ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 298 ยกระดับระบบ ไขความลับกลไกสวรรค์
บทที่ 298 ยกระดับระบบ ไขความลับกลไกสวรรค์
“หือ?”
เมื่อสัมผัสได้ว่าต้วนหงเฉินกำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้เกาะสำนักซ่อนเร้น หานเจวี๋ยก็อดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้
เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร มาหาเรื่องกันหรือ
ต้วนหงเฉินเหาะมาถึงเหนือเกาะสำนักซ่อนเร้นอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เจอกันนาน คิดไม่ถึงว่าเพิ่งฟื้นขึ้นมาก็ได้พบกับเจ้าเสียแล้ว เจ้ามันโชคร้ายจริงๆ”
เสียงของเขาดังเข้ามาในเกาะสำนักซ่อนเร้น ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง นี่เขากำลังพูดถึงใครกัน
ซูฉีที่กำลังปิดด่านฝึกฝนอยู่ในถ้ำเทวาลืมตาโพลง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เพียงแค่ได้ยินเสียงของต้วนหงเฉิน ซูฉีก็รู้สึกร้อนรนใจขึ้นมา ราวกับได้พบศัตรูที่ฟ้าลิขิต
เกิดอะไรขึ้น
ซูฉีลอบรู้สึกสับสน
ตอนนี้เอง ผนึกควบคุมของเกาะสำนักซ่อนเร้นก็เปิดออก หลังจากนั้นต้วนหงเฉินก็โฉบเข้ามาภายในเกาะทันที
ต้วนหงเฉินกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไร เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา ซึ่งนั่นก็คือหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ใต้เท้ามีธุระอันใดหรือ”
ต้วนหงเฉินมองประเมินหานเจวี๋ย เพิ่งตบะเซียนแท้ไท่อี่เองนี่?
เขาหัวเราะออกมาน้อยๆ “ข้ามาตามหาอีกคนหนึ่ง ส่งตัวเขามาให้ข้าเสีย แล้วข้าจะไม่ทำลายเกาะของเจ้า”
“อ้อ? ท่านจะมาจับคนหรือ”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็ได้”
ต้วนหงเฉินก็ไม่คิดระวังตัว เขาเพิ่งใช้พลังจิตสำรวจไป มีแต่พวกอ่อนหัดทั้งนั้น
แม้แต่จอมปีศาจคุกรัตติกาลที่ปลอมแปลงตบะเหมือนกับหานเจวี๋ยก็ยังถูกมองข้าม
ความแตกต่างระหว่างจักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏและจักรพรรดิเซียนห้าวัฏยังห่างไกลกันมากโข
เหล่าศิษย์ทุกรายในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนต่างจ้องมองต้วนหงเฉินด้วยความประหลาดใจ
บนยอดเขาลูกหนึ่ง จอมปีศาจคุกรัตติกาลที่กำลังเข้าฌานอยู่เผยรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้า
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยความตื่นตระหนกว่า “พวกเขาล้วนแต่เป็นศิษย์ของข้า การที่ท่านทำเช่นนี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมกระมัง”
ต้วนหงเฉินโบกมือแล้วกล่าว “ไม่ต้องพูดมาก ข้าไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายพวกเจ้า เว้นแต่คนผู้นั้น…”
หานเจวี๋ยลงมือทันที กระบี่พิพากษาอนธการปรากฏขึ้นในมือของเขาตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบได้ เขายกกระบี่ขึ้นและฟันในฉับเดียว
ยอดปราณกระบี่!
ต้วนหงเฉินไม่ทันได้ตอบโต้ ปราณกระบี่ก็แทงทะลุกายเนื้อ และสังหารร่างของเขาในทันที ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพันรัดจิตวิญญาณของเขาไว้
จากนั้นหานเจวี๋ยก็สำแดงพลังดูดวิญญาณหกสายออกมา ดูดกลืนวิญญาณของเขาเข้าไปในโลกอนธการของตนเอง
เกาะสำนักซ่อนเร้นกลับสู่ความสงบดังเดิม
การต่อสู้นี้จบเร็วเกินไปแล้ว!
เร็วเสียจนทุกคนมองตามไม่ทัน แม้แต่จอมปีศาจคุกรัตติกาลก็เช่นกัน
“แข็งแกร่งนัก…นับวันเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ…”
จอมปีศาจคุกรัตติกาลจ้องมองหานเจวี๋ยด้วยความยำเกรง
เขามีลางสังหรณ์ว่าหานเจวี๋ยจะไปได้ไกลในมหาเคราะห์ครั้งนี้ เมื่อใดที่มหาเคราะห์ผ่านพ้นไปแล้ว หานเจวี๋ยจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ทรงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกาสวรรค์
ศิษย์คนอื่นๆ ต่างเห็นจนชินตา ส่วนใหญ่การที่หานเจวี๋ยลงมือสังหารศัตรูให้ตกตายในไม่กี่วินาทีเป็นเรื่องปกติ ก็มีแต่คราวของจักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตเท่านั้นที่ผิดคาดไป
หานเจวี๋ยหันหลังกลับเข้าไปยังถ้ำเทวาฟ้าประทาน
เหล่าศิษย์ต่างพูดคุยถกเถียงกันไปต่างๆ นานา แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดบรรยากาศโกลาหลแต่อย่างใด
ภายในโลกอนธการ
จิตวิญญาณของต้วนหงเฉินถูกกักขังด้วยมหามรรคเวียนว่ายตายเกิด ทำให้ขยับเขยื้อนไม่ได้ เขามองไปรอบๆ ด้วยความหวาดผวา แรงกรรมที่อยู่ภายในตัวของเขาถูกสูบออกมาจากร่าง ทั้งหมดพุ่งไปในทิศทางเดียว
เขามองตามทิศทางที่แรงกรรมไหลไป เห็นดาวเคราะห์ดำทะมึนดวงหนึ่ง สายตาของเขามองทะลุดาวเคราะห์ดวงนั้นไป จนเห็นเข้ากับดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง
“บัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร! เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
ต้วนหงเฉินทั้งตกใจและหวาดกลัวจนตัวสั่น
เขารีบส่งเสียงร้อง “สหายเต๋า! ข้าผิดไปแล้ว! ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด! ได้โปรดปล่อยข้าไป!”
