ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 28 เป้าหมายระดับปราณก่อกำเนิด ทิวทัศน์คงเดิมคนเปลี่ยนไป
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 28 เป้าหมายระดับปราณก่อกำเนิด ทิวทัศน์คงเดิมคนเปลี่ยนไป
บทที่ 28 เป้าหมายระดับปราณก่อกำเนิด ทิวทัศน์คงเดิมคนเปลี่ยนไป
บุญคุณความแค้นระหว่างลัทธิมารฟ้ามืดกับสำนักหยกพิสุทธิ์ดำเนินมาหลายทศวรรษแล้ว นี่คือมุมมองของหานเจวี๋ย แต่ความจริงยาวนานยิ่งกว่านั้น
แดนบำเพ็ญพรตไม่ได้มีแค่พวกเขาสองฝ่าย ยังมีสำนักอื่นๆ ด้วย ศัตรูของพวกเขาก็ไม่ได้มีแค่ฝ่ายตรงข้าม
ด้วยเหตุนี้เอง ลัทธิมารฟ้ามืดกับสำนักหยกพิสุทธิ์จึงต่างไม่กล้าเคลื่อนไหวเต็มกำลัง เกรงว่าหากทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บ จะเปิดโอกาสให้สำนักอื่นฉวยผลประโยชน์ได้
ภายในเรือนที่มืดสลัวหลังหนึ่ง มีเงาร่างแปดคนนั่งขัดสมาธิอยู่
จางคุ่นหมัวก็อยู่ในนั้นด้วย
คนที่เป็นหัวหน้าคือชายสวมชุดคลุมสีเลือด ผมสีขาวดำสลับกัน ใบหน้าเฉยเมย ในมือถือแส้จามรีไว้
เขาก็คือต้วนทงเทียน เจ้าลัทธิมารฟ้ามืด!
“นานขนาดนี้แล้วยังจับตัวหลี่ชิงจื่อไม่ได้อีกหรือ” ต้วนทงเทียนถามเสียงทุ้ม
ผู้อาวุโสอีกเจ็ดคนนิ่งเงียบ
พวกเขาตามล่าหลี่ชิงจื่อมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่หลี่ชิงจื่อโชคดีหนีรอดไปได้ทุกครั้ง
หลี่ชิงจื่อจงใจไม่กลับสำนักหยกพิสุทธิ์ และดึงความสนใจส่วนมากของลัทธิมารฟ้ามืดอยู่ตลอด
จางคุ่นหมัวเอ่ยปาก “อย่าสนใจเขาเลย บุกโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์เลยเถิด ศิษย์ของข้าตายในสำนักหยกพิสุทธิ์ ลัทธิมารทุ่มเทให้เขามากแค่ไหน พวกท่านจะเลิกราไปง่ายๆ ได้อย่างไร”
ครั้นนึกถึงหานเจวี๋ย เขาก็กัดฟันกรอด
ตอนนั้นเขาทิ้งคำพูดโหดเหี้ยมเอาไว้ ผลคือผ่านมานานหลายปี เขายังไม่ได้คิดบัญชีกับหานเจวี๋ยเลย
เขายังจำสีหน้าเยาะเย้ยของหานเจวี๋ยตอนที่เขาทิ้งคำพูดใหญ่โตไว้ได้อยู่เลย
“ข้าก็คิดเช่นนี้ โจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์โดยตรงเลย กำลังของพวกเราทั้งหมดเหนือกว่าสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว!”
“ตอนงานชุมนุมใหญ่สายมาร สำนักอื่นก็แสดงท่าทีแล้ว พวกเราต้องยึดสำนักหยกพิสุทธิ์ที่อยู่ใกล้ๆ ได้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเรา”
“นั่นก็ใช่ หากประมุขสายมารสู้ไม่ได้แม้แต่สำนักสายหลักที่อยู่บริเวณใกล้ๆ พวกเขาจะยอมอยู่ใต้อาณัติได้อย่างไร”
“ข้ายินยอมพาศิษย์ไปโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์ด้วยตนเอง!”
