ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 209 เซียนลึกล้ำวัฏจักรระยะปลาย ปราบปรามมหาจักรพรรดิ
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 209 เซียนลึกล้ำวัฏจักรระยะปลาย ปราบปรามมหาจักรพรรดิ
บทที่ 209 เซียนลึกล้ำวัฏจักรระยะปลาย ปราบปรามมหาจักรพรรดิ
“วิสัยทัศน์ของมนุษย์ก็แค่นี้ รู้จักแต่แม่ทัพสวรรค์ทหารสวรรค์ ในแดนเซียนไม่ใช่ว่าวังสวรรค์เป็นใหญ่!”
นักพรตเฒ่าส่ายหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม คำพูดเต็มไปด้วยความดูถูก
โจวฝานได้ยินก็พลันสั่นสะท้าน กัดฟันกล่าวว่า “ท่านเป็นใครกันแน่”
นักพรตเฒ่ายิ้มเอ่ย “ข้าเป็นแค่ผู้อาวุโสในสำนักหนึ่งเท่านั้น”
“สำนักของพวกท่านเก่งกาจกว่าวังสวรรค์หรือ”
“พวกเราคือสำนักใต้อาณัติของวังสวรรค์”
โจวฝานเกือบจะด่าเปิงแล้ว
‘เช่นนั้นเจ้ายังโม้อะไรอีก”
นักพรตเฒ่าแค่นเสียงขึ้นจมูก “ตั้งใจฝึกฝนไป อย่าคิดอะไรเยอะ!”
โจวฝานได้แต่ข่มอารมณ์โกรธไว้ ไม่คิดอะไรมากอีก
……
หลังจากเคราะห์รักของสวินฉางอันถูกขจัดไปแล้ว เขาก็เริ่มตั้งใจฝึกบำเพ็ญ พรสวรรค์ถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์
สามารถทำให้สำนักพุทธเอาใจใส่เช่นนี้ได้ โสมวิญญาณบรรพกาลย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ตบะของเขาพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว พูดได้ว่าก้าวหน้าพันลี้ในหนึ่งวัน
แน่นอนว่าผู้ที่มีพรสวรรค์แข็งแกร่งที่สุดใต้ความดูแลของหานเจวี๋ยก็ยังคงเป็นหลงเฮ่า รองลงมาคือฉู่ซื่อเหรินและมู่หรงฉี่
ฉู่ซื่อเหรินยังคงต่อต้านการฝึกบำเพ็ญ มักจะใจลอยอยู่บ่อยๆ
ทว่าพรสวรรค์ของมู่หรงฉี่กลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าทางเทพสงครามวังเทพก็ใกล้จะฟื้นตื่นแล้ว
หลังจากหานเจวี๋ยถ่ายทอดดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพให้หลงเฮ่า เจ้าเด็กนี่ก็ฝึกจนชำนาญอย่างรวดเร็ว
พรสวรรค์เช่นนี้ช่างเหลือเกินจริงๆ
หานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะบำเพ็ญตบะอีกครั้ง
กาลเวลาล่วงเลยผ่าน สิงหงเสวียน ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ และเซียนซีเสวียนมักจะไปหาประสบการณ์ด้านนอก ตบะของพวกนางเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับมีหุ่นเชิดสวรรค์อยู่กับตัว สำหรับพวกนางแล้วโลกมนุษย์ใบนี้จึงราวกับสวนบุปผาหลังบ้าน จะไม่เผชิญกับอันตรายใดๆ
ระดับเซียนลึกล้ำวัฏจักรระยะปลายทะลวงยากกว่าที่หานเจวี๋ยจินตนาการไว้มาก
ผ่านไปสี่สิบปีเต็ม หานเจวี๋ยถึงจะทำสำเร็จในที่สุด
ระดับเซียนลึกล้ำวัฏจักรระยะปลาย!
พลังเวทของหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นพรวดพราด!
