ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 162 โชคชะตาจักรพรรดิเซียน ระดับเซียนอิสระวัฏจักรขั้นปลาย
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 162 โชคชะตาจักรพรรดิเซียน ระดับเซียนอิสระวัฏจักรขั้นปลาย
บทที่ 162 โชคชะตาจักรพรรดิเซียน ระดับเซียนอิสระวัฏจักรขั้นปลาย
“สังหารแม่ทัพสวรรค์และทหารสวรรค์ ยังต้องรอให้วังสวรรค์เชื้อเชิญอีกหรือ”
หานเจวี๋ยมองเซียนเมฆาแดงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด สายตานั้นราวกับกำลังบอกว่าท่านเอาจริงหรือ
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พลันนึกถึงตำนานหนึ่งขึ้นมาได้
ตำนานของซุนหงอคง
ซุนหงอคงมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาไม่มี
เรื่องนี้อันตรายเกินไป!
ไม่อาจทำได้!
เซียนเมฆาแดงกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเจ้าไม่กล้า แล้วยังคิดอยากมีชีวิตรอด เช่นนั้นก็มีเพียงแต่ตามข้าเข้าสู่วังสวรรค์แล้ว”
หานเจวี๋ยเอ่ยถามว่า “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ”
“ไม่มี หากเจ้าอยากช่วยเหล่าศิษย์และศิษย์หลานของเจ้าก็มีเพียงแต่วิธีนี้”
“วังสวรรค์จะกวาดล้างโลกมนุษย์เมื่อใด”
“หากเร็วหน่อยก็หลายร้อยปี ช้าหน่อยก็พันปี”
“ข้าคิดดูก่อนแล้วกัน”
“อืม”
เซียนเมฆาแดงสะบัดแขนเสื้อ ทะเลดาราจักรวาลรอบกายพลันแตกกระจายโดยพลัน หลังจากนั้นจิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับเข้าสู่กายเนื้อ
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ลูบปลายคางครุ่นคิด
‘เรื่องนี้ยังต้องถามพี่ใหญ่สักหน่อย’
หานเจวี๋ยรีบหยั่งรู้มรรคกระบี่ในทันที
หลายสิบวันต่อมา เขาเข้าสู่แม่น้ำมรรคกระบี่ด้วยความคุ้นชินเป็นอย่างมากไม่ต่างอะไรกับการกลับบ้านเกิด
เขาหาจั้งกูซิงพบ สอบถามตำนานของยอดแม่ทัพเทพ ส่วนเซียนเมฆาแดง เขาไม่ได้เอ่ยถึง
การที่เซียนเมฆาแดงสามารถบอกกับเขาได้มากมายเพียงนั้นก็ถือว่ามีเมตตามหาศาลแล้ว หากเขายังพูดถึงเซียนเมฆาแดงอีก นั่นยังนับว่าเป็นคนอยู่อีกหรือ
เช่นนี้อาจจะเป็นการล่วงเกินเซียนเมฆาแดงก็ได้!
จั้งกูซิงพึมพำกล่าวว่า “เจ้าอยากเอาอย่างยอดแม่ทัพเทพของวังสวรรค์หรือ จักรพรรดิสวรรค์ก็มีเรื่องราวฉาวโฉ่เช่นนี้จริง ใช้กำลังข่มขู่ผู้อ่อนแอกว่า แม่ทัพสวรรค์ของวังสวรรค์จำนวนไม่น้อยล้วนเคยเป็นศัตรูของวังสวรรค์ จักรพรรดิสวรรค์เห็นว่าคุณสมบัติของพวกเขาไม่เลว จึงไม่สนใจเรื่องราวในอดีต ถึงขั้นยังปูนบำเหน็จครั้งใหญ่ หากเจ้าอยากเดินเส้นทางนี้ก็ย่อมได้ หากเข้าตาจักรพรรดิสวรรค์ได้ จูเชวี่ยนั่นก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้า”
“แม้วังสวรรค์จะกริ่งเกรงพวกจูเชวี่ย แต่ใส่ใจผู้กล้ามากกว่า จักรพรรดิสวรรค์เคยล่วงเกินสำนักพุทธเพื่อยอดแม่ทัพเทพ จนเกือบจะเปิดศึกใหญ่ในแดนเซียนขึ้น”
“คิดอยากเดินเส้นทางนี้ก็ยากยิ่งนัก อีกอย่างเวลาของเจ้าก็ไม่ได้มากถึงเพียงนั้น”
หานเจวี๋ยทอดถอนใจกล่าวว่า “ข้าจะลองพยายามอย่างสุดความสามารถ หากไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นข้าก็มีแต่ต้องเลือกที่จะหนี”
‘สู้ไม่ไหว เขาก็จะหนีไปที่ยมโลก หากวังสวรรค์ให้เมืองยมบาลไล่ล่าสังหารเขา เขาก็จะหนีไปยังโลกอื่น
ต้องมีสักที่ให้หนีได้!’