“นอกจากหลี่ชิงจื่อแล้ว สำนักหยกพิสุทธิ์ยังมีเฒ่าประหลาดอยู่คนหนึ่ง”
บรรดาผู้อาวุโสพากันถกปัญหา
ต้วนทงเทียนตาเป็นประกาย แต่ไม่ได้เอ่ยปากแทรก
เป็นเวลานานกว่าเหล่าผู้อาวุโสจะหยุดลง และหันมามองเขา รอให้เขาตัดสินใจ
ต้วนทงเทียนกล่าว “ข้าเตรียมจะทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ หากเปลี่ยนวิญญาณสำเร็จ ค่อยไปโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์ก็ยังไม่สาย ถึงเวลานั้นมั่นใจได้ว่าการโจมตีจะสำเร็จแน่”
เปลี่ยนวิญญาณ!
บรรดาผู้อาวุโสมองเขาอย่างตื่นตะลึง
จางคุ่นหมัวหายใจเข้าลึกๆ ก่อนถามว่า “เจ้าลัทธิมั่นใจหรือไม่”
ต้วนทงเทียนตอบอย่างสงบ “ข้าเตรียมการมาหลายสิบปีเพื่อการนี้ มั่นใจได้เก้าในสิบส่วน รออีกสามสิบปีก็ยังไม่สาย!”
สามสิบปี!
สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้วอาจจะเป็นครึ่งชีวิต
แต่สำหรับพวกเขาไม่นับว่านานอะไร
……
สิงหงเสวียนจากไปก็สิบปีแล้ว
หานเจวี๋ยฝึกฝนรากวิญญาณวายุถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้า รากวิญญาณอัคคีก็ถึงขั้นสามเช่นกัน
ตั้งแต่รากวิญญาณอัสนีของเขาถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้า การฝึกฝนรากวิญญาณอื่นๆ ก็ใช้เวลาน้อยแต่ได้ผลมาก
หานเจวี๋ยเห็นระดับปราณก่อกำเนิดกวักมือเรียกตัวเองแล้ว
ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นทุกวัน ความรู้สึกนี้วิเศษอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทำให้เขาไม่รู้สึกเลยว่าการปิดด่านฝึกฝนนั้นน่าเบื่อ
บรรลุระดับปราณก่อกำเนิดในเร็ววัน ถึงจะนับว่าหลุดพ้นจากการเป็นผู้อ่อนแออย่างแท้จริง!
ขณะนี้หานเจวี๋ยอายุแปดสิบแปดปีแล้ว ระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้าที่อายุแปดสิบแปดปี ในแดนบำเพ็ญพรตไม่มีคนที่สองแน่นอน
แต่เขายังคงรู้สึกว่าไม่พอ
ต่อให้บรรลุระดับปราณก่อกำเนิดก็ยังไม่พอ
เขาต้องการฝึกฝนจนสุดหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร จะต้องไร้คู่ต่อกรแน่!
วันนี้
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์มาเยี่ยมเยียน
หานเจวี๋ยปิดค่ายกล ต้อนรับนางเข้ามาในถ้ำ
“ศิษย์น้อง ข้ามาเยี่ยมเจ้า ถือโอกาสนำของล้ำค่าฟ้าดินมาให้ด้วยจำนวนหนึ่ง ปลูกไว้ข้างสระจะทำให้พลังวิญญาณในถ้ำเทวาของเจ้าหนาแน่นมากขึ้น ไม่แน่ว่าภายหน้าอาจจะเป็นถ้ำเทวาที่มีพลังวิญญาณดีที่สุดในสำนักหยกพิสุทธิ์ก็ได้” ฉางเยวี่ยเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
นางเดินมาที่ขอบสระและเริ่มโปรยเมล็ดพันธุ์
หานเจวี๋ยยิ้มเอ่ย “ขอบคุณศิษย์พี่หญิงมาก”
“ไม่ต้องขอบคุณข้า ทั้งหมดเป็นรางวัลจากอาจารย์ ศิษย์พี่หญิงของเจ้าก็แค่ช่วยออกแรงนิดหน่อย” ฉางเยวี่ยเอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ
หานเจวี๋ยนึกถึงเซียนซีเสวียนอย่างอดไม่ได้
เขารู้สึกซาบซึ้งอยู่เงียบๆ ในใจ
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เอ่ยต่อ “ตั้งแต่เจ้าปิดด่านฝึกฝน ยอดเขาหยกวิเวกก็มีศิษย์ใหม่เข้ามาหลายคน ศิษย์น้องเถี่ยที่มาทีหลังเจ้าสิ้นอายุขัยเมื่อสองปีก่อน จบชีวิตไปในวัยชราแล้ว”
ผู้เฒ่าเถี่ยตายแล้ว?
