ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 250 เรื่องราวของซุนหงอคง รู้แจ้งแก่นมรรค
บทที่ 250 เรื่องราวของซุนหงอคง รู้แจ้งแก่นมรรค
เจียงอี้!
เหตุใดเจ้าขนสุนัขตัวนี้ถึงมาที่นี่อีก
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ลอบเลียนแบบตบะของเจียงอี้อีกครั้ง หลังจากนั้นจะใช้มันเพื่อทำแบบจำลองการทดสอบในภายหลัง
เขาลุกขึ้นไปสู่ห้วงอวกาศ
เจียงอี้ในชุดคลุมสีทองกำลังนั่งสมาธิเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ หานเจวี๋ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าลมหายใจของเขาไม่คงที่
จักรพรรดิเทพกระบี่มีของอยู่บ้าง
เมื่อนึกถึงจักรพรรดิเทพกระบี่ หานเจวี๋ยก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้
สหายผู้นี้ช่างน่าเวทนานัก
ประเดี๋ยวก็ได้รับบาดเจ็บ
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร อยากฟังเรื่องเล่าก็ฟัง”
เจียงอี้กล่าวอย่างอ่อนแรง “ข้ากำลังจะตายแล้ว เล่าให้ข้าฟังเร็วๆ ให้ข้าได้ฟังสักหน่อย”
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอยู่ในใจ
หรือจะถือโอกาสตอนที่เขาบาดเจ็บ สังหารเขาดี
หลีกเลี่ยงการมาก่อกวนข้า
“นี่ จักรพรรดิเทพกระบี่ของวังเทพแข็งแกร่งจริงๆ แม้ว่าเขาจะก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิเร็วกว่าข้า แต่ข้ากลับเอาชนะเขาไม่ได้” เจียงอี้ถอนหายใจ แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
จักรพรรดิเทพกระบี่ นั่นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งเลื่องชื่อ ทำให้สวรรค์และโลกตกตะลึง!
หานเจวี๋ยหัวเราะ
‘ข้ายังไม่ได้เข้าระดับจักรพรรดิก็สามารถสังหารเจ้าได้!’
หานเจวี๋ยพลันเกิดความคิดที่กล้าหาญขึ้นวิธีหนึ่ง
เขากล่าวติดตลกว่า “ข้าจะเล่าเรื่องของบุตรแห่งสวรรค์ผู้หนึ่งให้เจ้าฟังก็แล้วกัน!”
บุตรแห่งสวรรค์?
เจียงอี้ตอบว่า “เล่ามา”
หานเจวี๋ยนั่งลงตรงหน้าเขา เอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า “ตามตำนาน หนี่ว์วาซ่อมฟ้า … ”
ซุนหงอคง!
หานเจวี๋ยตั้งใจจะบอกเล่าเรื่องราวของซุนหงอคงให้กับเจียงอี้ได้ฟัง
เขาใช้คำอธิบายที่เกินจริงหลายอย่างเพื่ออธิบายความถนัดและความภาคภูมิใจของซุนหงอคง
ไม่นาน เจียงอี้ก็ฟังจนเคลิบเคลิ้ม
ใช้เวลาหลายชั่วยาม หานเจวี๋ยก็เล่าเรื่องไซอิ๋วจบ
“ด้วยวิธีการเช่นนี้ ราชาวานรผู้ยิ่งใหญ่จึงกลายเป็นพุทธะพิชิตชัยของสำนักพุทธ ไม่มีราชาวานรที่สง่างามและไร้การควบคุมอีกต่อไปในโลกนี้ สำนักพุทธจึงมีผู้ภักดีเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง… เฮ้อ!”
น้ำเสียงของหานเจวี๋ยเศร้าสลด
เจียงอี้รู้สึกไม่มีความสุขอย่างยิ่ง กล่าวว่า “นี่ก็เรียกว่าบุตรแห่งสวรรค์หรือ หากเป็นข้า ข้ายอมตายดีกว่ายอมแพ้!”
“ที่แท้พุทธะพิชิตชัยก็มีที่มาเช่นนี้เอง ไม่แปลกใจเลยที่สู้เก่งขนาดนั้น ธาตุแท้ก็คือปีศาจนี่เอง!”
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าแต่งเสริมเติมเรื่องเพียงพอแล้ว เช่นนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เหตุใดกัน เจ้ารู้จักพุทธะพิชิตชัยหรือ”
เจียงอี้กล่าวว่า “เคยได้ยินมาบ้าง”
“เช่นนั้นใครในพวกเจ้าที่แข็งแกร่งกว่ากัน เจ้าคงไม่สามารถเอาชนะพุทธะพิชิตชัยได้แน่!”
“เป็นไปได้อย่างไร! พวกเราไม่เคยต่อสู้กัน หากได้เจอกัน ข้าจะทำให้เขาคุกเข่าขอความเมตตา เหมือนกับที่เขาขอความเมตตาจากถังซัมจั๋ง!”