“จึ๊ๆ หากเจ้าทำสำเร็จจริง เช่นนั้นเส้นทางข้างหน้าก็สว่างรุ่งโรจน์ แม้ช่วงนี้วังสวรรค์จะวุ่นวายไม่หยุดหย่อน แต่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นขุมอำนาจที่รากฐานแน่นหนาที่สุดในสวรรค์ เป็นตัวแทนมรรคาสวรรค์”
จั้งกูซิงกล่าวขึ้นยิ้มๆ แต่ในใจกลับกำลังสงสัยว่าเป็นใครกันที่เล่าเรื่องนี้ให้หานเจวี๋ยฟัง
‘คนผู้นั้นช่างใจกล้าจริงๆ!’
หานเจวี๋ยทอดถอนใจกล่าวว่า “สรรพชีวิตส่วนใหญ่ในโลกมนุษย์มีความผิดใดกัน ถึงต้องเผชิญหน้ากับจุดจบที่ถูกฆ่าล้างสังหาร แม่ทัพสวรรค์และทหารสวรรค์บุกน้ำลุยไฟเพื่อวังสวรรค์ เมื่อเผชิญกับคำว่าคุณสมบัติแล้วล้วนกลายเป็นมดเป็นแมลง นี่ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งอันศักดิ์สิทธิ์ก็แฝงไว้ด้วยปัญหาอยู่มากมายเช่นกัน”
เหล่าคนที่เลื่อมใสศรัทธาในเทพเซียน มีหรือจะรู้ว่าเทพเซียนก็เป็นแค่คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นเอง
“สิ่งที่เรียกว่าเทพเซียน เดิมก็เป็นแค่คำลวงหลอกอย่างหนึ่ง” จั้งกูซิงส่ายหน้ากล่าว
หานเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไรให้มากความ หลังจากรู้ว่าวิธีนี้ใช้ได้การก็จากไปทันที
กระทั่งหานเจวี๋ยออกไปจากแม่น้ำมรรคกระบี่แล้ว เงาร่างสีม่วงสายหนึ่งก็ปรากฏอยู่ข้างกายจั้งกูซิง
“นี่ก็คือมนุษย์ธรรมดาที่เจ้าถูกใจผู้นั้น?” เงาร่างสีม่วงเอ่ยถาม
จั้งกูซิงกล่าวตอบว่า “อืม เจ้าเด็กนี่เพิ่งอายุแปดร้อยปี”
เงาร่างสีม่วงกล่าวเย้ยหยันว่า “เขาก็ไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป”
“หืม”
“บนร่างเขามีดวงชะตาจักรพรรดิเซียนอยู่ คาดว่าคงเป็นลูกหลานของจักรพรรดิเซียนสักองค์ หรือไม่ก็เคยได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิเซียน”
“จักรพรรดิเซียน? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นอนาคตของเขาก็ยิ่งคุ้มค่าแก่การรอคอย”
“เจ้ารอคอยอะไร คิดอยากให้เขามาแทนที่เจ้า?”