หานเจวี๋ยอึ้งไป
เขารีบเปิดดูค่าความสัมพันธ์ และพบว่าหารูปของผู้เฒ่าเถี่ยไม่เจอแล้ว
ตัวคนไม่อยู่แล้ว
“พูดถึงศิษย์น้องเถี่ยผู้นี้ คุณสมบัติของเขาด้อยเกินไป เดิมทีก็ควรสิ้นชีวิตอยู่ที่สำนักฝ่ายนอก ได้มาอยู่สำนักฝ่ายในก็นับว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้เสียดายแล้ว แต่ว่าก่อนตายเขาอยากพบเจ้า เด็กรับใช้หลอมโอสถของเขาเป็นคนบอกมา”
“เหตุใดถึงอยากพบข้า”
หานเจวี๋ยถามด้วยสีหน้าซับซ้อน
เมื่อก่อนเขารังเกียจผู้เฒ่าเถี่ยมาก
แต่ตอนนี้พอนึกย้อนไป ผู้เฒ่าเถี่ยไม่เคยทำร้ายเขา กระทั่งพูดได้ว่าเคยอบรมเลี้ยงดูเขาด้วย
การจากไปของผู้เฒ่าเถี่ยทำให้ความเกลียดชังที่หานเจวี๋ยมีให้หายไปจนหมดสิ้น ถึงขั้นรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
นี่ก็คือวิถีของการฝึกบำเพ็ญ
มักจะมีคนเสียชีวิตระหว่างทาง
ข้าจะไม่ยอมตายกลางทางเด็ดขาด!
จิตใจที่แสวงหาอายุขัยยืนยาวของหานเจวี๋ยแน่วแน่มากกว่าเดิม
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้ากล่าว “ข้าจะรู้ได้อย่างไร พวกเจ้าสองคนรู้จักกันมาก่อนหรือ”
เรื่องที่หานเจวี๋ยรู้จักกับผู้เฒ่าเถี่ย มีคนจำนวนน้อยที่รู้เรื่องนี้ และฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รวมอยู่ในนั้นด้วย
“รู้จักหรือไม่ไม่สำคัญอีกแล้ว ศิษย์พี่หญิงตั้งใจฝึกฝนเถิด หากแม้แต่ท่านก็สิ้นไปด้วย ศิษย์น้องจะเสียใจได้”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจริงจัง คำพูดนี้เขาพูดออกมาจากใจจริง
เมื่อมายังโลกแห่งนี้ คนที่เขารู้จักมีไม่มาก คนที่มีความสัมพันธ์อันดียิ่งนับนิ้วได้เลย
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์หันหน้ามามองเขา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮึ ศิษย์น้องบ้า ข้านึกว่าในใจของเจ้าจะไม่มีข้าเสียอีก”
หานเจวี๋ยยิ้มพลางส่ายหน้า
ทั้งสองเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ
ส่วนมากฉางเยวี่ยเอ๋อร์จะเป็นคนพูด นางพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนัก
โจวฝานผงาดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว เขากลายเป็นคนดังในสำนักฝ่ายใน อาศัยตบะระดับสร้างฐานท้าสู้ศิษย์เอกของยอดเขากระบี่ได้สำเร็จ และชิงคู่บำเพ็ญเพียรมาได้ สร้างความฮือฮาไปทั่วสำนัก แต่ในวันที่สองหลังจากแต่งงาน เขาก็ตัดขาดกับสตรีผู้นั้น ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสำนักฝ่ายใน
