ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 255 จักรพรรดิเซียนวัฏจักร ตำนานแดนเซียน
บทที่ 255 จักรพรรดิเซียนวัฏจักร ตำนานแดนเซียน
“จักรพรรดิเซียนวัฏจักรนั้นเป็นเรื่องลวงตา แต่เขามักจะทิ้งมรดกวิชาไว้ และมีวิชาพิเศษที่ทำให้คนกลายเป็นทายาทของเขา ส่วนที่มาของเขายังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่คลี่คลาย จากนี้เจ้าก็รับผิดชอบในการตรวจสอบเรื่องนี้แล้วกัน”
จักรพรรดิพูสวรรค์เอ่ยอย่างสบายๆ หลงจวินที่ได้ฟังก็พยักหน้า
หลงจวินยังคงฉงนอยู่มาก เอ่ยถามว่า “หรือว่าในวังสวรรค์มีคนกลายเป็นทายาทของจักรพรรดิเซียนวัฏจักรแล้ว”
เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆ จักรพรรดิสวรรค์จะต้องการตรวจสอบจักรพรรดิเซียนวัฏจักรโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ ไม่เพียงวังสวรรค์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงในวังเทพ สำนักพุทธ วังปีศาจและแม้แต่สามนิกายสำนักเต๋าเองก็มี เราสงสัยว่าจักรพรรดิวัฏจักรมีแผนการใหญ่”
ท่าทางของหลงจวินราวกับกำลังครุ่นคิด
จักรพรรดิสวรรค์ไม่เอ่ยอะไรอีก ก่อนจะหันหน้าไปมองท้องฟ้า
แววตาของเขาเต็มไปด้วยควาคาดหวัง
…..
สิบปีต่อมา
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ขจัดวิญญาณของพุทธะพิชิตชัยได้สำเร็จ เขาถอนหายใจยาวออกมา
ทีนี้ศัตรูก็ลดน้อยลงอีกคนแล้ว
มีพุทธะพิชิตชัยอยู่ หานเจวี๋ยก็ไม่กล้าที่จะฝึกฝน ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
สำหรับกายเนื้อของพุทธะพิชิตชัย หานเจวี๋ยตัดสินใจที่จะเก็บเอาไว้
หลังจากสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว กายเนื้อนี้ก็ไม่มีจิตรับรู้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก
แต่หานเจวี๋ยสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าหวาดกลัวที่แฝงอยู่ในนั้นได้
ทว่าหานเจวี๋ยก็ยังต้องป้องกัน เลี่ยงไม่ให้กายเนื้อของพุทธะพิชิตชัยก่อเกิดจิตวิญญาณมาขึ้นมา
เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งศัตรู เพื่อผ่อนคลายสักหน่อย
โชคดีที่เขาสำแดงการผ่ากรรมของมรรคกระบี่เทียมฟ้า ทำให้ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดในสำนักพุทธเกิดความเกลียดชังในตัวเขา
ในอาณาเขตของวังสวรรค์ เดิมทีสำนักพุทธก็คำนวณได้ยาก เมื่อรวมกับการที่บรรพชนพุทธไม่สามารถที่จะจับจ้องพุทธะพิชิตชัยได้ตลอด เมื่อหานเจวี๋ยตัดผลกรรมของพุทธะพิชิตชัยและสำนักพุทธด้วยพลังของอสนีที่ไม่ต่างอะไรกับการตัดวิดีโอวงจรปิด บรรพชนพุทธจึงล้วนไม่รู้ว่าพุทธะพิชิตชัยนั้นตายด้วยน้ำมือของผู้ใด
จะโทษก็คงต้องโทษจักรพรรดิสวรรค์
หานเจวี๋ยยิ่งคิดยิ่งสบายใจ
เขาเริ่มตรวจสอบจดหมาย ช่วงนี้วังสวรรค์กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ส่วนใหญ่แล้วเหล่าสหายคนอื่นๆ ไม่ได้พบปัญหาใดๆ มีก็เพียงแต่จี้เซียนเสินและหวงจี๋เฮ่าที่กำลังปรับระดับปีศาจ
ในที่สุดก็ฝึกฝนต่อได้เสียที!
