ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 221 ถกมรรคกระบี่ เลือดบริสุทธิ์บรรพชนจอมเวท
บทที่ 221 ถกมรรคกระบี่ เลือดบริสุทธิ์บรรพชนจอมเวท
“ข้ามองไม่ทะลุตบะของท่าน ไม่สู้ข้ากับท่านประลองเวทกันสักตั้ง” เจียงอี้เอ่ยถามด้วยแววตาลุกโชน
หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ไม่อยากแกว่งเท้าหาเสี้ยน”
เจียงอี้รู้สึกว่ามีเหตุผล กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเรามาถกมรรคกันเถิด ถึงแม้มรรคกระบี่จะไม่ใช่สายบำเพ็ญหลักของข้า แต่คุณสมบัติมรรคกระบี่ของท่านไม่เลว พอจะถกมรรคกับข้าได้”
‘มารดามันเถอะ! ขี้เก๊กชะมัดยาด!’
หานเจวี๋ยลอบสบถ หากไม่ใช่เพราะปลิดชีพเจ้าในฉับพลันไม่ได้ ข้าคงสู้กับเจ้าสักตั้งจริงๆ
หานเจวี๋ยกล่าว “ตกลง!”
ทั้งคู่ก็นั่งขัดสมาธิ ต่างหันหน้าเข้าหากัน
เจียงอี้เป็นฝ่ายเริ่มถกมรรคของตนเองก่อน
มรรคกระบี่ของเขาคงอานุภาพเผด็จการ ใช้พลังเวทข่มสยบผู้คน ระเบิดสังหารศัตรู เขาชอบเชื่อมผสานอานุภาพของฟ้าดิน อาศัยพลังของมรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยฟังอย่างตั้งใจ ได้รับประโยชน์มากมาย
จำต้องกล่าวว่า เจียงอี้เก่งกาจจริงๆ
ในเรื่องของพรสวรรค์ เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าทุกคนที่หานเจวี๋ยเคยรู้จัก
พรสวรรค์ของหลงเฮ่าแม้จะน่าหวั่นเกรง แต่ความสามารถในการเข้าใจดูเหมือนจะบกพร่องไปหน่อย ยามนี้จึงไม่ได้สร้างวิถีแห่งตนได้
เจียงอี้พูดมาหกปีเต็ม ระหว่างนี้ เขาเองก็จัดระเบียบมรรคกระบี่ของตน
ต่อมาถึงคราวที่หานเจวี๋ยบรรยายมรรคกระบี่บ้าง
มรรคกระบี่ของเขาก็เริ่มปะทุเดือดแล้วเช่นกัน แต่ก็รักษาสภาพดำเนินต่อไป ครบครันรอบด้านกว่ามรรคกระบี่ของเจียงอี้
เจียงอี้ฟังไม่ทันไร สีหน้าก็เริ่มเคร่งขรึม
เขาพบว่าตนเองประเมินความสามารถในการเข้าใจมรรคกระบี่ของหานเจวี๋ยต่ำไปแล้ว
‘เจ้านี่ไม่อาจดูแคลนได้เลย!’
หานเจวี๋ยเองก็บรรยายมาหกปีแล้ว ไม่เกินไปสักปี และไม่ขาดไปสักปี
เจียงอี้กล่าวชื่นชม “คุณสมบัติมรรคกระบี่ของท่านเป็นสามอันดับแรกของโลกชัดๆ!”
หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นท่านก็เป็นที่หนึ่งในหล้า”
เจียงอี้ไม่ได้เอ่ยแย้ง ตรงกันข้ามกลับหัวเราะขึ้นมาอย่างลำพองใจ
[ความประทับใจที่เจียงอี้มีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]
หานเจวี๋ยมองจนแทบกระอักเลือด
‘เจ้าช่างหน้าไม่อายจริงๆ นะ’
ทั้งคู่พูดคุยกันเป็นพิธีสองสามประโยค ก่อนที่เจียงอี้จะจากไป
หานเจวี๋ยกลับเข้าไปยังภายในถ้ำเทวาฟ้าประทานอีกครั้ง
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ข้าตกใจแทบแย่!” อู้เต้าเจี้ยนรีบร้อนประชิดเข้ามาเอ่ยกล่าว
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่หานเจวี๋ยออกจากถ้ำเทวาถึงสิบสองปี ทำเอาเหล่าลูกศิษย์ตกใจแทบแย่ หากไม่ใช่เพราะอีกาทองบอกว่าหานเจวี๋ยอยู่บนฟ้า พวกเขาคงต้องแตกตื่นกันยกใหญ่
หานเจวี๋ยเอ่ย “กลัวอะไรกัน หากข้าหนีไป แน่นอนต้องพาพวกเจ้าไปด้วย”
เขาลูบศีรษะของอู้เต้าเจี้ยน เห็นว่าดวงตาของเด็กสาวล้วนแดงก่ำ ดูเหมือนว่านางจะเป็นห่วงเขาจริงๆ
อู้เต้าเจี้ยนบุ้ยปากพยักหน้า
หานเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิบนเตียง เริ่มหวนนึกถึงมรรคกระบี่ของเจียงอี้
ผ่านไปอีกสองปี หานเจวี๋ยเพิ่งเริ่มบำเพ็ญตบะ
อยากทะลวงถึงระดับเซียนทองวัฏจักรระยะกลาง คาดว่าต้องใช้เวลาสักระยะ หานเจวี๋ยไม่อาจผ่อนคลายได้
วันนี้บำเพ็ญน้อยลงหนึ่งชั่วยาม หนึ่งปีก็เท่ากับสามร้อยหกสิบห้าชั่วยาม
ร้อยปีก็คือ…
จะเสียเวลาไม่ได้!
…
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปอีกสิบปี
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งศัตรู ในขณะเดียวกันก็ตรวจดูจดหมายไปด้วย
[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากปีศาจ] x159221
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านบังเอิญพบผู้ทรงพลัง ได้รับโอกาสวาสนา]
[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่กระจายความโชคร้าย นักพรตเต๋าตันชิงศัตรูของท่านดับสังขาร จิตดั้งเดิมจมเข้าสู่วัฏสงสาร]
[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านเข้าร่วมสำนักเต๋านิกายเจี๋ย]
[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลัง ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[จักรพรรดิเทพกระบี่สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่าเทพอีกาทอง] x54
[จักรพรรดิเทพกระบี่สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากตี้หงเย่และเจียงอี้สหายของท่าน]
[จักรพรรดิเทพกระบี่สหายของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย โชคดีได้ผู้ทรงพลังออกมือช่วยเหลือ]
…
สงครามการต่อสู้ระหว่างวังปีศาจและวังสวรรค์ก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว และไม่ได้ดุเดือดเลือดคลั่งเหมือนเช่นก่อนหน้านี้
แต่เผ่าเทพอีกาทองกับวังเทพยังคงสู้รบโรมรันกันจนเพลิงลุกโหมเสียดฟ้า
‘จักรพรรดิเทพกระบี่ช่างน่าสังเวชจริงๆ เลย หลายปีมานี้พ่ายแพ้มาโดยตลอด’
หานเจวี๋ยอดนึกถึงอีกาทองสองตัวที่อยู่ภายใต้การปกครองของตนไม่ได้
ดูเหมือนว่าจำเป็นต้องฝึกฝนอีกสักหน่อย พลังการต่อสู้ของอีกาทองเทพน่ากลัวจริงๆ
หลายเดือนต่อมา หานเจวี๋ยสาปแช่งเสร็จเรียบร้อย
เขาลุกขึ้นและเดินออกไปจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน จนมาถึงหน้าต้นฝูซัง แหงนหน้ามองขึ้นไปยังอีกาทองสองตัว เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อยากเรียนพลังวิเศษหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อีกาทองสองตัวก็ดีใจขึ้นมาในทันใด พวกมันพากันตอบตกลง และกลายเป็นร่างมนุษย์
เจ้าใหญ่เป็นเด็กหนุ่ม ส่วนเจ้ารองนั้นเป็นเด็กสาว ทั้งคู่ดูราวอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี สำหรับเผ่าพันธุ์อีกาทองแล้วนั้น พวกมันยังถือเป็นเด็กอยู่
“นายท่าน ท่านจะสอนพลังวิเศษอะไรให้กับพวกเราหรือ” เจ้าใหญ่เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจถ่ายทอดเมฆตีลังกาให้พวกเขาก่อน
แต่ว่าพลังวิเศษนี้ไม่เหมาะสำหรับการฝึกบำเพ็ญในโลกมนุษย์
“ไปฝึกที่ห้วงอวกาศเถอะ” หานเจวี๋ยเอ่ยพึมพำขึ้น
หลงเฮ่ารีบร้อนพูดขึ้นว่า “อาจารย์! ข้าก็อยากไปด้วย!”
