ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 233 โลกเขย่าพิภพ อวี้เทียนเป่าจากวังเทพ
บทที่ 233 โลกเขย่าพิภพ อวี้เทียนเป่าจากวังเทพ
หานเจวี๋ยใช้ป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์สำรวจรอยแยกบนท้องฟ้าเส้นนั้น
มองในมุมของมรรคาสวรรค์ ฟ้าดินก็คือพื้นที่ปิดขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ตอนนี้พื้นที่ปิดนี้ถูกพลังลึกลับฉีกออก
ด้วยเป็นเทพในโลกมนุษย์ หานเจวี๋ยรับรู้ถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ
ศัตรูโจมตี!
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังจะเคลื่อนไหว ก็เห็นพุทธะอาภรณ์ขาวหายตัวมาปรากฏกายเบื้องหน้ารอยแยกบนฟ้า
“เอ๊ะ?”
พุทธะอาภรณ์ขาวอุทาน เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมา ลองใช้พลังเวทซ่อมแซมรอยแยกบนท้องนภา
ในตอนนั้นเอง พายุพัดกระหน่ำโจมตีออกมาจากรอยแยก พุทธะอาภรณ์ขาวตกใจจนต้องนำไม้เท้าพุทธตถาคตออกมา
เงาร่างที่น่ากลัวร่างหนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมา เขาสูงร้อยจั้ง สวมชุดคลุมสีดำลายมังกรเก้าตัว สวมมงกุฎเขากระดูก มือถือเคียวยาวที่ดูชั่วร้ายเล่มหนึ่ง
สายตาของเขามองที่พุทธะอาภรณ์ขาว กล่าวด้วยรอยยิ้มอัปลักษณ์ว่า “โลกนี้เป็นของข้าแล้ว!”
พุทธะอาภรณ์ขาวขมวดคิ้ว
อยู่โลกเมฆาแดงมานานขนาดนี้ เขาเผยแผ่นิกายจนได้รับความเลื่อมใสศรัทธานับไม่ถ้วน ดวงชะตาเชื่อมโยงกับโลกเมฆาแดงนานแล้ว ไหนเลยจะยอมให้คนอื่นมาเหยียบย่ำโลกเมฆาแดงได้
พุทธะอาภรณ์ขาวไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกไม้เท้าพุทธตถาคตขึ้นมาและสะบัดไม้เท้าตีออกไป
คนชุดคลุมดำไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกพุทธะอาภรณ์ขาวโจมตีกลับเข้าไปในรอยแยกบนท้องฟ้า พุทธะอาภรณ์ขาวเหาะตามเข้าไปในนั้น
เห็นเช่นนี้หานเจวี๋ยก็วางใจแล้ว
‘การดำรงอยู่ของเจ้านี่ยังเป็นสิ่งจำเป็น’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพุทธะอาภรณ์ขาวไม่ขัดหูขัดตาแล้ว
ตอนนี้ดวงชะตาของพุทธะอาภรณ์ขาวผูกติดกับโลกเมฆาแดง หานเจวี๋ยก็เป็นเทพในโลกมนุษย์ของโลกเมฆาแดงอีก เท่ากับทั้งสองคนถูกมัดอยู่บนเรือลำเดียวกัน
พุทธะอาภรณ์ขาวยังคงแข็งแกร่งมาก หากมีเขาปกป้องโลกเมฆาแดง หานเจวี๋ยก็สามารถฝึกบำเพ็ญต่อได้
หลายวันต่อมา
พุทธะอาภรณ์ขาวกลับออกมาจากรอยแยกบนท้องนภา จิตสังหารทั่วร่างยังไม่หายไป
เขาหันมาใช้พลังเวทซ่อมแซมรอยแยกบนฟ้า
ใช้เวลาสิบกว่าวัน ในที่สุดก็ซ่อมสำเร็จ
พุทธะอาภรณ์ขาวโล่งใจ เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
โลกเมฆาแดงมีภัย เหตุใดหานเจวี๋ยถึงไม่ลงมือ
……
หลังจากโลกเมฆาแดงกลับสู่สภาวะปกติ หานเจวี๋ยนำป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาถามตี้ไท่ไป๋ว่าเหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ตี้ไท่ไป๋ตอบ “โลกมนุษย์ก็มีการแข่งขันเช่นกัน วังสวรรค์เคยมีกฎกับวังเทพ สำนักพุทธ และวังปีศาจ โลกมนุษย์สามารถแข่งขันกันได้อย่างอิสระ จักรพรรดิเซียนห้ามยื่นมือเข้าแทรกแซง”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วถาม “กฎตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดก่อนหน้านั้นถึงไม่มี”