หานเจวี๋ยคิดอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะเรียกหวงจุนเทียนให้เข้ามา
อู้เต้าเจี้ยนถูกเขาไล่ออกไป
เรื่องหลังจากนี้เป็นความลับ
หวงจุนเทียนคุกเข่าลงต่อหน้าหานเจวี๋ย รู้สึกเป็นกังวลไม่สบายใจ
หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ยว่า “ข้าคิดจะให้เจ้าขึ้นสวรรค์ ไปเพิ่มพลังสักหน่อย ก็เหมือนก่อนหน้านั้น ก่อนหน้านี้เจ้าต้องการสิ่งใด ก็พูดมาได้ตามสบาย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวงจุนเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
‘โอกาสในการทำประโยชน์มาถึงแล้ว!’
หวงจุนเทียนกล่าวว่า “ข้าไม่กล้าร้องขอสิ่งใด การแสดงธรรมของท่านครั้งก่อนมีประโยชน์กับข้ามาก”
หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยิบท้อเซียนออกมาเอ่ยว่า “เจ้ากินมันเสีย มันสามารถเพิ่มตบะของเจ้าได้ หลังจากขึ้นสวรรค์แล้วจงหาวิธีไปนอกเขตของแดนเซียนแล้วเข้าร่วมนิกายเจี๋ย เมื่อเข้าร่วมนิกายเจี๋ยแล้วควรทำสิ่งใด เจ้าคงจะรู้แก่ใจ”
เดิมทีหานเจวี๋ยต้องการให้หวงจุนเทียนไปยังสำนักพุทธ แต่หวงจุนเทียนมาจากโลกเขย่าพิภพ พุทธะพิชิตชัยหายไปจากที่นี่ ไม่มีทางที่สำนักพุทธจะไม่หวาดกลัว
นิกายเจี๋ยนั้นแตกต่างออกไป ยามนี้หานเจวี๋ยยังไม่ได้มีความขัดแย้งกับนิกายเจี๋ย
แต่หานเจวี๋ยมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วความขัดแย้งนั้นก็จะต้องปรากฏขึ้น
ไม่ต้องพูดถึงข้อพิพาทระหว่างนิกายเจี๋ยกับวังสวรรค์ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีผู้บำเพ็ญนิกายเจี๋ยสองคนมีสร้างปัญหาในแม่น้ำมรรคกระบี่ขึ้นมาแล้ว
หานเจวี๋ยต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อที่ไม่ให้มันเกิดขึ้น
หวงจุนเทียนรู้สึกตื้นตัน รีบร้อนคำนับขอบคุณหานเจวี๋ยเป็นพัลวัน จากนั้นจึงรับท้อเซียนไป
หานเจวี๋ยโบกมือ เป็นสัญญาณให้เขาออกไปได้
ผ่านไปสักพัก
อู้เต้าเจี้ยนเข้ามา เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “นายท่าน ท้อนั่นท่านยังมีอยู่หรือไม่”
หานเจวี๋ยหลับตาลงเอ่ยว่า “ไม่มี”
อู้เต้าเจี้ยนรู้สึกผิดหวัง
หานเจวี๋ยฝึกฝนต่อไป
วิชาวัฏจักรหกวิถีมีวิธีการฝึกฝนแบบจักรพรรดิเซียน แต่ไม่มีวิธีที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับเทพได้
แต่ปัจจุบันนี้ระดับเทพก็นับว่าอยู่ไกลจากหานเจวี๋ยมาก จึงยังไม่ต้องจินตนาการในตอนนี้
ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าอาจได้อาศัยชิ้นส่วนมหามรรคที่เก็บรวบรวมมาและได้รับวิธีเข้าสู่ระดับเทพก็ได้
จักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏยังคงไม่แข็งแกร่งพอ
จักรพรรดิเซียนหกวัฏก็ไม่เหลือแล้ว นับประสาอะไรกับเขา!