“รอให้เขาประคับประคองผ่านด่านเคราะห์นี้ไปก่อนค่อยว่ากัน”
“ไม่พูดเรื่องเขาแล้ว วังเทพให้ข้ามาเชิญเจ้า เจ้ายินดีกลับไปหรือไม่ ร่างเดิมของเจ้ายังเก็บรักษาอยู่ที่วังเทพ แต่ไหนแต่ไรวังเทพก็ไม่เคยทอดทิ้งเจ้าจริงๆ”
“วังเทพล้ำลึก ข้าไม่อยากกลับไปอีก อยู่ที่นี่ก็ดีมากแล้ว ไร้ห่วงไร้กังวล หยั่งรู้มรรคกระบี่ ก็ไม่ต้องพิจารณาสิ่งอื่นใด หากชีวิตตลอดกาลล้วนเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็พึงพอใจ”
…
เมื่อกลับมาถึงภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยก็ทำให้มรรคกระบี่ที่เพิ่งรู้แจ้งมานั้นเสถียรมากขึ้น
หลายวันต่อมา เขาถึงเพิ่งจะเริ่มฝึกบำเพ็ญใหม่อีกครั้ง
ระดับเซียนอิสระวัฏจักรระยะกลางก็ไม่เพียงพอ!
ตอนที่หานเจวี๋ยกำลังปิดด่านฝึกฝนอยู่นั้น แดนบำเพ็ญพรตก็เกิดคลื่นลมซัดโหม
จวนเซียนสวรรค์พบเจอกับการฆ่าล้างสังหารของนักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยน บาดเจ็บล้มตายเกินครึ่ง เรื่องนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ สัมผัสได้ถึงความหวัง ต่างพากันถือโอกาสพัฒนาแผ่ขยาย สายมารยิ่งรวบรวมกำลังล้อมโจมตีจวนเซียนสวรรค์อีกครั้ง
ถึงแม้จวนเซียนสวรรค์จะน่าเวทนาจนยากจะบรรยาย แต่เมื่อทอดสายตามองดินแดนบำเพ็ญพรตทั่วทั้งใต้หล้า ส่วนใหญ่แล้วล้วนอยู่ท่ามกลางความสุขสงบ ไม่ต่างอะไรจากแดนบำเพ็ญพรตหลายปีที่ผ่านมา
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเริ่มออกไปข้างนอกอีกครั้ง ชักชวนศิษย์ใหม่ที่เป็นแขกต่างแดน มีคุณสมบัติรากวิญญาณโดดเด่นให้แก่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์
เพียงพริบตา เวลาผ่านพ้นไปเจ็ดปี
หลี่ชิงจื่อทนไม่ไหว ขีดจำกัดของเขามาถึงแล้ว
เขามุ่งหน้ามาเยี่ยมหานเจวี๋ย
“ผู้อาวุโสหาน ข้าอาจจะประคองไปได้อีกไม่กี่ปี ของล้ำค่าฟ้าดินภายในสำนักก็ไม่สามารถเพิ่มอายุขัยให้ข้าได้อีก ข้าเตรียมตัวที่จะออกไประหกระเหินข้างนอกสักหลายปี เป็นไปได้ว่าอาจจะตายอยู่ข้างนอกเหมือนกับท่านอาจารย์ของข้า” หลี่ชิงจื่อกล่าวกลั้วหัวเราะ
เขาไม่ได้เศร้าโศกเสียใจ ตรงกันข้ามกลับดูปล่อยวาง
หานเจวี๋ยเอ่ยถามว่า “เจ้ายังมีความปรารถนาใดที่ยังทำไม่สำเร็จหรือไม่”
รอยยิ้มของหลี่ชิงจื่อเลือนหาย กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ก่อนที่เจ้าจะขึ้นสวรรค์ ช่วยปกป้องสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ให้ดี ปกป้องเซียนซีเสวียน ศิษย์น้องของข้าให้ดี”
หานเจวี๋ยพยักหน้า
หลี่ชิงจื่อเริ่มพูดคุยกับเขาไปเรื่อยๆ พรรณนาถึงชีวิตของตน
หานเจวี๋ยฟังอย่างตั้งใจ
อู้เต้าเจี้ยนเองก็ฟังอย่างเข้าถึงจิตวิญญาณ
ชีวิตของหลี่ชิงจื่อบางทีอาจจะไม่ถือว่าแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้อาวุโสสูงสุดสายใน จนถึงการวิ่งเต้นเพื่อสำนัก เขาอธิบายด้วยความเรียบนิ่ง ท่าทางดูไม่เหน็ดไม่เหนื่อย