ราชามังกรสามหัวลุกขึ้นตาม เอ่ยว่า “ข้าก็อยากไป!”
หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน คนอื่นๆ รอให้เหนือกว่าระดับมหายานก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เขาโบกมือขวา พาทั้งสี่คนหายตัวไปจากจุดเดิม
ฉู่ซื่อเหริน สวินฉางอัน โจวหมิงเยวี่ย มู่หรงฉี่ ถูหลิงเอ๋อร์ ไก่คุกรัตติกาลและอู้เต้าเจี้ยนต่างมองหน้าสบตากัน
“น่าชังนัก ต้องเร่งทำเวลาทะลวงแล้ว!”
ไก่คุกรัตติกาลบ่นอุบ
โจวหมิงเยวี่ยและถูหลิงเอ๋อร์พยักหน้า พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่ออกไปฝึกฝนข้างนอกอีก สงบใจยกระดับตบะอยู่ที่นี่
สามปีต่อมา พวกหานเจวี๋ยก็กลับมา
หานเจวี๋ยมุ่งหน้าไปหาเซียนซีเสวียน ฉางเยวี่ยเอ๋อร์และสิงหงเสวียน พร้อมถือโอกาสบรรยายมรรคให้พวกนางฟังไปในตัว
ใช้เวลาไปอีกครึ่งปี
หานเจวี๋ยกลับเข้าไปในถ้ำเทวา กำลังจะฝึกบำเพ็ญต่อไป
ทันใดนั้นเสียงของยายเมิ่งก็พลันลอยเข้ามากระทบโสตประสาทของเขา “สหายน้อย ลงมาสักหน่อยได้หรือไม่”
หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังกระโจนลงไปในยมโลก
เมื่อมาถึงข้างสะพานอนิจจัง หานเจวี๋ยมองเห็นท่านยายเมิ่งที่ยังคงยื่นส่งน้ำแกงอยู่
ท่านยายเมิ่งถ่ายทอดเสียงกล่าวว่า “ช่วงนี้ถูหลิงเอ๋อร์อาจจะลำบาก วังปีศาจทราบถึงการมีอยู่ของนางแล้ว”
“พวกท่านมีความแค้นกับวังปีศาจหรือ”
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงเอ่ยถาม ในใจรู้สึกสงสัย
“เผ่าปีศาจและเผ่าจอมเวทเป็นคู่แค้นกัน ไม่ตายไม่ยอมเลิกรา วังปีศาจไม่อนุญาตให้เผ่าจอมเวทกลับมาผงาดอีก หลังจากนี้พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อที่จะกำจัดหลิงเอ๋อร์ ที่ข้ามีอาวุธเทพอยู่อย่างหนึ่ง เจ้าสามารถส่งต่อไปให้นางได้ และข้าก็ไม่มีทางเอาเปรียบเจ้า ที่ข้ามีของอยู่สองสิ่ง เจ้าสามารถเลือกไปได้
หนึ่งคือวิชาหลอมกายาของเผ่าจอมเวท สามารถใช้พลังพิสูจน์มรรค
สองคือเลือดบริสุทธิ์บรรพชนจอมเวท สามารถหล่อหลอมกายหยาบ แม้จะไม่สามารถรับสายเลือดของบรรพชนจอมเวท แต่สามารถทำให้เจ้าได้รับกายจิตของมหาเวท เจ้าเลือกเถิด”
