ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 27 ตัวอ่อนมารดับดิ้น ข้าน้อยเฉาเชา ระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้า
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 27 ตัวอ่อนมารดับดิ้น ข้าน้อยเฉาเชา ระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้า
บทที่ 27 ตัวอ่อนมารดับดิ้น ข้าน้อยเฉาเชา ระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้า
การมาของเฉินซานเทียนไม่ได้เปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของหานเจวี๋ย
เขาตั้งใจฝึกฝนทุกวัน
ใช้เตียงไม้ของตนเองเป็นเขตอาคม ขณะที่ฝึกฝนเฉินซานเทียนไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังวิญญาณของเขาแม้แต่น้อย
ภาพลักษณ์ของหานเจวี๋ยในสายตาเฉินซานเทียนยิ่งลึกล้ำเกินหยั่งกว่าเดิม
พริบตาเดียว
หนึ่งปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยการปลูกหญ้าวิญญาณ พลังวิญญาณภายในถ้ำเทวาหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ รากวิญญาณอัสนีของหานเจวี๋ยก็บรรลุถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นสี่แล้ว
หนึ่งปีหนึ่งขั้น ความเร็วระดับนี้นับว่าไม่เลว!
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ไม่รู้ว่าจะทำให้สักกี่คนต้องตื่นตกใจ
เฉินซานเทียนสงบลงแล้ว
เขาพบว่าหานเจวี๋ยไม่ได้กลั่นแกล้งเขา แต่เขาก็ไม่กล้าหลบหนี ได้แต่ฝึกฝนตามเท่านั้น
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด และไม่เคยออกจากถ้ำเลย ทำให้เฉินซานเทียนวุ่นวายใจขึ้นเรื่อยๆ
‘แม้จะฝึกฝนอย่างสบายใจ แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะพลาดข่าวได้’
เฉินซานเทียนหันหลังให้หานเจวี๋ยพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด
เขาเป็นถึงศิษย์แกนหลัก ทว่าไม่ได้กลับไปสักที ลัทธิมารฟ้ามืดจะต้องเป็นกังวลแน่ กระทั่งอาจเกิดความสับสนอลหม่านได้
‘ทำอย่างไรดี’
‘แอบทำร้ายเขาสักครั้งดีหรือไม่’
เฉินซานเทียนกลัดกลุ้มไม่หยุด ครั้นนึกถึงภาพที่ถูกหานเจวี๋ยโจมตีจนพ่ายเมื่อหนึ่งปีก่อน เขาก็ขนลุกซู่ขึ้นมา
พลังห่างชั้นมากเกินไป หานเจวี๋ยกล้าฝึกฝนอย่างไม่เกรงกลัวใครเช่นนี้ จะต้องจัดการเขาได้แน่
บัดซบ!
‘เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ถึงขังข้ามาโดยตลอด
หากไม่ใช่เพราะพลังของข้าใช้การไม่ได้ ข้าจะให้เจ้าชดใช้คืนเป็นร้อยเท่า!’
เฉินซานเทียนเผยแววตาเย็นเยือก
เขาเป็นใคร
เขาเป็นถึงตัวอ่อนมารในลัทธิมารฟ้ามืดที่คนได้ยินชื่อแล้วต้องขวัญหนีดีฝ่อ!
[ความเกลียดชังที่เฉินซานเทียนมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 4 ดาว]
หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกฝนขมวดคิ้วขึ้นมา
มารดาเจ้าสิ!
เพิ่มขึ้นอีกแล้ว!
หานเจวี๋ยอยากจะกระอักเลือด
ในหนึ่งปีนี้ เขาไม่ได้ทรมานเฉินซานเทียนเลย เฉินซานเทียนดูเหมือนจะว่านอนสอนง่าย แต่ระดับความเกลียดชังที่มีให้เขากลับเพิ่มขึ้นเสมอ ตอนนี้ขึ้นมาถึง 4 ดาวแล้ว
เป็นระดับที่ไม่ตายไม่ยอมเลิกรา!
เฉินซานเทียนไม่รู้ว่าหานเจวี๋ยคิดอะไรอยู่ในใจ ยังวางแผนว่าจะสังหารหานเจวี๋ยอย่างไรและหาวิธีหลบหนี
‘มีแต่ต้องรอให้เขามีเรื่องแล้วออกไปข้างนอก จากตบะของเขา จะต้องเป็นผู้อาวุโสหรือผู้อาวุโสสูงสุดแน่นอน ช่วงนี้ลัทธิมารฟ้ามืดก่อกวนสำนักหยกพิสุทธิ์อยู่เรื่อยๆ เขาไม่อาจสงบใจฝึกฝนได้ตลอดแน่
รอข้าหนีออกไปได้ จะนำลัทธิมารมาเหยียบสำนักหยกพิสุทธิ์ให้ราบ ถึงตอนนั้นจะสับร่างเจ้านี่เป็นหมื่นชิ้น แล้วสูบวิญญาณมาหลอมพลัง!’
