขาลูกหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก
ก็ไม่รู้ว่าเขตอาคมของระบบจะสามารถอำพรางการตรวจสอบจากเทพเซียนได้หรือไม่
“ไม่ผิด” หานเจวี๋ยตอบ
เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้น่าปิดบัง หากเซวียนฉิงจวินกล้าคิดเป็นอื่นกับเขา จะได้เคาะตีเข้าสักหน่อย
หากสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและความยุ่งยากได้ ก็พยายามหลีกเลี่ยงให้มากเท่าที่จะมากได้
นับว่าเซวียนฉิงจวินดีกับเขามากยิ่งนัก เขาไม่อยากทำให้นางเกิดความเข้าใจผิดต่อเขา และเดินบนเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง
‘สู้ เจ้าจะต้องสู้ข้าไม่ได้อย่างแน่นอน’
เสวียนฉิงจวินถอดถอนใจกล่าว “ข้าเคยคิดว่าจี้เซียนเสินจะเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า ปีนั้นข้ามองข้ามไปจริงๆ แต่นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าดวงชะตาของข้าแข็งแกร่ง ที่ได้พบเจอเจ้าในตอนที่เจ้ายังไม่แข็งแกร่ง”
“คู่บำเพ็ญเพียรน้อยของข้า ตอนนี้เจ้าคิดจะสะบัดข้าทิ้งหรือไม่”
เซวียนฉิงจวินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกริ่ม
มาถึงเขาเพียรบำเพ็ญเซียน ในใจของนางยังคงตกตะลึงเป็นอย่างมาก
สมบัติในเขาลูกนี้!
เพียงต้นฝูซังก็ทำให้นางรู้สึกว่าไม่ธรรมดาแล้ว ยังมีอีกาทองเพิ่มมาอีกสองตัว นี่ก็เป็นสมบัติที่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาควรจะมีหรือ
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีทางแน่ อย่างไรเสียเจ้าก็เคยช่วยข้าไว้หลายครั้ง”
ถึงแม้ทั้งสองจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียร แต่เห็นได้ชัดว่าเกรงใจกันมาก
เซวียนฉิงจวินยกมือขวาลูบใบหน้าของตนเอง ใบหน้าธรรมดาเลือนหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าที่งดงามหยาดเยิ้มเป็นอย่างยิ่ง คิ้วและดวงตาดึงดูดผู้คน เครื่องหน้าทั้งห้างดงามละเอียดอ่อน ทำให้หานเจวี๋ยมองดูจนเคลิบเคลิ้มอยู่บ้าง
เป็นที่อย่างที่คิดไว้จริงๆ!
เป็นถึงจอมมาร ไม่มีทางที่จะมีหน้าตาธรรมดาขนาดนั้น
คนธรรมดายังเปลี่ยนไปสวยได้ นับประสาอะไรกับผู้บำเพ็ญเซียน!
“ข้าจะขึ้นสวรรค์แล้ว เจ้ายินดีที่จะขึ้นไปพร้อมกับข้าหรือไม่” เซวียนฉิงจวินจ้องมองหานเจวี๋ยตรงๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “ตอนนี้ข้ายังไม่อยากขึ้นไป”
“เพราะเหตุใด เจ้าไม่อยากไปพร้อมกับข้าหรือ”
“ข้าคำนวณพบว่ามีศัตรูอยู่บนสวรรค์ มีคนชั่วรอให้ข้าขึ้นไปอยู่ ข้ายังต้องแข็งแกร่ง หากข้าขึ้นไปพร้อมกับเจ้า รังแต่จะทำให้เจ้าลำบาก”
เมื่อเซวียนฉิงจวินได้ยิน คิ้วก็ขมวดอย่างอดไม่ได้
นางมองหานเจวี๋ยอย่างล้ำลึกเพียงครั้ง
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าชายตรงหน้าเต็มไปด้วยความซับซ้อน ราวกับเป็นปริศนาที่ลึกลับที่สุดในโลก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนที่จะขึ้นไป สามารถฝึกฝนร่วมกับข้าครึ่งปีได้หรือไม่”
เซวียนฉิงจวินรุกมาด้านข้างของหานเจวี๋ย ถามพร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
หานเจวี๋ยอยากจะปฏิเสธในทันที แต่พอคิดดูแล้ว ‘คนเขาก็จ่ายเงินแล้วนี่ ก่อนหน้านั้นมอบทรัพยากรให้มากขนาดนั้น อีกอย่าง ใบหน้ารูปไข่นี้ก็ไม่เลว’
หานเจวี๋ยตอบรับไปหนึ่งคำ
……
เพียงแวบเดียวเวลาครึ่งปีก็ผ่านไป
เซวียนฉิงจวินจากไปแล้ว
ตอนที่หานเจวี๋ยส่งนางออกจากถ้ำเทวา พวกอู้เต้าเจี้ยนก็พากันมองมา
เซวียนฉิงจวินกล่าวเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม “วันหน้าเจอกันที่แดนเซียน”
หานเจวี๋ยพยักหน้า
เซวียนฉิงจวินกลายเป็นไอมารสลายหายไปจากตรงนั้น
หานเจวี๋ยรู้สึกทอดถอนใจ
เป็นการฝึกฝนร่วมกันจริงๆ เดิมทีหานเจวี๋ยยังคิดว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองอาจจะเกิดเรื่องราวที่ไม่สามารถบรรยายได้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่การถกมรรค แลกเปลี่ยนประสบการณ์ธรรมดา
‘แค่นี้หรือ ทำข้าตื่นเต้นมาตั้งหลายร้อยปี!’