เมื่อต่อสู้กับตี้ไท่ไป๋อีกครั้ง ใช้เวลาแค่หนึ่งก้านธูปก็ได้ชัยแล้ว
ส่วนจอมพลเสินเผิง หานเจวี๋ยสามารถสังหารเขาได้ในที่สุด
พอรับมือเสียงหลงฝัว เวลาที่หานเจวี๋ยใช้ในการโจมตีสังหารก็ลดน้อยลงมาก
ถึงแม้หานเจวี๋ยจะมุมานะฝึกบำเพ็ญ แต่พลังการต่อสู้ก็ยกระดับไม่หยุด
สามคนนี้กลายเป็นเป้าหมายต่อสู้ของหานเจวี๋ย การประมือกับพวกเขาทำให้หานเจวี๋ยได้รับประสบการณ์ไว้ต่อต้านพุทธาเทพไม่น้อย
จุดที่แตกต่างจากผู้บำเพ็ญในโลกมนุษย์คือ ของวิเศษของบรรดาเทพเซียนมีอยู่มากมาย ในโลกมนุษย์วิชาเวทและพลังวิเศษมีอานุภาพมากกว่าอาวุธเวท แต่ในแดนเซียน บางครั้งของวิเศษก็แข็งแกร่งกว่าพลังวิเศษมาก
ดังเช่นเสียงหลงฝัว ไม้เท้าพุทธะของเขาน่ากลัวมาก หานเจวี๋ยรู้สึกว่าแค่ทุบไม้เท้าทีเดียวก็ทำให้โลกเมฆาแดงกลายเป็นเถ้าธุลีได้ไม่ยาก
หลังจากจำลองการทดสอบเสร็จแล้ว หานเจวี๋ยนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งศัตรู
ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มตรวจดูจดหมายเหมือนที่ผ่านมา
[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่กระจายความโชคร้าย หมู่เกาะเซียนมังกรเผชิญกับภัยพิบัติทางทะเลที่พบเจอได้ยากในรอบหมื่นปี]
[จี้เซียนเสินสหายของท่านหยั่งรู้พลังวิเศษ พลังมรรคเพิ่มพูน]
[พุทธาเทพฟ้าพิโรธศัตรูคู่อาฆาตของท่านเผชิญกับการโจมตีจากยอดแม่ทัพเทพสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[เสียงหลงฝัวศัตรูคู่อาฆาตของท่านเผชิญกับการโจมตีจากยอดแม่ทัพเทพสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากพุทธาเทพ] x18
[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย โชคดีมีผู้ทรงพลังช่วยเหลือ]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านสำเร็จมรรคขึ้นสู่สวรรค์]
[สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านไปจากโลกมนุษย์]
[ถูหลิงเอ๋อร์ศิษย์ของท่านปลุกพลังวิเศษมหาเวท]
……
ความประทับใจที่หานเจวี๋ยมีให้ยอดแม่ทัพเทพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สมกับเป็นมืออันธพาลอันดับหนึ่งของวังสวรรค์จริงๆ!
แม้แต่พุทธาเทพฟ้าพิโรธกับเสียงหลงฝัวยังกล้าเล่นงาน ดูท่าทางยอดแม่ทัพเทพก็เป็นพวกใช้อำนาจบาตรใหญ่ในบรรดาจักรพรรดิเซียนเช่นกัน
จักรพรรดิสวรรค์ก็ยอมทุกอย่าง เพื่อเขาแล้วถึงกับกล้าล่วงเกินสำนักพุทธ
หานเจวี๋ยครุ่นคิดดู คาดว่าจักรพรรดิสวรรค์ก็คงคับอกคับใจอยู่แล้ว และได้ระบายอารมณ์พอดี
วังสวรรค์ที่ทรงอำนาจเช่นนี้ เขารักเสียจริงๆ
การเข้าร่วมกลุ่มอิทธิพลใหญ่ ไม่ใช่เพื่อแสวงหาการปกป้องหรอกหรือ?