จะประมาทไม่ได้!
หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ
…..
ยมโลก ท่ามกลางอเวจีแห่งหนึ่ง
จี้เซียนเสินพิงกำแพงภูเขาหอบหายใจ เขาพยายามสงบสติอารมณ์และเข้าฌานเพื่อเคลื่อนย้ายลมปราณ
ปราณสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา เอ่ยยิ้มเยาะว่า “เจ้านี่ช่างเจ้าโหดร้ายจริงๆ ยังจะสังหารต่อไปอีกหรือ เจ้าเพิ่งอายุสามพันกว่าปีก็เป็นถึงเซียนลึกล้ำไท่อี่แล้ว พรสวรรค์ระดับนี้หากอยู่ในวังเทพก็นับว่าเป็นแนวหน้า เจ้าผ่อนปรนลงหน่อยก็ได้”
จี้เซียนเสินก็ไม่ได้ลืมตาขึ้น เอ่ยว่า “ข้าไม่เคยเปรียบเทียบกับวังเทพ เป้าหมายของข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น”
“อ้อ เป็นผู้ใดกันหรือ”
“คนผู้นี้ไม่มีชื่อเสียง แต่พรสวรรค์ของเขาเป็นหนึ่งในปวงสวรรค์โลกาแน่นอน ครั้งต่อไปที่ข้าได้เผชิญหน้ากับเขา ข้าจะต้องแข็งแกร่งจนล้มเขาให้จงได้!”
วาจานี้เอ่ยจบจี้เซียนเสินก็พลันลืมตาขึ้น ในดวงตาปรากฏความแวววาวขึ้นมา
‘กวนอวี่! ไม่ใช่สิ! เฉาเชา!
ข้าจะต้องเอาชนะเจ้าให้จงได้!’
จี้เซียนเสินรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
เพียงจินตนาการว่าหานเจวี๋ยนอนอยู่แทบเท้า มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ก็ทำให้เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
รู้สึกดีชะมัด!
ไม่อาจที่จะคิดต่อไปได้แล้ว!
จี้เซียนเสินปรับอารมณ์ของตัวเองและฝึกฝนต่อไป
ไอทมิฬพูดขึ้นมาในทันทีว่า “มีพวกอันธพาลอยู่ใกล้ๆ นี้ แรงกรรมของเจ้าหมอนี่น่ากลัวมาก คาดว่ามันได้กลืนวิญญาณที่ตายแล้วไปหลายสิบล้านดวง เจ้าต้องระวังให้ดี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จี้เซียนเสินก็ลุกขึ้นและเตรียมที่จะต่อสู้ทันที
…..