วาจาของท่านยายเมิ่งทำให้หานเจวี๋ยตกตะลึง
ค่าตอบแทนนี้ออกจะมากเกินไปหน่อยแล้ว
หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง
วิชาหลอมกายาจะทำให้การฝึกของเขาล่าช้า ฝึกควบคู่กันนั่นเหนื่อยเกินไป
เลือดบริสุทธิ์บรรพชนจอมเวทยังพอไหว แต่จะเกิดปัญหาหรือไม่
ยายเมิ่งไม่รีบร้อน รอหานเจวี๋ยเลือกต่อไป
“ใช้พลังพิสูจน์มรรค เป็นการพิสูจน์มรรคอะไรหรือ” หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงเอ่ยถาม
ยายเมิ่งกล่าวว่า “ที่จริงแล้วทั้งสองต่างมีเป้าหมายเดียวกัน วิชาหลอมกายาจะช่วยให้เจ้าเข้าถึงขอบเขตพลังของบรรพชนจอมเวทได้มากที่สุด และเลือดบริสุทธิ์บรรพชนจอมเวทสามารถพัฒนาการทะลวงได้โดยตรง เหล่ามหาเวทล้วนสร้างขึ้นจากเลือดบริสุทธิ์บรรพชนจอมเวททั้งนั้น แล้วค่อยผสมผสานกับมหาเวทออกมาเป็นเผ่าจอมเวท ”
หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าเลือกเลือดบริสุทธิ์บรรพชนจอมเวทแล้วกัน”
ระหว่างทั้งสองอย่างนั้นไม่ว่าจะเลือกสิ่งใด ล้วนต้องแปดเปื้อนผลกรรม
หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้กลัว อย่างไรเสียเขาก็สมทบกับวังสวรรค์แล้ว เพิ่มเผ่าจอมเวทมาอีกหนึ่งจะเป็นอะไรไป
เหตุผลที่เขารับเลือดบริสุทธิ์บรรพชนจอมเวท ไม่ใช่ใช้ประโยชน์เพื่อตัวเขาเอง
ตลกแล้ว เขาเป็นถึงกายดาราอนธการ จะไม่สู้บรรพชนจอมเวทของเจ้าเชียวหรือ
ท่านยายเมิ่งโบกแขนเสื้อ ประกายแสงสองสายก็พุ่งเข้ามาในแขนเสื้อของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงเอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านไม่ถ่ายทอดให้หลิงเอ๋อร์เล่า”
ยายเมิ่งตอบว่า “ขอบเขตพลังของนางต่ำเกินไป ยามนี้ยังไม่เหมาะ”
หานเจวี๋ยพยักหน้าไปอย่างนั้น ไม่เอ่ยถามให้มากความอีก ก่อนกลับสู่โลกมนุษย์
เขานำอาวุธเทพออกมา มันคือหอกยาวเล่มหนึ่ง ตัวหอกเลื้อยรัดด้วยมังกรดำ หัวหอกกินพื้นที่หนึ่งในสาม ทรงพลังเป็นอย่างมาก ไม่เหมาะกับผู้หญิงยิ่งนัก
“เอาไปให้หลิงเอ๋อร์” หานเจวี๋ยเอ่ยสั่งกับอู้เต้าเจี้ยน
……………………………………………………….