ในใจของเฉินซานเทียนเต็มไปจิตสังหาร แต่ไม่กล้าแสดงออกมาสักนิด
พอนึกว่าตนเองจะได้ทรมานหานเจวี๋ยจนต้องคุกเข่าร้องขอชีวิต เขาก็เบิกบานใจยิ่งนัก
ในขณะนั้นเอง!
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เสียงแหวกอากาศที่คุ้นเคยดังขึ้น เฉินซานเทียนยังไม่ทันได้โต้ตอบ สามกระบี่แยกเงาก็แทงทะลุหน้าอกเขาจนเลือดกระจายทั่วพื้น
เฉินซานเทียนเบิกตาโพลง ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขาหันหน้าไปมองอย่างไม่อยากเชื่อ
หานเจวี๋ยกวักมือขวา ใบหน้าไร้ความรู้สึก
สามกระบี่แยกเงาวนกลับมาโจมตีศีรษะของเขาจนระเบิด
ตัวอ่อนมารแต่กำเนิดเฉินซานเทียน ดับดิ้น!
ครั้งนี้เด็ดขาดกว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนมาก เฉินซานเทียนไม่ทันหลบเลยด้วยซ้ำ
จนกระทั่งเฉินซานเทียนตายไป หานเจวี๋ยก็ยังไม่แน่ใจว่าพลังของเขาเป็นอย่างไรกันแน่
เฉินซานเทียนลดความระแวดระวังนานแล้ว นึกไปว่าหานเจวี๋ยจะเก็บเขาไว้ใช้การใหญ่ ไหนเลยจะคิดว่าจะถูกสังหารในวันนี้
ศพของเฉินซานเทียนล้มลงพื้น แสงลูกหนึ่งพุ่งออกจากร่างของเขา
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
หรือว่านั่น…
ลูกแสงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ก่อนกลายเป็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้มีใบหน้าแก่หง่อม ดวงตาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
เขาปรายตามองร่างของเฉินซานเทียนแวบหนึ่ง จากนั้นจึงจ้องหานเจวี๋ยตาไม่กะพริบ
ภายในถ้ำเทวาตกอยู่ในความเงียบ
หานเจวี๋ยทอดถอนใจ
ไม่คิดว่าจะมีชายชรามาเยือนจริงๆ
ชายชราแค่นเสียงหยัน “ทอดถอนใจเพราะเสียใจภายหลังหรือ สังหารศิษย์ของข้า เจ้าต้องตายสถานเดียว บอกชื่อเจ้ามา!”
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ข้าน้อยเฉาเชา (โจโฉ) ท่านล่ะ”
“จางคุ่นหมัว ลัทธิมารฟ้ามืด!”
“อ๋อ”
“ฮึ เจ้าจงรอความตายเสีย!”
จางคุ่นหมัวเอ่ยจบก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
[จางคุ่นหมัวเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 5 ดาว]
5 ดาว!
สูงมาก!
หานเจวี๋ยรู้สึกลนลานขึ้นมา
เขารีบตรวจสอบค่าความสัมพันธ์ ก่อนจะถอนใจด้วยความโล่งอก
ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นแปด!
แค่นี้เองหรือ
ฟังจากการพูดจาแล้ว หานเจวี๋ยนึกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณเสียอีก
ก็แค่นี้เอง!
หานเจวี๋ยลุกขึ้นมา เริ่มค้นถุงเก็บสมบัติและแหวนเก็บสมบัติของเฉินซานเทียน
หลังจากคนผู้นี้ตาย ตราประทับรับเจ้าของบนถุงเก็บสมบัติและแหวนเก็บสมบัติก็สลายไปเอง
เจ้าหมอนี่รวยใช่ย่อย มีหินวิญญาณกับโอสถลูกกลอนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีกระดาษยันต์และอาคมยันต์จำนวนมาก แต่อาวุธเวทกลับมีน้อยนัก เคล็ดวิชาไม่มีแม้แต่เล่มเดียว
ออกนอกบ้านพกแค่เงินหรือไร
หานเจวี๋ยเทของทั้งหมดลงในเข็มขัดเก็บสมบัติ
ครั้นเขาโบกมือขวา พลังวิญญาณอัคคีก็กลายเป็นเปลวไฟร้อนแรงเผาศพของเฉินซานเทียนจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
หานเจวี๋ยกลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง จากนั้นฝึกฝนต่อ
……
กาลเวลาช่างเร็วไว
แปดปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้า นอกจากรากวิญญาณอัสนีแล้ว รากวิญญาณอีกห้าสายยังอยู่ที่รวมแก่นปราณขั้นหนึ่ง
หากความเร็วในการทะลวงระดับเช่นนี้แพร่งพรายออกไปคงไม่มีใครเชื่อ