ไร้เมฆหมอก ผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตามีเกาะกลางทะเลอยู่
บนเกาะมีหุบเขาอยู่ลูกหนึ่ง ผู้บำเพ็ญนับร้อยกำลังเข้าฌาน ณ ที่แห่งนี้
เซวียนฉิงจวินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นางสวมเสื้อคลุมของสำนักเต๋า ท่าทางสูงส่ง สายตาจับจ้องไปที่นักพรตเต๋าวัยกลางคนที่ลอยอยู่ท่ามกลางอากาศเบื้องหน้า
การแสดงธรรมที่กินเวลานานหลายสิบปีเพิ่งจะจบลง
เหล่าลูกศิษย์นิกายเจี๋ยเริ่มเอ่ยความสงสัยของตนขึ้นมาทีละคน เซวียนฉิงจวินฟังอย่างเงียบๆ
เวลานั้นเอง
ศิษย์ชายคนหนึ่งถามขึ้นในทันทีว่า “อาจารย์ จุดประสงค์การฝึกบำเพ็ญของนิกายเจี๋ยของพวกเราในยามนี้คืออะไร การดำรงอยู่ของนิกายเจี๋ยนี้เพื่อสิ่งใด”
ทันทีที่วาจานี้เอ่ยออกมา บรรยากาศก็ตึงเครียดในทันใด ศิษย์ทุกคนล้วนไม่กล้าที่จะกระซิบกระซาบกัน
พวกเขาเองก็กังวลเกี่ยวกับปัญหานี้
ตั้งแต่นิกายเจี๋ยโจมตีวังสวรรค์และกวาดล้างกองทัพทั้งหมดเมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเขาก็กลายเป็นตัวตลกในต่างแดน ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจหรือแม้แต่เผ่าอื่นๆ ต่างก็หัวเราะเยาะพวกเขา
นิกายเจี๋ยเคยครอบครองแดนเซียน เรื่องราวนี้ยังคงอยู่ ลูกศิษย์ทุกคนต่างซ่อนความหวังไว้ในใจ พวกเขาจะยอมที่จะถูกเยาะเย้ยได้อย่างไร
นักพรตเต๋าวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่าว่า “สำนักเต๋าเป็นรากฐานของปวงสวรรค์ แต่น่าจนใจที่นิกายเจี๋ยได้ทำบาปมากมายในอดีต ยามนี้พวกข้ากำลังชำระหนี้ให้บรรพบุรุษ รอจนกว่าชำระหนี้หมดสิ้น นิกายเจี๋ยก็จะกลับไปจุดสูงสุดอีกครั้ง
ศิษย์ชายไต่ถามต่อว่า “จะคิดบัญชีบุญคุณความแค้นของนิกายเจี๋ยและวังสวรรค์ได้อย่างไร”
นักพรตวัยกลางคนเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าไม่รายงาน แต่ยังไม่ถึงเวลา”
เหล่าลูกศิษย์เริ่มกระซิบกรซาบกันขึ้นมา
“เจ้าควรเรียนรู้จากศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าให้มาก เส้นชีวิตนี้ของพวกเราดูเหมือนรุ่งโรจน์ แต่แท้จริงแล้วในหมู่ศิษย์ก็พึ่งพาศิษย์พี่ใหญ่พวกเจ้าประคองไว้” นักพรตวัยกลางคนกล่าวอย่างใจเย็น
มีคนถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ต้องเป็นพิสูจน์จักรพรรดิใช่หรือไม่”
นักพรตเต๋าวัยกลางคนกล่าวว่า “ใช่แล้ว กำลังอยู่ในช่วงทะลวงขั้น นานที่สุดน่าจะหนึ่งร้อยปีจึงจะได้พิสูจน์จักรพรรดิ”
พิสูจน์จักพรรดิ!
เหล่าศิษย์ต่างฮือฮา สีหน้าชื่นชมยินดี
ดวงตาของเซวียนฉิงจวินเองก็แสดงความวาดหวังเช่นกัน
จักรพรรดิเซียน!
สำหรับนางรวมทั้งศิษย์คนอื่นๆ แล้ว นั่นเป็นการดำรงอยู่สูงสุดที่เทียบได้กับมรรคาสวรรค์!
กวาดตามองดูทั่วทั้งแดนเซียน จักรพรรดิเซียนก็เป็นเพียงตำนานเช่นกัน!
เซวียนฉิงจวินถอนหายใจออกมา
นางเข้าใจดีว่าด้วยคุณสมบัติอย่างนางนั้น หากคิดจะเป็นพิสูจน์จักรพรรดิก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
นางอดนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมาไม่ได้ พรสวรรค์ของเจ้าเด็กนั่นช่างเหนือธรรมดายิ่งนัก คงมีหวังที่จะเป็นพิสูจน์จักรพรรดิ และไม่รู้ว่านางจะรอจนถึงวันนั้นได้หรือไม่
……………………………………