ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 15 เงากระบี่ปรากฏ สัตว์ปีศาจแพ้พ่าย
บทที่ 15 เงากระบี่ปรากฏ สัตว์ปีศาจแพ้พ่าย
หลังจากสำเร็จวิชาสามกระบี่แยกเงาไป หานเจวี๋ยพลันมั่นใจในตัวเองขึ้นไม่น้อย
สามกระบี่แยกเงา ปราณกระบี่เปลี่ยนเป็นเงา สามารถใช้พลังวิญญาณที่แตกต่างกันได้มากสุดสามสาย หนึ่งพลังวิญญาณหนึ่งกระบี่เงา
สั่งการได้ประหนึ่งแขน!
สุดยอดวิชานี้สำแดงออกมาได้อย่างต่อเนื่อง หรือกล่าวได้ว่าขณะที่กระบี่เงาสามสายสลายไป หานเจวี๋ยก็ใช้มันได้อีก จนกว่าพลังวิญญาณจะหมดลง
พลังวิญญาณของหานเจวี๋ยก้าวหน้าเหนือผู้บำเพ็ญระดับเดียวกันไปไกล อย่างไรเสียสิ่งที่เขาฝึกฝนก็เป็นวิชายุทธ์ที่สืบทอดมาจากจักรพรรดิเซียน วิชาวัฏจักรหกวิถี!
วิชาวัฏจักรหกวิถีนอกจากจะฝึกฝนพลังวิญญาณทั้งหกชนิดแล้ว พลังวิญญาณทุกชนิดยังสามารถฝึกฝนไปจนถึงขั้นที่ทรงพลังได้
‘นับตั้งแต่วันนี้ไป เราไม่ใช่ผู้อ่อนแออีกต่อไปแล้ว’
หานเจวี๋ยคิดอย่างภาคภูมิใจ
เขากลับเข้ามาในหอ ปลุกจิตใจให้กระปรี้กระเปร่า และเตรียมตัวฝึกบำเพ็ญต่อ
ตบะต่างหากคือกุญแจสำคัญ
ตบะยิ่งสูง อิทธิฤทธิ์ของสุดยอดวิชาที่สำแดงก็ยิ่งแกร่งขึ้น!
รอจนเขาสำเร็จระดับปราณก่อกำเนิด แล้วสำแดงสามกระบี่แยกเงาอีกครั้ง อานุภาพก็จะถล่มฟ้าทลายดิน!
หานเจวี๋ยคาดหวังรอคอยยิ่งนัก!
…
หลายวันต่อมา
ยอดเขาหยกวิเวกส่งลูกศิษย์มาอีกสองคน คนหนึ่งคือฉางเยวี่ยเอ๋อร์ อีกคนคือศิษย์พี่เมิ่งเหอ
เมิ่งเหอเป็นศิษย์พี่เจ็ดของยอดเขาหยกวิเวก ตบะบรรลุถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้า ความสามารถไม่ธรรมดา
“เหตุใดป่าไม้ด้านนอกถึงถูกตัดเป็นท่อน เกิดอะไรขึ้น” เมิ่งเหอถามด้วยความสงสัย
หานเจวี๋ยตอบว่า “ก่อนหน้านี้มีสัตว์ปีศาจจะล้อมโจมตีข้า โชคดีที่ได้ผู้อาวุโสท่านหนึ่งช่วยไว้”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์พินิจมองหานเจวี๋ย ก่อนจะกล่าวถาม “ศิษย์น้อง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ระหว่างที่พูด นางยื่นมือจะจับหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยรีบถอยหลังหนึ่งก้าวทันที
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์พลันโมโห ตำหนิเขาว่า “ท่าทางที่ถอยกรูดไปนี่เจ้าตั้งใจทำหรือ”
หานเจวี๋ยแสร้งกระแอมกระไอ “อาจารย์เคยกล่าวเตือนเอาไว้ ศิษย์ยอดเขาหยกวิเวกต้องไม่…”
“ฮึ เจ้าฝันหวานไปแล้ว ศิษย์พี่แค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้นเอง!”