“แต่ก่อนโลกเมฆาแดงอ่อนแอเกินไป ไม่มีคนสนใจ”
“หมายความว่าวังสวรรค์ไม่คิดจะจัดการหรือ”
“วางใจเถอะ มีจอมเทพอู่เต๋ออยู่ ประกอบกับพลังแท้จริงของเจ้า ตั้งแต่ระดับจักรพรรดิลงมา ใครมาคนนั้นตาย”
“เอาเถอะ”
นับว่าหานเจวี๋ยฟังเข้าใจแล้ว วังสวรรค์เห็นเขาเป็นหอก รอที่จะกำราบผู้แข็งแกร่งจากโลกมนุษย์อื่น
มิน่าล่ะพวกเขาถึงช่วยเลื่อนอันดับของโลกเมฆาแดงและรออยู่ที่นี่
จักรพรรดิสวรรค์ให้พุทธะอาภรณ์ขาวรั้งอยู่ คาดว่าก็เพื่อการนี้เอง
หานเจวี๋ยแอบถอนหายใจ ดูท่าทางอยากแอบอู้ก็ยังทำไม่ได้เลย
วังสวรรค์บ่มเพาะเขามานานเช่นนี้ ก็ควรจะตอบแทนให้
หายเจวี๋ยได้แต่ตอบรับไม่อาจปฏิเสธได้
ตอนนี้ยังดี อย่างน้อยก็มีพุทธะอาภรณ์ขาวและจอมเทพอู่เต๋ออยู่ด้วย ตอนนี้หานเจวี๋ยยังไม่ต้องลงมือเอง
หานเจวี๋ยถือป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ไว้ พลังจิตแทรกซึมเข้าไปด้านใน เตรียมตั้งชื่อใหม่ให้โลกเมฆาแดง
เซียนเมฆาแดงตายแล้ว ยามนี้หานเจวี๋ยต้องแบกรับกรรมของโลกเมฆาแดง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้นำโลกเมฆาแดงมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาไปเลย
‘ชื่ออะไรดี’
ความคิดอุกอาจผุดขึ้นมาในหัวของหานเจวี๋ย
‘ไม่สู้ชื่อโลกเซียนพิภพเลย?
ไม่ได้! ชื่อนี้แปดเปื้อนกรรมหนัก!’
หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนชื่อโลกเมฆาแดงเป็นชื่อโลกเขย่าพิภพ
ถึงอย่างไรเขาก็สร้างตัวมาจากการเขย่าสุ่มดวงชะตา
หากภายหลังรู้สึกว่ามันไม่น่าฟังค่อยเปลี่ยนอีกที ก็เหมือนกับการเปลี่ยนชื่อในอินเทอร์เน็ต
หานเจวี๋ยยิ้มพึงพอใจ จากนั้นวางป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ลงแล้วเริ่มฝึกฝน
ต่อไปต้องพุ่งสู่ระดับเซียนทองวัฏจักรขั้นสมบูรณ์อย่างสุดกำลัง!
และกลายเป็นจักรพรรดิเซียนโดยเร็ว!
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าจักรพรรดิเซียนต่างหากถึงจะเป็นระดับพื้นฐานของแดนเซียน ถ้าไม่บรรลุระดับจักรพรรดิเซียนก็ไม่อาจเล่นได้
……
สี่สิบปีต่อมา
หานเจวี๋ยยังไม่ทะลวงระดับ เขานำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งศัตรู
หลายปีมานี้มีการรุกรานจากโลกอื่นสามครั้งแล้ว ทุกครั้งได้พุทธะอาภรณ์ขาวขัดขวางไว้
พุทธะอาภรณ์ขาวเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อยแล้ว ดังนั้นจึงกระจายข่าวออกไป ประกาศว่าโลกใบนี้ถูกโลกใบอื่นจับจ้องหมายตา หวังว่าบรรดาบุตรแห่งสวรรค์จะเตรียมตัวกันไว้ให้ดี
ในช่วงเวลาสั้นๆ กลุ่มคนที่อยู่ชั้นบนสุดของแดนบำเพ็ญพรตล้วนรู้สึกถึงอันตราย
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งเริ่มรับศิษย์อย่างกำเริบเสิบสาน และเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของโลกเขย่าพิภพ
หานเจวี๋ยรู้เรื่องทั้งหมดนี้ผ่านป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ เขาพึงพอใจมาก
พุทธะอาภรณ์ขาวเป็นเครื่องมือมนุษย์ที่ได้มาตรฐานจริงๆ
แน่นอนว่าเจ้านี่ก็มีความทะเยอทะยานของตัวเอง แต่หานเจวี๋ยไม่สนใจ
ภารกิจสำคัญของเขาคือฝึกบำเพ็ญ ไม่ใช่ปกครองโลกมนุษย์
หลังจากสาปแช่งไปหลายเดือน หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
ผ่านไปไม่กี่วัน อู้เต้าเจี้ยนก็พลันกล่าวขึ้นมาว่า “เกิดเรื่องกับลี่เหยาแล้ว!”