หานเจวี๋ยไม่ได้โศกเศร้า เพียงแต่ทอดถอนใจออกมาเล็กน้อย
‘ตายไปก็ดีเช่นกัน เกิดใหม่ชาติหน้า ค่อยไล่ตามมหามรรคอีกครั้ง’
นอกจากชีวิตที่เป็นอมตะแล้ว เรื่องชื่อเสียง อำนาจและสตรีที่คนส่วนใหญ่เฝ้าใฝ่ฝันปรารถนา หลี่ชิงจื่อล้วนเคยได้รับมาหมดแล้วทั้งสิ้น ชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้นึกเสียใจ
จวบจนกระทั่งวันที่สอง เขาถึงจากไป
หานเจวี๋ยลุกขึ้นส่งเขาออกจากถ้ำเทวา
ก่อนนหน้านี้หลี่ชิงจื่อเคยเยี่ยมเยียนผูกไมตรีกับเซียนซีเสวียนและนักพรตเต๋าจิ่วติ่ง หานเจวี๋ยถูกเขาวางไว้ลำดับท้ายสุด
ทั้งชีวิตนี้คนที่มีอิทธิพลต่อเขามากที่สุดอาจจะไม่ใช่หานเจวี๋ย แต่หลี่ชิงจื่อรู้สึกว่าคนที่ตนควรขอบคุณมากที่สุดก็คือเขา
มองดูหลี่ชิงจื่อบินทะยานขึ้นไปบนฟ้า หานเจวี๋ยที่ยืนอยู่ริมหน้าผาก็ทอดมองอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้านิ่งสงบ
ไก่คุกรัตติกาลไม่ได้พูดล้อเล่นอย่างหาได้ยากนัก หากแต่มาหยุดข้างกายหานเจวี๋ย เอ่ยถามว่า “นายท่าน จากนี้ต่อไป พวกเราก็ไม่ต้องใช้ทางหนีแล้วใช่หรือไม่”
แม้หานเจวี๋ยจะเอาแต่พูดถึงทางหนีมาโดยตลอด ทว่าตั้งแต่ไก่คุกรัตติกาลจำความได้มันก็อาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
“นั่นก็ไม่แน่” หานเจวี๋ยกล่าวตอบ
การจากไปของหลี่ชิงจื่อกลับไม่ได้ทำให้เกิดระลอกคลื่นโหมซัดในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์
ผ่านไปหลายปีเพียงนี้ มีคนมากมายลืมเลือนเขาไปแล้ว
“หากชาติหน้าได้พบกัน ข้าจะมอบโอกาสวาสนาให้แก่เจ้า”
หานเจวี๋ยกล่าวกลั้วหัวเราะเสียงเบา กล่าวเสร็จ เขาก็ก้มหน้าหันกายกลับไป
มนุษย์มีเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก
อีกอย่างหลี่ชิงจื่อก็ไม่ได้ตายเพราะความเกลียดชัง
สี่ปีต่อมา
หานเจวี๋ยมองเห็นจดหมายฉบับหนึ่ง
[หลี่ชิงจื่อสหายของท่านอายุขัยถึงขีดจำกัด ตัวตายวิญญาณสลาย จมสู่ห้วงวัฏจักร]
หานเจวี๋ยทำเพียงทอดถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนฝึกบำเพ็ญต่อไป
ผ่านการสูญเสียหลี่ชิงจื่อไป สภาพจิตใจของหานเจวี๋ยก็ยกระดับขึ้น
ยี่สิบสามปีต่อมา
หานเจวี๋ยก็ทะลวงถึงระดับเซียนอิสระวัฏจักรระยะปลายแล้ว
เขาหยุดการฝึกบำเพ็ญ หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาเริ่มสาปแช่งหยางซ่าน จูเชวี่ยและนักพรตเต๋าตันชิง
วันนี้
ท้องนภาแปรเปลี่ยนฉับพลัน รอยแยกสีดำที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาสายหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือทะเลเมฆ เหล่าผู้บำเพ็ญของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ที่เป็นพยานเห็นภาพเหตุการณ์ในครั้งนี้ ล้วนพากันตกใจลนลาน
นี่มัน…
ฟ้าถล่ม?
……………………………………………………………………………………