ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 150 มหาเวทบรรพกาล เคราะห์ของจวนเซียนสวรรค์
บทที่ 150 มหาเวทบรรพกาล เคราะห์ของจวนเซียนสวรรค์
[ถูหลิงเอ๋อร์: ระดับสุญตาขั้นเก้า มหาเวทบรรพกาลกลับชาติมาเกิด ยุคสมัยไร้อารยะป่าเถื่อน เผ่าจอมเวทช่วงชิงอำนาจแห่งมรรคาสวรรค์กับเผ่าปีศาจจนแตกดับทั้งสองฝ่าย สูญเสียดวงชะตาที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ เผ่าจอมเวทถูกเผาทำลาย คนเผ่าจอมเวทจำนวนไม่มากลงไปแอบซ่อนในวัฏจักรหกวิถี ถูหลิงเอ๋อร์ผ่านวัฏสงสารมาหมื่นชาติ สุดท้ายแรงกรรมของเผ่าจอมเวทก็ถูกชะล้างออกไป แต่วิญญาณยังคงเป็นวิญญาณของมหาเวท สำเร็จเป็นจักรพรรดิเซียนที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นมหาเวททะลุฟ้าทะลวงปฐพีได้ ถูหลิงเอ๋อร์เป็นผู้ดูแลจวนเซียนสวรรค์ รับคำสั่งอาจารย์มาตามหาฟางเหลียง]
‘มหาเวทบรรพกาล?
บรรลุจักรพรรดิเซียนถึงสามารถเปลี่ยนเป็นมหาเวทได้?
ถ้าเช่นนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน’
หานเจวี๋ยแอบตกใจ แม่นางผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยนี่
แต่เขาสังเกตเห็นว่าถูหลิงเอ๋อร์ได้รับคำสั่งมาจากอาจารย์ คาดว่าคงไม่ได้มาดี
เขาค่อนข้างระมัดระวัง จึงจำลองการต่อสู้กับถูหลิงเอ๋อร์ไปหนึ่งรอบ
วินาทีต่อมา เขายิ้มเยาะกับตนเอง
ถูหลิงเอ๋อร์เพียงมีภูมิหลังของมหาเวทเท่านั้น แต่ไม่ใช่มหาเวทที่แท้จริง พลังแท้จริงก็พอเทียบเท่าผู้บำเพ็ญระดับรวมกายาจำนวนหนึ่งเท่านั้น ห่างชั้นจากเขามากนัก
หานเจวี๋ยตรวจสอบพบว่าถูหลิงเอ๋อร์ได้มาถึงตีนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนแล้ว
ฟางเหลียงรับรู้ถึงกลิ่นอายพลังของนาง จึงลงไปพบนางด้วยตนเอง
“ผู้อาวุโส ท่านมาได้อย่างไร” ฟางเหลียงกุมมือคารวะแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
เขาเกือบลืมไปแล้วว่าตนเองเป็นศิษย์ของจวนเซียนสวรรค์
ถูหลิงเอ๋อร์สวมอาภรณ์สีเหลืองเสื้อคลุมสีเขียว ผมขดอยู่ใต้ปิ่นหยก ใบหน้างดงามเพริศพริ้ง แม้จะไม่ได้งามเลิศ แต่รวมกับคุณสมบัติประจำตัวแล้ว ยังคงทำให้ผู้คนตกตะลึงได้
ถูหลิงเอ๋อร์มองไปทางเขาเพียรบำเพ็ญเซียน เอ่ยถามว่า “ฟางเหลียง ภูเขาลูกนี้มีที่มาอย่างไร เหตุใดพลังวิญญาณถึงได้เข้มข้นเพียงนี้”
‘นี่แทบจะไม่ต่างจากแดนบำเพ็ญเพียรศักดิ์สิทธิ์ของจวนเซียนสวรรค์เลย!
ดินแดนคับแคบเช่นต้าเยี่ยนกลับแอบซ่อนสถานที่ล้ำค่าเช่นนี้เอาไว้!’
