ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 180 มหากงล้อโชคชะตาปราณกระบี่ บุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 180 มหากงล้อโชคชะตาปราณกระบี่ บุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์
บทที่ 180 มหากงล้อโชคชะตาปราณกระบี่ บุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์
ใต้ต้นฝูซัง
ฟางเหลียงแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เป็นสีขาวไปทั้งแถบ หิมะโปรยปรายไปทั่วท้องนภา
ถูหลิงเอ๋อร์เอ่ยพึมพำขึ้นว่า “หิมะนี้ไม่ปกติ”
เนื่องด้วยเขาเพียรบำเพ็ญเซียนได้กลายเป็นอาณาเขตเต๋าไปแล้ว หิมะที่โปรยปรายนี้ย่อมไม่อาจตกลงมาในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนได้ ทำให้เขาเพียรบำเพ็ญเซียนเป็นเพียงเขาลูกเดียวในบริเวณนี้ที่ไม่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
ราชามังกรสามหัวเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ไม่ปกติตรงที่ใด”
“หิมะนี้แฝงไปด้วยพลังวิญญาณ”
เจ้าใหญ่เอ่ยต่อ อีกาทองสองตัวก็เอียงคอมองไปบนท้องนภาเช่นเดียวกัน
หยางเทียนตง ฉู่ซื่อเหริน ไก่คุกรัตติกาลและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นต่างก็ทอดมองเช่นกัน
ขณะนั้นเอง
หานเจวี๋ยและอู้เต้าเจี้ยนเดินออกจากถ้ำเทวามายังใต้ต้นฝูซัง
“วังสวรรค์อาจจะกำลังมา” หลังจากนั่งลง หานเจวี๋ยก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา
‘วังสวรรค์!’
ทุกคนมีสีหน้าแปรเปลี่ยน
ในเทพนิยาย วังสวรรค์ก็คือตัวแทนของเทพเซียน
ก่อนหน้านี้ฟางเหลียงก็รู้เรื่องที่วังสวรรค์จะชำระล้างโลกมนุษย์แล้ว ดังนั้นจึงมีสีหน้าซับซ้อน
“หมายความว่าอย่างไร” ถูหลิงเอ๋อร์ไม่เข้าใจ
ฟางเหลียงรีบไขข้อสงสัยให้ทุกคนทันที กระทั่งเขาเอ่ยจบ ผู้คนทั้งหลายก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
‘เทพเซียนต้องการชำระล้างโลกมนุษย์!
หากไม่ใช่การทำลายล้างขั้นสูงสุด แล้วจะเป็นอะไรได้อีก’
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ข้าเตรียมที่จะขัดขวางเทพเซียน”
เมื่อวาจานี้เอ่ยออกมา ทุกคนล้วนมองไปทางเขาอย่างตื่นตระหนก
พวกเขาต่างรู้ว่าหานเจวี๋ยแข็งแกร่งมาก แต่เขาแข็งแกร่งจนสามารถต้านทานวังสวรรค์ได้แล้วหรือ
“วังสวรรค์ไม่อาจทุ่มกำลังมาทั้งหมดได้ ส่งมาเพียงแม่ทัพและทหารสวรรค์ส่วนหนึ่งเท่านั้น หากข้าสามารถต้านทานได้ ให้วังสวรรค์เห็นถึงพลังที่แท้จริงของข้า ข้าจะใช้การเข้าร่วมวังสวรรค์เป็นเงื่อนไขในการแลกกับความสงบของโลกมนุษย์” หานเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
คำพูดของเขาดูเหมือนจะเรียบง่ายสบายๆ แต่บรรดาศิษย์และศิษย์หลานต่างก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดัน
ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “นายท่าน ท่านสามารถขึ้นสวรรค์ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็พาพวกเราหนีไปด้วยกันเถิด?”