เมิ่งเหอมองแล้วอดหลุดยิ้มส่ายหน้าไม่ได้
ทว่าตนเองไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร ถึงแม้หานเจวี๋ยจะเก็บเนื้อเก็บตัว แต่รูปร่างหน้าตาของเขาเป็นที่เลื่องลือไปแล้ว
ผู้บำเพ็ญหญิงฝ่ายในหลายคนล้วนพูดถึงเรื่องที่ยอดเขาหยกวิเวกมีลูกศิษย์หนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาเหนือใครผู้หนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม
เมิ่งเหอได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็นหานเจวี๋ย
อย่าว่าแต่ยอดเขาหยกวิเวกเลย มองไปทั้งสำนักฝ่ายใน ก็หาใครที่รูปงามเทียบหานเจวี๋ยไม่พบ
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ถึงแม้มีรูปลักษณ์ใช้ได้ แต่เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญหญิงระดับเดียวกันในสำนักก็ยังห่างชั้นกันระดับหนึ่ง
ศิษย์น้องหานเจวี๋ยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคู่บำเพ็ญเพียร!
“อาจารย์เกรงว่าเจ้าจะเป็นอันตราย จึงส่งพวกเรามาช่วย ได้ยินมาว่าลัทธิมารฟ้ามืดอาจจะแทรกซึมเข้ามาในแดนหมื่นปีศาจแล้วก็เป็นได้ พวกเราต้องระวังตัวกันให้มากยิ่งขึ้น” เมิ่งเหอกล่าวเตือน
ลัทธิมารฟ้ามืด?
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
มิน่าล่ะ หากว่าเขากำราบมังกรขาวใจพยัคฆ์ขาวลง จะต้องถูกลัทธิมารฟ้ามืดจับตามองแน่
ที่แท้แดนหมื่นปีศาจก็มีลัทธิมารฟ้ามืดแทรกซึมเข้ามาแล้ว
บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่หลี่ชิงจื่อมายังแดนหมื่นปีศาจ
อันตรายจริงๆ
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็รู้สึกอยากออกไปจากแดนหมื่นปีศาจ
“ศิษย์น้องหญิงพักผ่อนก่อนเถอะ ศิษย์พี่จะออกไปดูสักหน่อย”
เมิ่งเหอกล่าวประโยคนี้ทิ้งไว้แล้วเดินออกไปจากหอ
หานเจวี๋ยเดินไปด้านข้าง นั่งขัดสมาธิฝึกบำเพ็ญต่อ ไม่ให้โอกาสฉางเยวี่ยเอ๋อร์ได้ชวนคุย
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เบ้ปาก เริ่มฝึกบำเพ็ญด้วยเช่นกัน
นับจากที่รู้ว่าหานเจวี๋ยไปถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้า นางก็ได้รับแรงกระตุ้น ปกติจะปิดด่านฝึกฝนตลอด
ทว่าเรื่องตบะของหานเจวี๋ย เซียนซีเสวียนห้ามไม่ให้นางแพร่งพรายออกไป ดังนั้นศิษย์ยอดเขาวิเวกคนอื่นๆ จึงไม่มีใครรู้ตบะของหานเจวี๋ย
สองวันต่อมา
เมิ่งเหอเพิ่งกลับมา
สภาพเขาสะบักสะบอมเล็กน้อย
หานเจวี๋ยและฉางเยวี่ยเอ๋อร์รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ
“ข้าไปเจอปีศาจใหญ่ตนหนึ่งเข้า เทียบเท่ากับระดับรวมแก่นปราณ เกือบตายเสียแล้ว” เมิ่งเหอเช็ดคราบเลือดออกจากมุมปาก กล่าวอย่างรู้สึกหวาดผวาในใจ
หานเจวี๋ยถามขึ้นว่า “ปีศาจในบริเวณนี้เยอะหรือ”
“หลายลี้ด้านนอกมีสัตว์ปีศาจเต็มไปหมด เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกผู้ใดใช้ค่ายกลขังไว้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง จุดที่ข้าเจอสัตว์ปีศาจค่อนข้างไกล ไม่ตามมาคุกคามเราถึงที่นี่หรอก” เมิ่งเหอตอบ
“เช่นนั้นศิษย์พี่รีบรักษาอาการบาดเจ็บก่อนเถิด”
“อืม”
เมิ่งเหอนั่งสมาธิ กำหนดลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ
ไม่นานนัก เขาก็กระอักเลือดออกมา เลือดเป็นสีดำ ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หรือว่าจะถูกพิษเข้า?