หานเจวี๋ยคิดเย้ยหยันตนเอง เหตุใดถึงรู้สึกเสียใจเล่า
‘จะต้องเป็นเรื่องบ้าที่มรรคาสวรรค์สร้างขึ้นมาแน่ มรรคจิตของข้าไม่อาจถูกสตรีพัวพันได้!’
“นายท่าน นางเป็นใครกัน” อู้เต้าเจี้ยนเดินเข้ามาถาม
ไก่คุกรัตติกาลที่อยู่บนต้นฝูซังกล่าวด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ว่า “ยังจะต้องถามอีก ปีศาจสาวที่อยากกินนายท่านอย่างไรเล่า!”
อีกาทองตัวหนึ่งเบียดเข้ามา ทำเอาไก่คุกรัตติกาลตกใจจนต้องกระโดดหนี
หานเจวี๋ยตอบ “สหายผู้หนึ่ง ก่อนหน้านั้นพวกเราถกมรรคกันไปหนึ่งยก นับว่าไม่เลว เจ้าเข้าไปในถ้ำเทวาได้แล้ว”
กล่าวจบหานเจวี๋ยก็หมุนตัวกลับเข้าไปในถ้ำเทวา
หานเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงและเริ่มฝึกฝน ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสัยว่าเหตุใดพวกสิงหงเสวียนถึงยังไม่กลับมา
เวลาส่วนใหญ่นั้นหานเจวี๋ยไม่ได้สนใจติดตามดูหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ นอกเสียจากพวกนางจะมีอันตราย
หานเจวี๋ยเปิดดูจดหมายในค่าความสัมพันธ์
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านประสบกับโอกาสวาสนา เข้าใจสุดยอดพลังวิเศษบรรพกาล]
[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านได้รับดวงชะตาเผ่ามาร พลังมรรคเพิ่มพูน]
[เซียนซีเสวียนสหายของท่านหลงเข้าไปในแดนลึกลับบรรพกาล]
[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านหลงเข้าไปในแดนลึกลับบรรพกาล]
[นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสหายของท่านหลงเข้าไปในแดนลึกลับบรรพกาล]
[จี้เซียนเสินสหายของท่านไปจากโลกมนุษย์]
[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากของผู้บำเพ็ญสายหลัก] x10877
……
หานเจวี๋ยเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจ ‘เจ้าเด็กฟางเหลียงประสบกับโอกาสวาสนาอีกแล้ว
หรือเขาจะไม่กลับมาแล้ว
หากกลับมาอีกครั้งอาจกลายเป็นเซียนไปแล้วก็ได้!’