มันคิดจริงๆ ว่าหานเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องตายอย่างแน่นอน
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลองดูเถิด หากต้านทานไม่ไหวจริงๆ พวกเราคงทำได้แค่หนี”
ถูหลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วกล่าว “อาจารย์สามารถหนีได้ แล้วพวกเราเล่าจะทำอย่างไร”
“วางใจเถิด ข้าสามารถพาเขาลูกนี้ขึ้นสวรรค์ไปด้วยกันได้”
วาจานี้คือความจริง เขาเพียรบำเพ็ญเพียรได้กลายเป็นอาณาเขตเต๋าแล้ว สามารถตัดขาดมรรคาสวรรค์ได้ หลังจากขึ้นสวรรค์แล้ว ขอเพียงแค่พวกเขาไม่ไปจากเขาเพียรบำเพ็ญเซียน ก็จะไม่ถูกไอเซียนของแดนเซียนกดทับจนตาย
ราชามังกรสามหัวอดด่าทอไม่ได้ “นี่ก็คือเทพเซียนหรือ เพียงเพราะหวาดระแวงก็จะชำระล้างโลกมนุษย์ทั้งใบ? เหตุใดถึงไม่โจมตีเผ่ามารโดยตรง ข้าไม่เชื่อว่าวังสวรรค์จะทำไม่ได้! รู้สึกว่านี่คือฉากบังหน้า และพวกเราก็เป็นเครื่องสังเวยของการชำระล้างฝ่ายมารในโลกมนุษย์!”
‘ปาหี่เช่นนี้เขาก็เคยเล่นมาก่อน’
การช่วงชิงผลประโยชน์กับราชาปีศาจตนอื่น อีกฝ่ายประนีประนอมนำผลประโยชน์ให้กับเขา แต่เขาจำเป็นต้องทำให้ผู้คนเลื่อมใส เพราะอย่างนั้นอีกฝ่ายก็จะมอบปีศาจจำนวนหนึ่งมาเป็นแพะรับบาป
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร การที่ชำระล้างโลกมนุษย์โดยตรง ฟังดูแล้วมันก็พิกลๆ อยู่ดี
ถึงอย่างไรโลกมนุษย์ใบนี้ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นพวกสายหลัก!
คนอื่นๆ เองก็คิดว่าวังสวรรค์โหดร้ายเกินไป
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นมองไปทางฉู่ซื่อเหริน พูดเหน็บแนมขึ้นว่า “หากพวกข้าละทิ้งการฝึกฝน คงต้องตายเป็นแน่แท้ ได้แต่รอวังสวรรค์มาจัดการพวกเราเท่านั้น”
ฉู่ซื่อเหรินยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
เขาเองก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
เป็นอย่างที่สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นพูดจริงๆ หากละทิ้งการฝึกฝน อย่าได้เพ้อฝันว่าใต้หล้าจะสงบสุข แม้แต่โลกทั้งใบก็ไม่มีเหลือแล้ว
“อาจารย์ปู่ เช่นนั้นต้องเรียกอาจารย์และศิษย์พี่กลับมาหรือไม่” ฟางเหลียงเอ่ยถาม
หานเจวี๋ยตอบกลับว่า “ข้าเรียกแล้ว”
เขาก็ได้แจ้งเรื่องนี้กับสวินฉางอันและมู่หรงฉี่ผ่านทางตราประทับหกวิถีแล้ว
“ตั้งใจฝึกฝนเถิด ช่วงชิงเวลาในการแบ่งเบาความทุกข์กังวลให้ข้าโดยเร็ว”
ทุกคนรู้สึกละอายใจมาก
จนถึงตอนนี้ผู้คนทั้งหลายต่างก็เริ่มกระตือรือร้นในใฝ่หาความก้าวหน้า และพยายามฝึกฝนอย่างสุดความสามารถ
ดูเหมือนว่าฉู่ซื่อเหรินจะตัดสินใจได้แล้ว และเริ่มฝึกฝนด้วยเช่นกัน
พรสวรรค์ของเขาทำให้ทุกคนต้องปากอ้าตาค้าง แม้แต่หานเจวี๋ยเองก็ตกใจเช่นกัน
เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งปี เขาก็สำเร็จระดับรวมแก่นปราณแล้ว!
‘นี่มันสูตรโกงเกมชัดๆ เลย!’