‘โชคดีที่ข้าไม่ได้เตร็ดเตร่ไปทั่ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ เป็นคนต้องไม่ทำอะไรเกินตัว’
หานเจวี๋ยฝึกฝนไปพลางครุ่นคิดไปพลาง
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่สบายใจเช่นกัน
เพิ่งมาได้สองวัน ศิษย์พี่เจ็ดก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว แดนหมื่นปีศาจแห่งนี้ช่างโหดร้ายเสียจริง
แล้วเหตุใดหานเจวี๋ยอยู่ที่นี่หลายปีกลับไม่เป็นอะไรเลย
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์มองไปยังหานเจวี๋ยด้วยความสงสัย
หรือว่าหานเจวี๋ยจะเก่งกาจยิ่งกว่าศิษย์พี่เจ็ด?
…
หลังจากที่เมิ่งเหอได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่กล้าออกไปเดินเตร่อีก
หานเจวี๋ยยุ่งอยู่กับการฝึกฝน ไม่ได้ออกไปไหนเช่นกัน
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็ย่อมไม่กล้าออกไปไหนด้วย
เวลาหนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังฝึกบำเพ็ญ
จู่ๆ เมิ่งเหอก็กล่าวขึ้นว่า “ไอปีศาจละแวกนี้หนาแน่นขึ้นทุกที หนำซ้ำพวกมันยังเคลื่อนที่รวดเร็วอีก เป้าหมาย…น่าจะเป็นพวกเรา!”
ทันทีที่พูดจบ หานเจวี๋ยกับฉางเยวี่ยเอ๋อร์ลืมตาขึ้น
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เช่นนั้นยังไม่หนีกันอีกหรือ”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วกล่าว “แต่ว่าพวกเรายอดเขาหยกวิเวกต้องดูแลที่นี่ เราจะละทิ้งหน้าที่โดยพลการหรือไร”
“อย่างนั้นท่านก็รอความตายอยู่ที่นี่แล้วกัน คุณงามความดีของท่านข้าจะบอกท่านอาจารย์ให้”
หานเจวี๋ยพูดจบก็ลุกขึ้นมา
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์รีบร้อนลุกขึ้นตาม
“ศิษย์น้องหานพูดถูก ยอดเขาทั้งสิบแปดต่างก็มีอาณาเขตควบคุมดูแล ต้องไม่ได้มีเพียงพวกเราที่เจอปีศาจบุกโจมตี คนอื่นก็ต้องหลบหนีกันแน่นอน” เมิ่งเหอพูด
นับตั้งแต่เขาถูกสัตว์ปีศาจใหญ่ไล่โจมตี เขาก็ไม่เหลือจิตใจฮึกเหิมดังเช่นครั้งแรกที่มาถึงอีกแล้ว
“ตราบใดที่มีชีวิตย่อมต้องมีความหวัง ไป!”
หานเจวี๋ยพูดจบก็พุ่งออกไปจากหอทันที ฉางเยวี่ยเอ๋อร์และเมิ่งเหอตามไปติดๆ
ทั้งสามคนใช้วิชาขี่กระบี่โบยบิน
เมื่อลอยอยู่กลางอากาศ พวกเขาก้มลงมอง เป็นไปตามคาด มีสัตว์ปีศาจนับไม่ถ้วนวิ่งกรูเข้ามาจากทั้งแปดทิศ โดยมีหอเป็นจุดศูนย์กลาง
หานเจวี๋ยมีเหงื่อซึมออกหน้าผาก
เยอะอะไรขนาดนี้!