หานเจวี๋ยอิ่มอกอิ่มใจ
ส่วนการประสบเคราะห์ต่างๆ ของคนอื่นในจดหมาย เขาไม่ค่อยใส่ใจมากนัก รวมถึงการออกเดินทางของสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นด้วย
สัตว์เทพโชคชะตาตัวนี้ตายยากยิ่ง ต่อให้ปะทะกับผู้ทรงพลัง อย่างมากก็แค่จับมันได้เท่านั้น
หลายเดือนต่อมา หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง จากนั้นเดินไปที่ริมวารีทางช้างเผือกสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
เขาพบว่าลี่เหยาไปจากเมืองแล้ว หลบซ่อนฝึกบำเพ็ญอยู่ในป่าเขาแห่งหนึ่ง ตัดขาดจากโลกภายนอก
ท่ามกลางสายน้ำและภูเขา นางสวมชุดสีขาว ลมพัดสะบัดพลิ้ว งดงามราวกับม้วนภาพวาด
ระดับตบะของนางก็เพิ่มอยู่ตลอด ไม่เลวเลย
ดูตามสถานการณ์นี้ ไม่ถึงห้าสิบปีก็จะสำเร็จระดับเซียนพิภพแล้ว
หานเจวี๋ยสนใจโลกนั้นมาก
‘นี่คือโลกมนุษย์หรือแดนเซียน’
เขาส่งพลังจิตเข้าไปในวารีทางช้างเผือกสวรรค์เก้าชั้นฟ้า จากนั้นสำรวจไปทั่วทิศ
สรรพชีวิตส่วนใหญ่อยู่ต่ำกว่าระดับมหายาน กระทั่งมีระดับหลอมปราณจำนวนไม่น้อยด้วย คงจะเป็นโลกมนุษย์
แดนเซียนจะอ่อนแอสักเพียงใด ก็ไม่อาจมีตัวตนในระดับหลอมปราณอยู่
ไม่นานนัก หานเจวี๋ยก็จับตัวเซียนพิภพไท่อี่ได้
โลกมนุษย์ใบนี้แข็งแกร่งมาก ไม่นึกว่ามรรคาสวรรค์จะอนุญาตให้ระดับเซียนพิภพไท่อี่อยู่ได้
แต่สถานะของเซียนพิภพไท่อี่คนนี้สูงส่งมาก เป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักใหญ่แห่งหนึ่ง สำนักใหญ่นี้มีศิษย์จำนวนหลายแสนคน คุณสมบัติตบะโดยรวมของศิษย์แข็งแกร่งกว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ไม่รู้กี่เท่า
หานเจวี๋ยดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ดึงพลังจิตกลับมา
เขาจ้องมองลี่เหยา จมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด
เสียงของอู้เต้าเจี้ยนดังเข้ามา “นายท่าน เหตุใดท่านถึงมาดูนางอีก คิดถึงนางขนาดนี้ จะรับตัวนางมาหรือไม่”
น้ำเสียงของนางเจือความหึงหวง
หานเจวี๋ยตอบว่า “นางไม่ธรรมดา ข้าก็แค่อยากรู้ว่านางจะประสบความสำเร็จสูงแค่ไหน”
ภายในร่างของลี่เหยามีพลังแปลกประหลาดบางอย่าง ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก
ต่อให้พลังนี้ไม่เพียงพอที่จะคุกคามหานเจวี๋ย แต่ก็ทำให้ลี่เหยาสามารถสังหารศัตรูที่ระดับเหนือกว่าได้
อู้เต้าเจี้ยนทำเสียงฮึดฮัด คิดว่าหานเจวี๋ยปากกับใจไม่ตรงกัน
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป หานเจวี๋ยกลับมาบนตั่งไม้อีกครั้ง เขานำป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาตรวจดู
ช่วงนี้อันดับของโลกเมฆาแดงไม่ได้ขยับขึ้น รักษาอันดับอยู่ที่หนึ่งพันแปดร้อยกว่าๆ ทำให้หานเจวี๋ยโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
หานเจวี๋ยค้นพบอย่างคาดไม่ถึงว่าโลกมนุษย์ที่อยู่ใต้อาณัติของวังสวรรค์เพิ่มมากขึ้น อันดับต่ำสุดก็หนึ่งหมื่นเจ็ดสิบแปดแล้ว
นี่คือโลกมนุษย์ที่เทพเซียนสร้างขึ้นหรือว่าโลกมนุษย์ที่ช่วงชิงมา
หานเจวี๋ยไม่เข้าใจ
“หานเจวี๋ย ออกมาหน่อย”
เสียงหนึ่งถ่ายทอดเข้ามาในหูของหานเจวี๋ย ตี้ไท่ไป๋นั่นเอง
แต่เสียงกลับมาจากห้วงอากาศว่างเปล่าเหนือโลกเมฆาแดง
เหตุใดตี้ไท่ไป๋ถึงไม่มาหาตนเอง
หานเจวี๋ยงุนงง เขารีบใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบดู พบว่าไม่เห็นมหาจักรพรรดิเหยียนจวินแล้ว
‘เกิดอะไรขึ้น’
เมื่อมั่นใจแล้วว่าตี้ไท่ไป๋คือตี้ไท่ไป๋ตัวจริง หานเจวี๋ยก็เคลื่อนตัวไปพบอีกฝ่าย
ทั้งสองพบกันบนห้วงอากาศ
สีหน้าของตี้ไท่ไป๋ไม่น่ามองเป็นอย่างมาก อึมครึมราวกับฟ้าครึ้มฝน
หานเจวี๋ยถาม “มหาเทพเหยียนจวินเล่า”
ตี้ไท่ไป๋ตอบกลับ “เขาทรยศวังสวรรค์ อาจจะเกี่ยวข้องกับจอมพลเสินเผิง”
ทรยศหรือ
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว หากว่ามหาจักรพรรดิเหยียนจวินคือไส้ศึก เหตุใดก่อนหน้านั้นถึงอดทนนัก ซ้ำยังกล้าต่อต้านเสียงหลงฝัวด้วย
“ก่อนหน้านี้ไม่นานจอมพลเสินเผิงสำเร็จระดับจักรพรรดิเซียนในคุกสวรรค์ ถือโอกาสยามที่ยอดแม่ทัพเทพไม่อยู่ คิดจะก่อความวุ่นวายในวังสวรรค์ มีเทพเซียนจำนวนไม่น้อยยื่นมือช่วยเขา” ตี้ไท่ไป๋กล่าวต่อ
หานเจวี๋ยถามด้วยความตื่นเต้น “ฝ่าบาทจักรพรรดิสวรรค์ล่ะ”
เพิ่งผ่านไปไม่กี่ร้อยปี เหตุใดถึงมีคนก่อความวุ่นวายในวังสวรรค์อีก
นี่เห็นวังสวรรค์เป็นดันเจี้ยนส่วนตัวหรือ
ตี้ไท่ไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทย่อมลงมืออยู่แล้ว ปราบปรามจอมพลเสินเผิงด้วยมือเดียว จากนั้นกักขังกายเนื้อของเขาไว้ในตำหนักสวรรค์ ส่วนวิญญาณถูกลดขั้นลงมายังโลกมนุษย์”
‘ปราบปรามจักรพรรดิเซียนด้วยมือเดียว? จักรพรรดิสวรรค์จะสุดยอดไปหน่อยแล้ว’
หานเจวี๋ยรีบเอ่ย “อย่าได้ให้เขามาจุติในโลกเมฆาแดง”
ศัตรูที่มีศักยภาพเช่นนี้ พยายามอยู่ห่างให้มากที่สุดจะดีกว่า
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” ตี้ไท่ไป๋กลอกตาใส่หานเจวี๋ยทีหนึ่ง
จากนั้นถามว่า “จี้เซียนเสินน่ะ เจ้ายังจำได้หรือไม่”
หานเจวี๋ยได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ถามออกไปว่า “เขาเป็นอะไร หากทำเรื่องผิดกฎก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้าไม่ใช่คนที่ชี้แนะอย่างแน่นอน”
……………………………………….