เจียงอี้หงุดหงิด มองหานเจวี๋ยอย่างชั่วร้ายและเอ่ยว่า “เจ้าไม่เชื่อในความแข็งแกร่งของข้าหรือ ไม่อย่างนั้นเจ้ากับข้าจะลองต่อสู้กันสักตั้ง?”
หานเจวี๋ยลอบดูถูกว่า ‘ข้ากลัวว่ามรรคจิตของเจ้าจะแตกสลายน่ะสิ!’
เขาแสร้งทำเป็นหวาดกลัวและโบกมือกล่าว “ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้อย่างไร หากเจ้ามีความสามารถก็ไปท้าประลองพุทธะพิชิตชัยเถิด หากเจ้าสามารถเอาชนะเขาได้ หลังจากนี้หากเจ้าต้องการฟังเรื่องราวอีก ข้าจะเล่าเรื่องให้ฟังทุกเวลา!”
ก่อนที่เขาจะสังหารเจียงอี้ในฉับพลัน หานเจวี๋ยก็ไม่เคยต้องการเปิดเผยความแข็งแกร่งของเขา
เขาต้องการที่จะฝึกฝนอย่างเงียบๆ แล้วทำให้เจียงอี้หวาดกลัวจนตาย!
“เหอะ! คอยดูเถิด หลังจากที่ข้าหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว ข้าจะไปท้าประลองกับพุทธะพิชิตชัย!”
เจียงอี้เอ่ยอย่างไม่พอใจ เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระดับจักรจักรพรรดิ เขาก็ลำพองขึ้น รู้สึกว่าเขาอยู่ยงคงกระพัน แต่เมื่อเขาพบกับจักรพรรดิเทพกระบี่ เขาก็อารมณ์ไม่ดี อีกทั้งเมื่อถูกหานเจวี๋ยยั่วยุ เขาจะยอมได้อย่างไรกัน
“ช่วงนี้พุทธะพิชิตชัยมาที่วังสวรรค์แล้ว แม้ว่าเจ้ากำลังเล่นตลก แต่ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็น!”
เจียงอี้แค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นหลับตาลงและฟื้นตัวต่อไป
เขากลับคาดเดาความตั้งใจของหานเจวี๋ยได้จริงๆ!
หานเจวี๋ยลอบยิ้ม จากนั้นก็หมุนกายจากไป
ไม่ใช่ว่าบุตรแห่งสวรรค์อย่างเจียงอี้ไม่ชอบใช้สมอง เพียงแต่ไม่จำเป็น
เมื่อกลับมาถึงภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยได้ทำแบบจำลองการทดสอบทันที
ครึ่งชั่วยามต่อมา หานเจวี๋ยยังคงสังหารเจียงอี้ในฉับพลันได้
ทว่าเขายังไม่พอใจ
ระยะเวลาก็นานเกินไป!
แน่นอนว่าเจียงอี้เองก็กำลังก้าวหน้าขึ้นเช่นกัน!
หานเจวี๋ยรู้สึกถูกไล่ตาม ไม่สามารถผ่อนคลายได้
เขาแข็งแกร่งขึ้น คนอื่นๆ เองก็เช่นกัน
เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เร็วกว่าคนอื่นๆ จึงจะปลอดภัย
…..
ห้าปีต่อมา เจียงอี้จากไป
หานเจวี๋ยอดที่จะตั้งตารอการต่อสู้ระหว่างเจียงอี้และพุทธะพิชิตชัยไม่ได้
เขาฝึกฝนต่อไป และมีเพียงสิบส่วนของดวงดาราเท่านั้นที่ไม่มีพลังเวท
ชั่วพริบตา
เวลาก็ผ่านไปอีกยี่สิบปี
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทำให้ดวงดาราหลายร้อยล้านดวงในร่างกายทั้งหมดของเขาเต็มไปด้วยพลังเวท พลังเวทก็คำรามพร้อมกัน ทำให้มารสวรรค์เบิกฟ้าที่ถูกคุมขังส่งเสียงร้องโหยหวน
“เงียบ! ไม่ได้จะฆ่าเจ้าเสียหน่อย!”
เสียงของหานเจวี๋ยดังขึ้น ทำให้มารสวรรค์เบิกฟ้ารีบหุบปากลงด้วยความตกใจ
หานเจวี๋ยยังคงสัมผัสได้ถึงกายดาราอนธการ
ดวงดาราทุกดวงกระตุ้นพลังเวท ทำให้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ ทำให้อู้เต้าเจี้ยนตกใจจนต้องลืมตา
“นี่คือ?”
เต้าเจี้ยนรู้สึกประหลาดใจ ความรู้สึกกดขี่ที่หายไปนานปรากฏขึ้นอีกครั้ง แม้กระทั่งยังแข็งแกร่งมากกว่าเดิม!
นางตกใจมากจนหนีออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทานทันที
หานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง
จิตรับรู้ของเขาเดินทางผ่านร่างกาย เดินทางผ่านดวงดาราทุกดวงด้วยความเร็วที่เร็วมาก
ดวงดาราเหล่านี้ไม่มีชีวิต มีเพียงพลังเวทที่ไร้ขอบเขตเท่านั้นที่ก่อตัวเป็นพายุที่กวาดล้างภายในดวงดาราที่งดงามและกว้างใหญ่ไพศาล โดยมีฉากที่รกร้างในจุดสิ้นสุดของโลก
เมื่อหานเจวี๋ยเดินผ่านดวงดารา พลังเวทก็เชื่อมต่อกัน เชื่อมดวงดาราเข้าด้วยกันเป็นเส้นสาย
มองจากมุมมองแบบมหทรรศน์ เส้นของดวงดาวเหล่านี้จะค่อยๆ ก่อตัวเป็นภาพที่งดงาม ซึ่งเป็นภาพที่ลึกซึ้งมาก ราวกับว่าเป็นสนามรบ แต่ก็เหมือนภูเขาและแม่น้ำที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและเป็นประกายระยิบระยับ
หานเจวี๋ยจมดิ่งอยู่ในท่ามกลางดวงดารานั้น ในที่แห่งหนใดสักแห่ง เขาได้ยินเสียงของมหามรรค
ราวกับว่าอริยะบุคคลกำลังเทศนาเพื่อเขา ได้เปลี่ยนความเข้าใจและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
อาจเป็นร้อยปี หรือบางทีแค่ชั่วขณะหนึ่ง
หานเจวี๋ยตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่ามาจากคนละยุคสมัย
[ยินดีด้วย ท่านรู้แจ้งในแก่นมรรค ระบบเริ่มยกระดับ]
เบื้องหน้าของหานเจวี๋ยปรากฏอักขระขึ้นมาแถวหนึ่ง แต่เขากลับเพิกเฉยและยังคงรู้แจ้งแก่นมรรคที่กายดาราอนธการนำมาต่อไป
ดวงดาราคืออะไร?
ทุกอย่างล้อมรอบ รวมซึ่งทุกสิ่งอย่าง!
โลกเป็นเพียงดาวดวงเดียว และมหาสมุทรที่ดวงดาวรวมตัวกันคือมรรคาสวรรค์ทั้งมวล!
แม้แต่มหามรรค!
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยมาถึงโลกที่กว้างใหญ่และมืดสลัวอีกครั้ง ราวกับว่าความวุ่นวายได้เริ่มต้นขึ้น
ประตูขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ข้างหน้า สูงตระหง่านอยู่เบื้องบน
ประตูนี้สลักด้วยตัวอักษรลึกลับซึ่งคลุมเครือและเข้าใจยาก เมื่อหานเจวี๋ยเข้าใกล้ มันก็สว่างไสวด้วยแสงสีทองพร่างพราย ปล่อยลมพายุอันน่าสะพรึงกลัว พยายามจะหยุดยั้งหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยก้าวต่อไป
“ท่านต้องการจะเปิดมันออกจริงๆ หรือ”
พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นดังและน่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เหตุใดจะไม่เล่า”
เสียงนั้นตอบกลับมาว่า “เมื่อเปิดออกไป จะย้อนกลับไม่ได้ และวัฏจักรก็ไม่สามารถช่วยท่านได้”
“ข้าต้องการชีวิตนิรันดร์ ไม่ใช่วัฏจักร”
“ไม่ใช่ว่าท่านหวาดกลัวปัญหาหรอกหรือ ท่านจะมีปัญหาไม่รู้จบ!”
“ข้ากลัวปัญหา แต่ข้าเพียงกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตนิรันดร์ของข้า หากข้าเผชิญกับปัญหาแห่งความเป็นอมตะ ข้าจะฟันมันด้วยกระบี่เล่มเดียว”
หลังจากตอบประโยคนี้ไป หานเจวี๋ยก็มาถึงประตูยักษ์แล้ว
เขายกมือขวาขึ้นและกดลงไปที่ประตูยักษ์
มันไม่ได้สงบอย่างที่คิด เบามาก และสามารถเปิดออกไปได้ด้วยการผลักเล็กน้อยเท่านั้น
หานเจวี๋ยผลักอย่างหนักแน่น ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตู้ม!
ประตูยักษ์ถูกผลักเปิดออก และแสงสีทองส่องออกมา สาดลงมาบนตัวของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยรู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งกายและไม่สามารถมองเห็นด้านหน้าได้ชัดเจน แต่ในขณะนี้ ความทรงจำมหาศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเขา ทำให้สติของเขาจมดิ่งสู่ความว่างเปล่า
อีกด้านหนึ่ง
ในห้องโถงมืดมิด ระฆังโบราณที่ลอยอยู่กลางอากาศก็พลันดังขึ้นเอง และเสียงกริ่งก็ดังก้องกังวาน
……………………………………………………………………..