ฟางเหลียงกล่าวขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน “นี่คือสำนักแรกของข้า ท่านมาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ ไม่ใช่ว่าข้าบอกกับจวนเซียนสวรรค์แล้วหรือว่าจะไม่กลับไปอีก นอกเสียจากจวนเซียนสวรรค์จะพบกับความยากลำบาก”
จวนเซียนสวรรค์ไม่ใช่สำนักเรียบง่ายธรรมดา นอกจากจะบ่มเพาะศิษย์ของตนแล้ว ยังชี้แนะศิษย์ที่มาจากสำนักอื่น สร้างสัมพันธ์กับผู้คนอย่างกว้างขวาง
“พรสวรรค์เช่นเจ้าสามารถเทียบกับจี้เซียนเสินได้ เจ้าคิดว่าจวนเซียนสวรรค์จะทิ้งเจ้าได้ลงหรือ ที่ข้ามาหาเจ้าในครั้งนี้ เพราะจวนเซียนสวรรค์พบกับความลำบากครั้งใหญ่ มารแท้หลายสิบตนโจมตีจวนเซียนสวรรค์ จวนเซียนสวรรค์ตกอยู่ในศึกใหญ่ อาจารย์ข้าให้ข้ามาหาเจ้า หวังว่าจะขอให้เทพเซียนพสุธาที่เจ้านับถือท่านนั้นลงมือ เขาอยู่บนเขาหรือไม่” ถูหลิงเอ๋อร์ถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
สายตาของนางจ้องอยู่ที่ต้นฝูซังบนยอดเขา
‘ต้นไม้นั่นไม่ธรรมดา มีที่มาอย่างไรกัน’
ฟางเหลียงส่ายหน้ากล่าว “เทพเซียนพสุธาที่ข้าพบเจอท่านนั้นเพียงแค่พบกันโดยบังเอิญ ซึ่งได้จากไปนานแล้ว ในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็ไม่มีผู้ทรงพลังที่สามารถช่วยจวนเซียนสวรรค์ได้”
ถูหลิงเอ๋อร์กล่าวพร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ของพวกเจ้ายังขาดผู้อาวุโสหรือไม่ ข้าอยากฝึกฝนอยู่บนเขาลูกนี้ เจ้าช่วยถามให้ข้าหน่อยเถิด”
“หา?”
“เหตุใดเล่า”
“มิใช่ว่าจวนเซียนสวรรค์ประสบความยากลำบากหรอกหรือ ผู้อาวุโส ท่านไม่เป็นกังวลหรืออย่างไร”
“ก็เพราะว่าลำบากถึงไม่กลับไป”
“…”
“เจ้าเองก็กล่าวไม่ใช่หรือว่าหากจวนเซียนสวรรค์ประสบกับความยากลำบากเจ้าจะกลับไป ถ้าเช่นนั้นเจ้ากลับไปหรือไม่”
“…”
ฟางเหลียงพูดไม่ออก
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปถามอาจารย์ปู่ของข้า”
ถูหลิงเอ๋อร์พยักหน้า และนั่งลงขัดสมาธิตรงหน้าแผ่นหินตรงประตูขึ้นเขา
ฟางเหลียงรีบขึ้นเขาไปกราบไหว้หานเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยให้เขาเข้าไปคุยในถ้ำเทวา
ฟางเหลียงบอกจุดประสงค์ในการมาของถูหลิงเอ๋อร์ให้เขาฟัง จากนั้นก็กล่าวว่า “อาจารย์ปู่ คุณสมบัติของถูหลิงเอ๋อร์จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของจวนเซียนสวรรค์ แต่นางผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ยมนี้อาศัยภารกิจแอบอ้างออกห่างจากจวนเซียนสวรรค์ เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่ใช่คนดีอะไร”
ชัดเจนมากว่าเขาไม่ชอบถูหลิงเอ๋อร์ เพียงแต่ด้วยระดับความอาวุโสในจวนเซียนสวรรค์เขาจำเป็นต้องไว้หน้านาง
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “นางแบกรับหนี้เลือดไว้หรือไม่”
ฟางเหลียงนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “หาไม่ ตั้งแต่เล็กนางเติบโตในจวนเซียนสวรรค์ แต่นางมุมานะฝึกฝนมาตลอดหลายปี คบค้าสมาคมกับผู้คนน้อยนัก”
“ปฏิเสธนางไปเถิด”
“ขอรับ!”
ฟางเหลียงจากไปด้วยความดีใจ
แม้ถูหลิงเอ๋อร์จะมีภูมิหลังวิญญาณที่ยอดเยี่ยม แต่ตอนนี้นางโตแล้วไม่สะดวกที่จะล้างสมอง อีกทั้งนางยังเป็นศิษย์ของจวนเซียนสวรรค์ หานเจวี๋ยไม่อยากสร้างปัญหา
ทันใดนั้น หานเจวี๋ยก็เริ่มตรวจสอบจดหมาย
ผ่านไปนานหลายปีเช่นนี้ มารแท้ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใหญ่โตมากนัก ไม่มีการนำของโหลวอวี้เซวี่ย แม้แต่จวนเซียนสวรรค์พวกเขาก็ไม่อาจโจมตีครอบครองได้ กลับทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
‘จวนเซียนสวรรค์มีของอยู่บ้าง!’