ดูท่าเขาคงยังตื่นตัวไม่มากพอ ยังต้องฝึกฝนพลังจิตให้มากอีก
หากไม่ได้เมิ่งเหอเอ่ยเตือนละก็ ตอนนี้พวกเขาต้องตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแน่
วูบ!
เสียงทะลวงอากาศดังมาจากด้านหน้า ทั้งสามคนหันไปมอง เห็นเพียงอินทรีดำที่ปีกยาวราวสามจั้ง[1]ตัวหนึ่งโฉบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขนแต่ละเส้นบนตัวของมันประดุจลูกศรโลหะ
“ระวัง!”
เมิ่งเหอลงมือทันใด หยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่งและร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว จากนั้นแผ่นยันต์ก็ส่งเปลวไฟสามสายออกไปต้านรับอินทรีดำ
อินทรีดำหลบหลีกว่องไว บินวนเป็นวงใหญ่ในอากาศ และโฉบเข้ามาทางพวกเขาทั้งสามต่อ
ในขณะเดียวกัน วิหคปีศาจตัวอื่นก็ตรงเข้ามาโจมตีสังหาร
หานเจวี๋ยกวาดตามอง มีทั้งหมดเจ็ดตัว!
รวดเร็วมากทั้งสิ้น!
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ตกใจจนหน้าซีดเผือด มือที่ถืออาวุธเวทกำลังสั่นเทา
เมิ่งเหอเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ร้องขึ้นมาว่า “พวกเราแยกกันหลบหนี!”
หานเจวี๋ยก่นด่าในใจ
‘แยกกันก็คืออยากหนีไปคนเดียวสินะ!’
ดูจากภายนอก ตบะของหานเจวี๋ยกับฉางเยวี่ยเอ๋อร์สู้เมิ่งเหอไม่ได้ ถึงขนาดพูดได้ว่าเป็นตัวถ่วง
เมิ่งเหอหันหลังหนีไป เจ้านี่ใช้วิชาเวทแปลงร่างเป็นสายลม หลบหนีไปอย่างเร็วรี่
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ทำตัวไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกที่นางเผชิญกับช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้
ครั้นเห็นวิหคปีศาจเจ็ดตัวโจมตีสังหารเข้ามา หานเจวี๋ยสำแดงวิชาสามกระบี่แยกเงาทันที
กระบี่เงาสามสายรวมตัวออกมา จากนั้นบินโฉบออกไป
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์รู้สึกเพียงแสงกระบี่กะพริบวาบอยู่ด้านหน้า วิหคปีศาจทั้งเจ็ดตัวก็ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ตายคาที่ตรงนั้น
นางเบิกตากว้าง มองไปยังหานเจวี๋ยที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ผมยาวของหานเจวี๋ยพลิ้วไหวตามสายลม แววตาเคร่งขรึมเย็นชา แผ่รัศมีที่น่าเกรงขามอย่างหนึ่งออกมา
[ความประทับใจที่ฉางเยวี่ยเอ๋อร์มีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 4 ดาว]
สีหน้าของหานเจวี๋ยพลันเปลี่ยนไป
ซวยแล้ว!
เขาหันไปมอง พบว่าฉางเยวี่ยเอ๋อร์กำลังมองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย
ส่วนเมิ่งเหอหลบหนีไปแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงา
เจ้าบ้านี่หนีไปไวนัก!
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างตื่นเต้น “ศิษย์น้องหาน แท้จริงแล้วเจ้าเก่งกาจเช่นนี้นี่เอง!”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยความเคร่งขรึม “ศิษย์พี่ เรื่องนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไป ข้ายังอยากฝึกฝนอย่างเงียบๆ หากความสามารถของข้าถูกเปิดเผย ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นศิษย์แกนหลักก็ได้ ถึงเวลานั้นศิษย์พี่อยากเจอข้าก็ยากแล้ว!”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ก็พยักหน้ารับทันที
…………………………………………………….
[1]จั้ง หน่วยวัดของจีน 1 จั้งเท่ากับประมาณ 3.33 เมตร