ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 142 ระดับมหายานขั้นห้า ทายาทมังกรแท้
บทที่ 142 ระดับมหายานขั้นห้า ทายาทมังกรแท้
“เสียงอะไร”
“เกิดอะไรขึ้น หรือมีคนฝ่าด่านเคราะห์แล้วระเบิด”
“ไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะดังมาจากนอกสำนัก!”
“มารดาสิ ข้าเกือบเกิดมารในใจขึ้นมาแล้ว!”
“โอ๊ยๆ ข้ากำลังหลอมอาวุธอยู่ สมบัติวัสดุของข้าถูกทำลายหมดแล้ว!”
“หรือว่ามีศัตรูมาโจมตี”
……
ศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์พากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตกใจไปต่างๆ นานา บรรดาผู้อาวุโสก็พากันออกจากการปิดด่านฝึกฝนเพื่อสำรวจตรวจดูสถานการณ์รอบด้าน
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นความผิดปกติของอีกาทองน้อยทั้งสอง จนต้องมองตามครรลองสายตาพวกมันไปอย่างอดไม่ได้ แต่กลับมองไม่เห็นสัตว์เทพหรือวิหคปีศาจใดๆ
ภูเขาธารารอบๆ สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ล้วนไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เห็นได้ชัดว่าเสียงดังสนั่นก่อนหน้านี้มาจากสถานที่ที่อยู่ไกลโพ้น
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบในรัศมีร้อยลี้ แต่กลับไม่พบสัตว์ปีศาจและสัตว์เทพ
เขาไม่ได้คลายความระแวดระวังลง และยังคงรอคอยอย่างอดทน
ไม่นาน
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งและหลี่ชิงจื่อมาเพื่อสอบถามสถานการณ์
หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น”
ไก่คุกรัตติกาล สวินฉางอัน อู้เต้าเจี้ยนและคนอื่นๆ ต่างก็รู้ตัวว่าไม่ควรพูดถึงความผิดปกติของต้นฝูซังขึ้นมา
พวกเขาเป็นเพียงคนของหานเจวี๋ย ไม่ใช่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์
“หวังว่าจะไม่เกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้นมาอีก” หลี่ชิงจื่อกล่าวด้วยความกังวล
ช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับการฝึกฝนมาโดยตลอด หลังจากทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณแล้ว ตบะไม่อาจเพิ่มพูนได้อีก ทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
แม้ว่าพลังวิญญาณบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนจะเต็มเปี่ยม แต่คุณสมบัติกลับจำกัดการบำเพ็ญเพียรของเขา
“วางใจเถิด มีข้าอยู่ จะไม่เกิดเรื่องใดกับสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์แน่นอน พวกท่านกลับไปดูแลในสำนักเถอะ อย่าได้ลนลานจนขัดแข้งขัดขาตนเอง” หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าว
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งและหลี่ชิงจื่อพยักหน้าลง ไม่รบกวนเขาอีก
หลังพวกเขาจากไปแล้ว หานเจวี๋ยก็มองไปทางริมขอบฟ้าอีกครั้ง ‘มันคืออะไรกันแน่’
หลังจากฟ้าดินเกิดเสียงดังสนั่นแล้ว ต้นฝูซังก็สั่นไหวทุกคืน แต่สิ่งที่มันดึงดูดมายังคงไม่ปรากฏตัว
เป็นแบบนี้ต่อเนื่องนานครึ่งปี
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งมาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง
“เสียงดังสนั่นเมื่อครึ่งปีก่อนเป็นการเคลื่อนไหวของเผ่าปีศาจ สัตว์ร้ายบรรพกาลตัวหนึ่งปรากฏตัว มีนามว่าราชามังกรสามหัว มังกรตัวนี้มีสายเลือดผสมซับซ้อน มีปีกสองปีก สามารถบังคับลมเรียกฝนได้ นิสัยโหดร้ายทารุณ อยู่ห่างจากต้าเยี่ยนเราไม่ไกลนัก” นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเอ่ยปากกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
‘ราชามังกรสามหัว?’
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ปีศาจตัวนี้ไม่รวมเป็นหนึ่งกับเผ่าปีศาจหรือ”
“ไม่ได้เป็นเช่นนั้น กล่าวกันว่าเผ่าปีศาจก็ขับไล่เขา เขาโลภอาหาร สมัยก่อนที่เป็นราชาปีศาจนั้นไม่ทันไรก็กินปีศาจภายใต้อาณัติ บรรดาปีศาจต่างก็ไม่ยอมอุทิศตนรับใช้เขา” นักพรตเต๋าจิ่วติ่งตอบ
หานเจวี๋ยรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
เขายังคิดว่าเผ่าปีศาจจะเป็นเหมือนสายมารก่อนหน้านี้ที่เปิดฉากศึกใหญ่ในใต้หล้า ยังดีที่ราชามังกรสามหัวไม่ได้มีจิตใจชั่วช้า
‘ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็เกิดแล้ว!