หานเจวี๋ยถามโดยไม่ลืมตามอง “เรื่องอะไร”
“นางถูกคนจับตัวไป”
ได้ยินเช่นนี้ หานเจวี๋ยรีบส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจในวารีทางช้างเผือกสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทันที
เห็นแต่ลี่เหยาถูกขังอยู่ในขวดหยกใบหนึ่ง รอบด้านมืดมิด เท้าเหยียบอยู่บนผิวน้ำ นางกำลังพยายามสำแดงพลังเวทหมายจะฝ่าออกไป แต่เห็นได้ชัดว่ามีผนึกควบคุมที่ทรงพลังอยู่รอบด้าน ทำให้นางไม่อาจทำสำเร็จ
“บัดซบ!”
ลี่เหยากัดฟันสบถ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
นางไม่ละความพยายาม ยังคงหาวิธีการต่อ
พลังจิตของหานเจวี๋ยแผ่ขยายออกไป พบว่าผู้ที่จับตัวลี่เหยาไปคือเซียนทองไท่อี่คนหนึ่ง กำลังเร่งรีบเดินทาง สำหรับลี่เหยาที่เพิ่งบรรลุเซียนแท้ไท่อี่แล้ว ระดับเซียนทองไท่อี่นั้นราวกับเทพเซียน ไม่อาจต้านทานได้
“แม่สาวน้อย อย่าดิ้นรนเลย เมื่อถูกข้าหมายตาแล้ว เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”
เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังเข้ามาในขวด ลี่เหยาได้ฟังแล้วขมวดคิ้วแน่น
“นั่นใคร!” จู่ๆ เสียงชั่วร้ายก็ตะโกนอย่างระแวดระวัง “เหตุใดท่านถึงไม่ใจกว้างปรากฏตัว”
ครั้นได้ยินคำพูดของฝ่ายตรงข้าม หลี่เหยางุนงงอยู่ครู่หนึ่ง
‘เจ้าคนสมควรตายนี่กำลังคุยกับใครอยู่
เดี๋ยวก่อน! หรือว่าจะเป็นผู้อาวุโส…’
ลี่เหยาตื่นเต้นดีใจในทันที
พลังจิตของหานเจวี๋ยถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้นั้นเป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่ขอบเขตพลังเดียวกัน
หานเจวี๋ยจำต้องเอ่ยปาก “สหายเต๋า เห็นแก่หน้าข้า ไว้ชีวิตนางสักครั้งเถอะ”
เสียงชั่วร้ายแค่นเสียงขึ้นจมูก “เจ้าเป็นใคร บอกชื่อมา!”
หานเจวี๋ยกล่าว “วังเทพ อวี้เทียนเป่า”
“อวี้เทียนเป่า? เป็นไปไม่ได้! เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ หากเจ้าคืออวี้เทียนเป่ายังต้องเปลืองคำพูดอีกหรือไร”
“ข้าอยู่วังเทพ ลงมือไม่สะดวก หากไม่ผูกพยาบาทได้ก็จะพยายามสุดกำลัง”
“วังเทพแล้วอย่างไร ข้ามีวังปีศาจหนุนหลัง! เจ้าอยากช่วยนางหรือ เช่นนั้นก็มาเองสิ!”
หานเจวี๋ยแอบขุ่นเคืองอยู่ในใจ ‘หยิ่งยโสนัก’
“ทำไมรึ กลัวแล้วหรือ เจ้าก็เป็นแค่เซียนทองเช่นกัน ยังกล้าสวมรอยเป็นผู้ทรงพลังอีก น่าขัน ข้าจะเอาสาวน้อยคนนี้ไป จักรพรรดิสวรรค์มาก็แย่งไปไม่ได้!”
เสียงชั่วร้ายดังขึ้นมาอีกครั้ง หานเจวี๋ยทนไม่ไหวอีกต่อไป
จะโอ้อวดเกินไปแล้ว
หานเจวี๋ยขี้เกียจตอบเขา กลับถ่ายทอดเสียงไปให้ลี่เหยาแทน ‘ข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษอันหนึ่งให้เจ้า เริ่มเรียนตอนนี้เลย!’
ลี่เหยาไม่เข้าใจแต่รู้สึกว่าเยี่ยมมาก นางรีบนั่งสมาธิ ตั้งใจฟังเสียงที่ส่งมาของหานเจวี๋ย
“จิ๊ๆ ทำถูกแล้ว ฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจเถอะ ตบะของเจ้ายิ่งสูงยิ่งมีประโยชน์ต่อข้า ติดตามข้ามีอนาคตแน่ ส่วนคนผู้นั้นเมื่อครู่ เจ้าเองก็เห็นแล้ว เขาไม่กล้าแม้แต่จะโต้เถียงกับข้าด้วยซ้ำ!”
เสียงชั่วร้ายพูดกลั้วหัวเราะ ลี่เหยาเข้าฌานแล้วจึงไม่ได้ตอบเขา
หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้ตอบกลับ
‘รอก่อน! รอให้ข้าปรากฏตัวตรงหน้าเจ้า อย่าคุกเข่าร้องขอชีวิตก็แล้วกัน!’
……………………………………….