หานเจวี๋ยอดสงสัยไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วบรรพชนพุทธภควัตจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน
มหาพระพุทธเจ้าห้าองค์ของสำนักพุทธ จะต้องเก่งกว่ายอดแม่ทัพเทพอย่างแน่นอน
……
ชั่วพริบตาเดียว
เวลาก็ผ่านไปอีกสิบสี่ปี
สวินฉางอันกับมู่หรงฉี่กลับมาแล้ว
ราวกับว่ามู่หรงฉี่จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เต็มไปด้วยท่วงท่าที่สง่างาม อยู่เหนือกว่าระดับรวมกายาขั้นห้า สมกับเป็นเทพสงครามวังเทพกลับชาติมาเกิดจริงๆ
สวินฉางอันยังคงท้อแท้หดหู่เช่นเคย ไร้หนทางที่จะเยียวยา
ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ ฉู่ซื่อเหรินสนิทสนมกับสวินฉางอันอย่างน่าประหลาดใจ มักจะพูดคุยกับเขาอยู่เสมอ
สวินฉางอันก็ชอบฉู่ซื่อเหรินมากเช่นกัน เอาแต่ร้องเรียกศิษย์หลานๆ อยู่ตลอดเวลา สนิทสนมยิ่งกว่าเรียกศิษย์ของตนเองเสียอีก
จะทำอย่างไรได้ ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ ความอดทนที่มู่หรงฉี่มีต่อเขาไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ไม่เคารพเขาเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งยังตะคอกใส่เขาอยู่เสมอๆ
หานเจวี๋ยเห็นการปฏิบัติต่อกันของทั้งสองแล้วก็รู้สึกแปลกๆ
ชาติก่อนสวินฉางอันเป็นเพียงของล้ำค่าฟ้าดินที่สำนักพุทธเลี้ยงดู แต่ฉู่ซื่อเหรินเป็นถึงบรรพชนพุทธ ทว่ายามนี้สวินฉางอันกลายเป็นอาจารย์อาของบรรพชนพุทธเสียแล้ว…
‘ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงไปหมด!’
ตั้งแต่ฉู่ซื่อเหรินเริ่มฝึกบำเพ็ญ หยางเทียนตงก็ยิ่งหยิ่งผยอง
ฉู่ซื่อเหรินบรรลุระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว!
เวลาสิบสี่ปีก็สำเร็จระดับปราณก่อกำเนิด ไม่ว่าฟางเหลียงหรือมู่หรงฉี่ก็สู้เขาไม่ได้!
ฟางเหลียงกับมู่หรงฉี่เองก็ตกใจเป็นอย่างมาก ยิ่งมุมานะฝึกฝนมากขึ้นกว่าเดิม
ภายในถ้ำเทวา
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังฝึกฝนนั้น เขาก็ช่วยไขข้อสงสัยให้อู้เต้าเจี้ยนไปด้วย
คุณสมบัติของอู้เต้าจี้ยนก็แข็งแกร่งมาก อย่างไรเสียก็เคยรู้แจ้งในการถกมรรคจากเทพเซียนมาก่อน แม้จะไม่สามารถเทียบได้กับฉู่ซื่อเหริน แต่ก็แข็งแกร่งกว่าพวกหยางเทียนตงและไก่คุกรัตติกาลอยู่มาก
[จักรพรรดิสวรรค์ต้องการส่งโอรสของเขามาจัดการท่านที่โลกมนุษย์ ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง รีบขึ้นสวรรค์ทันที ไม่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับวังสวรรค์ จะได้รับของล้ำค่าฟ้าดินแบบสุ่ม]
[สอง ยังไม่ขึ้นสวรรค์ชั่วคราว รอวังสวรรค์ลงมาโลกมนุษย์ จะได้สืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]
อักขระสามแถวพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย เขามองดูด้วยความอึ้งตะลึง
‘โอรสจักรพรรดิสวรรค์?
เช่นนั้นก็สังหารไม่ได้แล้ว!