ต้นฝูซังยังคงสั่นไหว แสดงว่าราชามังกรสามหัวปรากฏตัวเพื่อต้นฝูซัง!
เหตุใดราชามังกรสามหัวถึงไม่มาสักที
ระแวดระวังหรือ หรือว่าแอบวางแผนลับอะไรอยู่’
หานเจวี๋ยคิดไม่ตก ในเมื่อคิดไม่ตกก็ได้แต่นำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาจัดการแล้ว
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งพูดถึงความคืบหน้าของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ในช่วงนี้อีกเล็กน้อย เขาตั้งใจที่จะบ่มเพาะมู่หรงฉี่ให้เป็นศิษย์เอกของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ มีอำนาจสั่งการศิษย์ทั่วทั้งสำนัก นอกจากตำแหน่งที่ไม่สามารถเทียบเคียงกับผู้อาวุโสได้แล้ว อำนาจที่แท้จริงนั้นสูงกว่าผู้อาวุโส
สำหรับเรื่องนี้หานเจวี๋ยไม่มีความเห็นใดๆ ให้นักพรตเต๋าจิ่วติ่งจัดการตามสมควร
มู่หรงฉี่ทำให้นักพรตเต๋าจิ่วติ่งรู้สึกประหลาดใจจริงๆ คิดไม่ถึงว่าพรสวรรค์ของเจ้าเด็กนี่จะน่ากลัวถึงเพียงนี้
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งยังคิดแม้กระทั่งว่า ศิษย์คนอื่นๆ ภายใต้สังกัดของหานเจวี๋ยจะเก่งกาจเช่นนี้หรือไม่
แต่เขาไม่กล้าถามอะไรมาก หานเจวี๋ยยอมให้มู่หรงฉี่ทำคุณให้กับสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
หลังจากนักพรตเต๋าจิ่วติ่งจากไป หานเจวี๋ยก็นำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งราชามังกรสามหัว
……
ดินแดนทางตอนเหนือของต้าเยี่ยน
ราชาปีศาจเตี่ยนซู่กำลังคุกเข่าตัวสั่นเทิ้มอยู่บนพื้นหิมะ ตรงหน้าเขามีดวงตาแดงฉานสามคู่อยู่ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายเต็มท้องฟ้า ดวงตานี้มีขนาดใหญ่กว่าราชาปีศาจเตี่ยนซู่มากนัก ร่างของเจ้าของดวงตาจะต้องมีขนาดมหึมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“ทิศทางที่ท่านพูดถึงน่าจะมาจากสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์…ข้าขอเตือน ท่านล้มเลิกความคิดนี้ไปเสียจะดีกว่า”
ราชาปีศาจเตี่ยนซู่กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ความหวาดกลัวที่เขามีต่อปีศาจตรงหน้านี้ทำให้เขานึกถึงพญาอสรพิษหยกก่อนหน้านี้ขึ้นมา
เทียบกันแล้วมีแต่เหนือกว่า!
ราชามังกรสามหัว!
น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นมาแทบจะทันที “สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์แข็งแกร่งมากหรือ”
“แข็งแกร่งมาก อาจจะมีมนุษย์เซียนอยู่ในนั้นหนึ่งท่าน”
“เหลวไหล มนุษย์เซียนจะอยู่ในโลกมนุษย์ได้อย่างไร”
“ถึงอย่างไรก็แข็งแกร่งมาก ใต้หล้าในยามนี้สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เป็นสถานที่ที่น่าหวาดกลัวที่สุด แม้แต่ข้ายังคิดว่าจวนเซียนสวรรค์ยังไม่น่ากลัวเท่าสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์”
ได้ยินเช่นนี้ราชามังกรสามหัวก็นิ่งเงียบไป
เดิมทีราชามังกรสามหัวก็นอนหลับสนิทอยู่ใต้พิภพ ดูดซับพลังวิญญาณพสุธา แต่ขณะที่ต้นฝูซังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เขาก็ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลในที่สุด
เขาทะลวงผ่านพื้นพิภพ คิดที่จะหาสมบัติล้ำค่าที่ดึงดูดเขาท่ามกลางความมืดมิด
แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ระหว่างที่เดินทางมานั้นเขารู้สึกหวาดผวาพิกล
เขามักจะรู้สึกว่าการไปครั้งนี้ อาจนำพาไปสู่ความตาย
เพราะอย่างนั้นราชามังกรสามหัวจึงไม่กล้าไปโดยง่าย
เขาเริ่มลดระดับความเร็ว ขณะที่เดินทางไปนั้น ก็สอบถามปีศาจที่อยู่ระหว่างทางไปด้วย
เขาได้รับคำตอบแบบเดียวกัน
หากต้าเยี่ยนมีสมบัติล้ำค่าที่ดึงดูดเขา นั่นจะต้องเป็นสมบัติที่อยู่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์อย่างแน่นอน
หากนั่นคือสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ อย่าได้ไปเด็ดขาด!