ตอนนี้โจวฝานกับโม่ฟู่โฉวเป็นหน้าเป็นตาให้ยอดเขาอัสนีสวรรค์ ทั้งสองคนกลายเป็นศิษย์สืบทอด โม่ฟู่โฉวยังมีสถานะเป็นศิษย์แกนหลักด้วย
สิงหงเสวียนฝึกฝนอยู่ที่ยอดเขาหลักตลอด แต่กลับไม่มีชื่อเสียงอะไร
“เอาละ ศิษย์พี่ควรกลับไปฝึกฝนได้แล้ว จะพยายามเดินเคียงข้างศิษย์น้องบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญให้มากขึ้นอีกสักช่วงแล้วกัน” ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยิ้มทะเล้น จากนั้นลุกขึ้นจากไป
หานเจวี๋ยถอนหายใจ
แม้ฉางเยวี่ยเอ๋อร์จะล้อเล่น ทว่าพอคำพูดนี้เข้าหูหานเจวี๋ยกลับเป็นความจริงที่น่าปวดใจ
หานเจวี๋ยคือคนที่อยากมีอายุยืนยาว คุณสมบัติของฉางเยวี่ยเอ๋อร์ห่างชั้นกับเขามาก ต้องอยู่ได้ไม่นานเท่าเขาแน่!
แต่หานเจวี๋ยไม่ใช่คนที่โวยวายไร้เหตุผล ไม่นานก็ปรับสภาพอารมณ์ได้
หากต่อไปมีความสามารถ ก็ดึงคนใกล้ชิดเข้ามาได้
อย่างเช่นเซียนซีเสวียน ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ สิงหงเสวียน
จะนับโม่จู๋ด้วยอีกคนหรือไม่
หานเจวี๋ยคิดพิจารณาเงียบๆ
เขาพลันยกมือขวาขึ้นมา ใช้ดรรชนีแทนกระบี่สลักอักขระผ่านอากาศไปบนผนังถ้ำ
‘ผู้เฒ่าเถี่ย’
เขาลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับให้กับชื่อของผู้เฒ่าเถี่ย
การคำนับนี้นับเป็นการอำลาที่ล่าช้า
หวังว่าภพหน้าผู้เฒ่าเถี่ยจะได้เกิดในตระกูลที่ดี
จากนั้นหานเจวี๋ยก็นั่งขัดสมาธิฝึกฝนต่อ
……
ผ่านไปอีกสิบปี
รากวิญญาณอัคคีของหานเจวี๋ยบรรลุระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้า รากวิญญาณวารีถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นเจ็ด ยังเหลือรากวิญญาณพสุธากับรากวิญญาณพฤกษาที่ยังไม่ได้ฝึกฝน
ความเร็วระดับนี้เทพมากแล้ว แต่เขายังไม่พอใจเท่าใด
เขาเริ่มค้นเข็มขัดเก็บสมบัติ ตรวจดูโอสถที่เฉินซานเทียนทิ้งไว้
เฉินซานเทียนก็เป็นผู้บำเพ็ญระดับรวมแก่นปราณเช่นกัน บางทีอาจจะมีโอสถสำหรับฝึกฝนระดับรวมแก่นปราณโดยเฉพาะ
น่าเสียดาย ไม่มีเลย
โอสถของคนผู้นี้ส่วนใหญ่เป็นยาพิษ ยาเสน่ห์ และยาต่ำช้าชนิดต่างๆ
“มันสมกับเป็นคนลัทธิมารจริงๆ!”
หานเจวี๋ยอดด่าไม่ได้
……………………………………….