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นโม่ฟู่โฉวได้รับดวงชะตาเผ่ามาร เขาไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่าอย่างไร
‘ดูเหมือนราชวงศ์ฝ่ายมารก่อนหน้านี้จะพัวพันกับเผ่ามาร หรือว่าความคิดชั่วช้าของเผ่ามารจะยังไม่หายไป
อีกทั้ง จี้เซียนเสินก็ไปจากโลกมนุษย์แล้วหรือ
ภาพประจำตัวยังอยู่ หรือว่าจะขึ้นสวรรค์ไปแล้ว’
หานเจวี๋ยคิดไม่ตก และคร้านที่จะคิดอีก
รีบช่วงชิงเวลาฝึกฝนดีกว่า เผื่อว่าจูเชวี่ยและนักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนจะลงมาล่าสังหารเขา
……
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงถึงระดับมหายานขั้นสอง
ความก้าวหน้าของการฝึกบำเพ็ญทำให้หานเจวี๋ยดีใจเป็นอย่างมาก และที่ทำให้ดีใจมากไปกว่านั้นคือเขาค้นพบว่าการมาของอีกาทองทั้งสองกระตุ้นต้นฝูซังให้กำเนิดพลังวิญญาณรวดเร็วขึ้นมากกว่าเดิม
อีกาทองตัวน้อยทั้งสองสามารถพูดภาษามนุษย์ได้แล้ว สติปัญญาก็เพิ่มมากขึ้น
พวกมันเคารพและยำเกรงหานเจวี๋ยมาก ทุกครั้งที่เห็นหานเจวี๋ยตัวก็จะสั่นเทิ้ม ทำให้ไก่คุกรัตติกาลสงสัยว่าหานเจวี๋ยเคยทรมานพวกมันหรือไม่
ตบะของบรรดาลูกศิษย์และศิษย์หลานก็ยกระดับขึ้นเช่นเดียวกัน มู่หรงฉี่กลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์แล้ว ตั้งแต่เลือกฝึกฝนวิถีหอก เขาก็คิดค้นวิชาหอกขึ้นมาจำนวนมาก พลังการต่อสู้ก็พัฒนาขึ้นมาก
วันนี้
ในที่สุดกลุ่มคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็กลับมา
นักพรตเต๋าจิ่วติ่ง สิงหงเสวียนและเซียนซีเสวียนมาเยี่ยมเยียนหานเจวี๋ยที่ถ้ำเทวาฟ้าประทานก่อนเป็นอันดับแรก
“ผู้อาวุโสหาน คนที่สังหารจักรพรรดิมารคือท่านใช่หรือไม่” นักพรตเต๋าจิ่วติ่งระงับความตื่นเต้นก่อนถามออกไป
ระยะทางยาวไกล ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการข้ามน้ำข้ามภูเขา
แต่เมื่อนึกถึงปราณกระบี่ในตอนนั้น นักพรตเต๋าจิ่วติ่งยังคงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หานเจวี๋ยกล่าว “เป็นข้าไม่ผิด แต่เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ตอนนี้สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ยังไม่อยู่ในขั้นที่ไร้คู่ต่อกร”
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งระงับอาการตื่นเต้นเอาไว้แล้วพยักหน้าลง
สิงหงเสวียนกล่าวด้วยสีหน้าเลื่อมใส “สมกับเป็นสามีของข้าจริงๆ ตอนนี้ท่านจะต้องเป็นยอดผู้บำเพ็ญอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างแน่นอน!”
เซียนซีเสวียนเองก็เผยสีหน้าทอดถอนใจออกมา
เมื่อนึกถึงตอนนั้น นางจะคาดคิดได้อย่างไรว่าศิษย์ที่เคยทำนางปวดหัวในตอนนั้นจะกลับกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าภายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ร้อยปีนี้
การปรากฏตัวของหานเจวี๋ยทำให้นางตระหนักได้ถึงจุดหนึ่ง
พรสวรรค์นั้นสำคัญจริงๆ!
พรสวรรค์ชั้นยอดไม่จำเป็นต้องออกไประหกระเหเร่ร่อน การเพิ่มพูนตบะให้รวดเร็วยังคงเป็นหนึ่งในใต้หล้า
หากพรสวรรค์ไม่ได้ ต่อให้จะได้รับโอกาสอยู่บ่อยครั้ง ก็ไม่อาจตามทันบุตรแห่งสวรรค์ได้
“อันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่อาจรับได้ ไม่แน่บนโลกนี้อาจยังซ่อนผู้อาวุโสทรงพลังไว้มากมาย ไม่อาจดูถูกผู้คนในใต้หล้าได้” หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจริงจัง
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งปรับอารมณ์แล้วกล่าว “ช่วงนี้มีมารแท้ปรากฏตัวในโลกอยู่ผู้หนึ่ง นามว่าโม่ฟู่โฉว ข้าสงสัยว่าจะเป็นศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เรา ท่านว่าควรทำอย่างไรดี ต้องออกคำสั่งตามล่าสังหารหรือไม่”
หากเป็นศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์จริง เช่นนั้นจะทำให้สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เสียหน้าเป็นอย่างมาก อาจทำให้ผู้คนคิดว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เป็นสำนักมารได้!
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “พวกเจ้าเปิดฉากสังหารแล้ว?”
“หาไม่ เพียงแค่มีคำเล่าลือว่าเขาเป็นมารแท้”
“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าเพิ่งใส่ใจ”
สำหรับโม่ฟู่โฉว หานเจวี๋ยยังคงมีความประทับใจต่อเขาอยู่ แต่ก็แค่ประทับใจ ไม่ถึงกับทำเพื่อโม่ฟู่โฉวจนเกิดปัญหาตามมา
[ตี้หงเย่เกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]
หานเจวี๋ยเห็นอักขระแถวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นในสมองของเขา
‘ตี้หงเย่คือใคร’
……………………………………….