ก่อนหน้านี้จูโต้วที่บินเข้ามาในต้าเยี่ยนอย่างเกรียงไกร และบินไปยังสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ ได้ตายลงแล้ว
ก่อนหน้านี้พญาอสรพิษหยกที่มีอานุภาพไม่อาจต้านทานได้โจมตีไปยังสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ ก็ได้ตายลงแล้ว
เรื่องราวเหล่านี้อาจจะลางเลือนไปแล้วในเผ่ามนุษย์ แต่ในเผ่าปีศาจยังคงเป็นตำนานที่ทำให้บรรดาปีศาจที่ได้ฟังรู้สึกหวาดกลัวจนอกสั่นขวัญหาย
“หรือสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์จะไปไม่ได้จริงๆ”
ราชามังกรสามหัวครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
เขาก็มีตบะถึงระดับมหายานขั้นหก!
ใต้หล้านี้ใครจะสามารถสังหารเขาได้!
แต่ความรู้สึกไม่ปลอดภัยกลับยังคงอยู่!
ราชาปีศาจเตี่ยนซู่ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก กลัวว่าราชามังกรสามหัวจะพาลโกรธแล้วกินเขา
สุดท้ายราชามังกรสามหัวก็จากไปแล้ว
ราชาปีศาจเตี่ยนซู่รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
……
สิบสามปีผ่านไป
หานเจวี๋ยทะลวงถึงระดับมหายานขั้นห้า
ต้นฝูซังเองก็ยังสั่นไหวมาถึงสิบสามปี หานเจวี๋ยสงสัยแม้กระทั่งว่าต้นฝูซังจงใจทำให้เกิดขึ้น
นี่อาจเป็นพฤติกรรมการจับเหยื่อ
เหมือนกับดอกไม้กินคน
มีอีกาทองสองตัวอยู่ คาดว่าปีศาจและสัตว์เทพในโลกมนุษย์คงไม่กล้ามา
แต่หานเจวี๋ยยังคงระมัดระวังเป็นอย่างมาก เขามักจะตรวจสอบดูสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการแฝงตัวเข้ามาของปีศาจ
หลังจากทะลวงสำเร็จแล้ว หานเจวี๋ยก็ทำตบะให้มั่นคง ในขณะเดียวกันก็ตรวจสอบดูการดำรงอยู่ของตบะที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์
[ราชามังกรสามหัว: ระดับมหายานขั้นหก ทายาทมังกรแท้]
‘มาแล้วจริงๆ ด้วย!’
หานเจวี๋ยหรี่ตาลง ‘ทายาทมังกรแท้?
มีภูมิหลัง?’
หานเจวี๋ยเริ่มจำลองการทดสอบกับราชามังกรสามหัวหนึ่งรอบ
เจ้าหมอนี่เปราะบางเกินไป ถูกเขาสังหารภายในพริบตา
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจสอบดูตำแหน่งของราชามังกรสามหัว ประเดี๋ยวเดียวเขาก็รู้สึกหมดคำพูดขึ้นมา
คิดไม่ถึงว่าราชามังกรสามหัวจะแปลงร่างเป็นศิษย์หนุ่มผู้หนึ่ง กำลังคุกเข่าอยู่ตรงตีนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนกับศิษย์จำนวนมาก เพื่อต้องการกราบหานเจวี๋ยเป็นอาจารย์
ตั้งแต่สวินฉางอัน มู่หรงฉี่และฟางเหลียงทำสำเร็จ ก็มีศิษย์มาคุกเข่าตรงตีนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนอยู่ตลอด พวกเขาไม่กล้าส่งเสียงวุ่นวาย ได้แต่โขกศีรษะคำนับกับพื้นอย่างเงียบๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมู่หรงฉี่โดดเด่นขึ้นมา บรรดาศิษย์ก็เฝ้าปรารถนาในตัวผู้อาวุโสสังหารเทพยิ่งกว่าเดิม
“นี่จะมาไม้ไหนกัน”
หานเจวี๋ยเอามือลูบคางครุ่นคิด
‘ช่างเถอะ! ให้เขาคุกเข่าต่อไป!’
หานเจวี๋ยหลับตาลง และฝึกฝนต่อ
……
หนึ่งปีผ่านไป
ราชามังกรสามหัวยังคงโขกศีรษะคำนับกับพื้น หานเจวี๋ยคิดว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช้วิธีการที่ดีนัก ดังนั้นจึงให้สวินฉางอันไปรับราชามังกรสามหัว และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องกับสวินฉางอัน เขาจึงให้อีกาทองทั้งสองเกาะอยู่บนบ่าของสวินฉางอันเพื่อปกป้องเขา
ตบะของอีกาทองสูงถึงระดับมหายานขั้นเจ็ด ระดับมหายานขั้นเจ็ดถึงสองตนจะสู้ระดับมหายานขั้นหกตนเดียวไม่ได้เชียวหรือ
……………………………………….