หานเจวี๋ยเริ่มฝึกบำเพ็ญรากวิญญาณวายุ
รากวิญญาณวายุสามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการเหาะเหินของเขา เหมาะสำหรับการหลบหนี
ครึ่งเดือนต่อมา
มีคนมาเยี่ยมเยือน
สิงหงเสวียนนั่นเอง
“ท่านพี่ ท่านอยู่หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ มุมปากของหานเจวี๋ยพลันกระตุก
ผ่านไปหลายปีเพียงนี้ ตบะของสิงหงเสวียนบรรลุถึงสร้างฐานขั้นสามแล้ว ดูท่านักพรตเต๋าจิ้งซวีจะดีกับนางมาก
เมื่อก่อนตอนที่นางยังอยู่ระดับหลอมปราณ การทะลวงระดับไม่ได้เร็วเช่นนี้
หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือปิดค่ายกลที่ปากถ้ำ ประตูหินเปิดออกทันที
สิงหงเสวียนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว พอเห็นหานเจวี๋ยนางก็ยิ้มหน้าบาน
นางมองสังเกตสถานการณ์ภายในถ้ำเทวา ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆ หานเจวี๋ย และอิงแอบแนบชิดเขา
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ย “แม่นางสิง โปรดสำรวมด้วย ข้ายังไม่ได้ตอบรับว่าจะเป็นสามีของท่าน”
สิงหงเสวียนเบ้ปาก “แต่ก่อนตอนอยู่สำนักฝ่ายนอก ท่านตื่นเต้นมากไม่ใช่หรือ”
หานเจวี๋ยกระอักกระอ่วนใจ แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน ท่าทางก็เย็นชา
สิงหงเสวียนโบกมือขวาไปทางพื้น โอสถสิบขวดปรากฏออกมาตรงนั้น
“ทั้งหมดนี้เป็นโอสถหยกพิสุทธิ์ ข้าสะสมมาหลายปี” สิงหงเสวียนยิ้มกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
‘ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะไม่อ่อนไหว!’
สีหน้าหานเจวี๋ยผ่อนคลายลง “ท่านเก็บกลับไปเถอะ ข้าไม่ต้องการแล้ว”
รอยยิ้มของสิงหงเสวียนแข็งค้าง คิ้วงามเลิกขึ้นมาทันควัน
ประเดี๋ยวเดียวสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป ถามด้วยเสียงสูงว่า “หรือว่าท่านได้…”
หานเจวี๋ยเผยยิ้มเล็กน้อย
สิงหงเสวียนพลันทำท่าจะโผเข้าหา แต่ถูกเขาใช้พลังวิญญาณหยุดไว้ก่อน
“แม่นางสิง หากท่านอยากเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของข้า ก็ต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดี มิเช่นนั้นหลายร้อยปีผ่านไป ข้าสำเร็จมรรคกลายเป็นเซียน ท่านกลับกลายเป็นกระดูกขาว สำหรับข้าแล้วความรู้สึกลึกซึ้งคือการลงทัณฑ์”
สิงหงเสวียนได้ยินก็สงบโดยไม่รู้ตัว
มีเหตุผลจริงๆ…
นางรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่านพูดถูก ข้าไม่อาจถ่วงแข้งถ่วงขาท่านได้ ข้าจะไปช่วยให้ท่านได้โอสถฝึกฝนสำหรับระดับรวมแก่นปราณ”
เอ่ยจบ นางก็เก็บขวดโอสถบนพื้นและเดินไปยังปากถ้ำ
“แม่นางสิง เรื่องที่ข้าทะลวงระดับอย่าได้พูดออกไป”
หานเจวี๋ยกล่าวเตือน การทะลวงระดับที่เร็วจนน่าตกใจเช่นนี้ หากแพร่งพรายออกไปก็อย่าหวังจะได้ฝึกฝนอย่างสงบเลย
สิงหงเสวียนหันมาบอกด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ ข้ายังกลัวว่านางปีศาจคนอื่นจะมาพัวพันท่านอยู่เลย”
นางแย้มยิ้มราวกับบุปผา แลดูยั่วยวนใจมาก
หานเจวี๋ยรีบควบคุมความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในใจ
เป็นสตรีที่น่ากลัวนัก!
เกือบจะหลงกลแล้วเชียว!
หลังจากสิงหงเสวียนจากไปแล้ว หานเจวี๋ยโบกมือกระตุ้นค่ายกลอีกครั้งเพื่อปิดประตูหิน จากนั้นจึงฝึกบำเพ็ญต่อ
‘สิงหงเสวียน…เซียนซีเสวียน ต่างก็มีตัวอักษรเสวียนหนึ่งตัวเหมือนกัน หรือว่าสองคนนี้จะมีความสัมพันธ์กัน’
หานเจวี๋ยดูดซับปราณไปพลาง คิดเงียบๆ ไปพลาง
……………………………………….