[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารแท้] x145
[จี้เซียนเสินสหายของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย]
[จี้เหลิ่งฉานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารแท้] x4
[โจวฝานสหายของท่านได้รับโอกาสวาสนา กายเนื้อเกิดการเปลี่ยนแปลง]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารแท้ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านทราบซึ้งสัจธรรมมหามรรค พลังมรรคเพิ่มพูน]
[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญกับการปลุกปั่นของเผ่ามาร จนทำให้เกิดมารในใจ]
[จี้เซียนเสินสหายของท่านหยั่งรู้วิชาศักดิ์สิทธิ์ จิตดั้งเดิมเกิดการเปลี่ยนแปลง]
……
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว
แม้แต่จี้เซียนเสินยังได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูท่าจวนเซียนสวรรค์คงจะตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
หานเจวี๋ยลังเลว่าจะไปช่วยดีหรือไม่
ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหน้า
เขาจัดการผู้บัญชาการมารแท้ไปแล้ว หากแม้แต่มารแท้ตนอื่นๆ จวนเซียนสวรรค์ยังจัดการไม่ได้ วันหน้าจะเผชิญหน้ากับเผ่ามารได้อย่างไร
หานเจวี๋ยก็ไม่อยากให้สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ถูกขโมยไปหลังจากเขาจากไปแล้ว
นอกจากนี้ จี้เสินเซียนยังหยั่งรู้วิชาศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้ชัดว่ามาในรูปแบบของตัวเอก บางทีศึกนี้อาจจะเป็นศึกที่ทำให้จี้เซียนเสินทะยานขึ้นฟ้าในคราเดียวก็ได้
ขณะที่หานเจวี๋ยครุ่นคิดอยู่นั้น
ฟางเหลียงก็มาอีกครั้ง
“อาจารย์ปู่ นางไม่ยอมไป นางกล่าวว่านางสามารถกราบท่านเป็นอาจารย์ได้” ฟางเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น
เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของถูหลิงเอ๋อร์ ดังนั้นจึงไม่อาจบีบไล่นางได้
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “อยากกราบข้าเป็นอาจารย์ย่อมได้ คำนับพื้นสิบปี”
ฟางเหลียงได้ยินก็ลังเลอยู่บ้าง แต่ยังคงลงเขาไปถ่ายทอดวาจาของเขา
อู้เต้าเจี้ยนถามด้วยความสงสัย “ท่านอยากจะรับนางเป็นศิษย์จริงๆ หรือ”
หานเจวี๋ยยิ้มกล่าว “ดูก่อนว่านางจะยอมก้มหัวหรือไม่”
……
ตรงตีนเขา เมื่อฟังวาจาของฟางเหลียงจบ ถูหลิงเอ๋อร์ก็คุกเข่าตรงหน้าแผ่นหิน และเริ่มคำนับกับพื้นทันที
ฟางเหลียงขมวดคิ้วถาม “นี่ก็จำเป็นด้วยหรือ แม้ท่านอยากจะหลบเคราะห์ของจวนเซียนสวรรค์ ก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ถูหลิงเอ๋อร์คำนับไปด้วยพร้อมกล่าวไปด้วยว่า “สามารถทำให้เจ้าละทิ้งความเมตตาของจวนเซียนสวรรค์ได้ สามารถบ่มเพาะภูเขาอันล้ำค่าเช่นนี้ออกมาได้ เจ้าของภูเขาลูกนี้จะต้องเป็นเทพเซียนพสุธาที่เจ้านับถืออย่างแน่นอน”
ฟางเหลียงนิ่งเงียบไป
ยังมีอีกเรื่องที่ถูหลิงเอ๋อร์ไม่ได้กล่าว
อันที่จริงแล้วไม่ใช่จวนเซียนสวรรค์ที่ขอร้องให้ฟางเหลียงกลับไป สำหรับเคราะห์ของจวนเซียนสวรรค์ในครั้งนี้ ฟางเหลียงจะช่วยได้สักเพียงใดกัน
เป็นนางเองที่เสนอเรื่องให้ตามหาฟางเหลียง นางจงใจใช้คำสวยหรูว่ารวบรวมพลังของจวนเซียนสวรรค์ที่อยู่ด้านนอก
สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ ตอนที่ถูหลิงเอ๋อร์บำเพ็ญเพียรนางมักจะฝันอยู่บ่อยๆ
ในฝันนั้น นางมักจะเห็นภูเขาลูกหนึ่ง บนภูเขานั้นมีเงาร่างลึกลับอยู่หนึ่งเงา
ตอนแรกฝันยังแค่เลือนราง ต่อมาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งนางฝันเห็นฟางเหลียงที่นางเคยคบค้าสมาคมคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเงาร่างลึกลับนั้น นางถึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับฟางเหลียงอย่างแน่นอน
ถูหลิงเอ๋อร์เชื่อในความฝันของตัวเองมาก
ตั้งแต่เล็กจนโต นางยังหยั่งรู้พลังวิเศษจากในฝันด้วย
นี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่นางกลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์ของจวนเซียนสวรรค์
ตอนที่ได้ยินว่าหานเจวี๋ยให้นางคำนับลงกับพื้น การตอบสนองแรกของนางคือโกรธแค้น แต่ในใจกลับโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
มาดในการพูดจาของอีกฝ่ายใหญ่โตเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้ทรงพลัง!
เป็นดังที่คิดไว้จริงๆ!
ดินแดนแห่งความฝันชักนำให้นางเดินเข้าหาโอกาสอีกครั้ง!
ฟางเหลียงเห็นนางยืนกรานเช่นนี้ ก็ไม่เอ่ยวาจาเกลี้ยกล่อมอีก เขาหมุนตัวเดินจากไปเพื่อกลับไปฝึกฝนต่อในถ้ำ
……………………………………….