สังหารทหารสวรรค์หรือแม่ทัพสวรรค์เขายังพอแทนที่ได้
แต่สังหารโอรสจักรพรรดิสวรรค์ เขายังสามารถเป็นโอรสของจักรพรรดิสวรรค์ได้ด้วยหรือ’
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น
‘หาไม่เช่นนั้นก็รีบขึ้นสวรรค์เสียให้สิ้นเรื่อง?
ไม่ได้!’
ไม่แน่ว่าหลังจากขึ้นสวรรค์แล้ว นักพรตเต๋าตันชิง จูเชวี่ยและเทพเซียนอีกเป็นกองอาจกำลังดักรอเขาอยู่
อีกอย่าง มุมานะฝึกฝนมาหลายปีเช่นนี้ก็ควรจะแสดงความน่าเกรงขามออกมาได้แล้ว
ฝึกฝนเงียบๆ ในสถานที่ที่ไม่มีผู้คนสนใจ ปรากฏตัวอย่างโดดเด่นท่ามกลางสายตาผู้คนทั่วหล้า!
หากสู้ไม่ได้ค่อยหนี!
หานเจวี๋ยตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะเลือกไม่ขึ้นสวรรค์
[ยินดีด้วย ท่านได้รับพลังวิเศษ–มหากงล้อโชคชะตาปราณกระบี่]
[มหากงล้อโชคชะตาปราณกระบี่: พลังวิเศษมรรคกระบี่ พลังวิเศษผลกรรม สามารถใช้ปราณกระบี่สร้างกงล้อผลกรรมได้ สรรพสิ่งต่างๆ ในโลกที่ถูกดูดเข้าไปในนั้น จะถูกตัดขาดชะตาชีวิต ร่างและวิญญาณดับสลาย]
[ยินดีด้วย ท่านได้รับหินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]
……
ตำหนักใหญ่ที่มืดสลัวแห่งหนึ่ง ฉับพลันนั้นประตูใหญ่ก็เปิดออก แสงสีทองเจิดจ้าขับไล่ความมืดมิดในตำหนักทันที
จักรพรรดิสวรรค์รูปร่างสูงใหญ่เหาะทะยานเข้ามาในตำหนักใหญ่ด้วยพลานุภาพอันน่าเกรงขาม
บุรุษชุดเกราะเงินที่กำลังฝึกฝนอยู่ในตำหนักลืมตาขึ้น
เขารีบลุกขึ้นไปคุกเข่าคารวะจักรพรรดิสวรรค์
ต่อหน้าจักรพรรดิสวรรค์เขาดูตัวเล็กจ้อยอย่างเห็นได้ชัด แต่หว่างคิ้วของเขามีลักษณะหยิ่งยโส ท่าทีเต็มไปด้วยความมั่นใจ
จักรพรรดิสวรรค์จ้องมองเขาและกล่าวขึ้นว่า “ซั่นเอ๋อร์ เรื่องของเทพปีศาจได้ปิดฉากลงแล้ว รอทัณฑ์สวรรค์เสร็จสิ้น ข้าก็ต้องการให้เจ้าลงไปยังโลกมนุษย์ ชำระโลกมนุษย์แห่งหนึ่ง โลกมนุษย์แห่งนี้ปรากฏบุตรแห่งสวรรค์ผู้หนึ่ง เกรงว่าคงจะบรรลุระดับเซียนสวรรค์แล้ว เจ้าจำเป็นต้องลงมืออย่างสุดกำลัง”
บุรุษชุดเงินผู้นี้มีนามว่าหลงซั่น โอรสจักรพรรดิสวรรค์ มารดามาจากเผ่ามังกรแท้ เขาฝึกฝนอยู่ที่วังสวรรค์มาโดยตลอด
หลงซั่นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ตบะระดับนี้เหตุใดถึงไม่ขึ้นสวรรค์”
“เคยมีจักรพรรดิเซียนทิ้งหินมรรคาสวรรค์ลงไปยังโลกมนุษย์ก้อนหนึ่ง และถูกเขาพบเจอเข้า บางทีเจ้าเด็กนี่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิเซียนท่านนั้น เจ้าต้องทำศึกอย่างเต็มกำลัง ห้ามยั้งมือ”
“สังหารได้?”
“สังหารได้”
……………………………………….