[ต้วนหงเฉินเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 4 ดาว]
เมื่อเห็นข้อความดังกล่าวปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาก็อดแค่นเสียงเย็นชาออกมาไม่ได้
สะกดเอาไว้ช่วงหนึ่งก่อนก็แล้วกัน
เขายังไม่อยากสังหารต้วนหงเฉินในตอนนี้ เพียงเพราะเจ้าหมอนี่เป็นผู้ฝ่าเคราะห์ เขาสามารถรู้สึกได้ถึงแรงกรรมอันน่าสะพรึงกลัวที่มาจากภายในตัวของต้วนหงเฉินได้อย่างชัดเจน ทันทีที่ลงมือสังหารอีกฝ่าย แรงกรรมอันใหญ่หลวงนี้จะส่งต่อมาสู่ตัวเขาทั้งหมด
ยิ่งแรงกรรมมีมากเท่าไร ก็จะถูกสาปแช่งง่ายขึ้นเท่านั้น
เคราะห์สวรรค์ที่พบเจอขณะฝ่าด่านเคราะห์ครั้งนั้นรุนแรงยิ่งกว่า เดินอยู่ดีๆ อาจจะถูกฟ้าผ่าได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ยิ่งมีแรงกรรมมาก โชคร้ายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!
หานเจวี๋ยไม่อยากโชคร้าย
อู้เต้าเจี้ยนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “นายท่าน ชายหนุ่มเมื่อครู่นี้มาตามหาผู้ใดหรือเจ้าคะ”
หานเจวี๋ยส่ายหน้าแล้วกล่าว “ใครจะไปรู้เล่า”
คงจะมาตามหาซูฉีกระมัง!
เทพแห่งความโชคร้าย…
หานเจวี๋ยยังไม่อยากเปิดเผยตัวตนของซูฉีในตอนนี้ จึงปล่อยเลยตามเลยไป
…
ในลานบ้านแห่งหนึ่ง หญิงสาวกระโปรงเขียวผู้งามชดช้อยราวกับนางสวรรค์นางหนึ่งกำลังนั่งสมาธิเพื่อฝึกบำเพ็ญ
นางก็คือสิงหงเสวียนผู้กลับชาติมาเกิดใหม่
สิงหงเสวียนค่อยๆ ลืมตาคู่สวยขึ้นช้าๆ ทอดสายตามองไปยังขอบฟ้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
เสียงหนึ่งลอยแว่วเข้ามา เห็นเพียงแม่ชีเต๋านางหนึ่งเดินเข้ามาในลานบ้าน
สิงหงเสวียนรีบลุกขึ้นยืนคารวะในทันที ก่อนจะกล่าวว่า “อาจารย์ ศิษย์ไม่ได้คิดสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ”
แม่ชีเต๋าสาวเท้าเข้าไปตรงหน้านางก่อนจะนั่งลงและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กับอาจารย์ยังไม่เล่าความในใจออกมาอีกหรือ หรือจะเกี่ยวข้องกับชีวิตในภพก่อนของเจ้า?
อาจารย์รู้อยู่แล้วว่าเจ้ายังคงหลงเหลือความทรงจำในอดีตชาติ หรือจะเป็นความอาฆาตแค้นกันหนอ อาจารย์จะบอกให้เจ้าฟังประโยคหนึ่ง คุณความแค้นในอดีตชาติก็เปรียบเสมือนหมอกควันที่ลอยผ่านไป อย่าได้ยึดติดกับมันอีก ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเหนื่อยเสียเอง”
สิงหงเสวียนส่ายหน้าและกล่าวยิ้มๆ “ไม่ใช่คุณความแค้นอะไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่คิดถึงสามีของข้าเท่านั้น”
สามี?
แม่ชีเต๋าขมวดคิ้ว
เมื่อได้เห็นสีหน้าของนาง สิงหงเสวียนก็อดประหลาดใจไม่ได้
หรือสำนักของท่านอาจารย์ไม่อนุญาตให้ศิษย์หาคู่บำเพ็ญเพียร?
แม่ชีเต๋ากล่าวว่า “ศิษย์เอ๋ย มหาเคราะห์มาถึงแล้ว ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าแขวนอยู่บนเส้นด้าย อาจารย์อยู่กับเจ้าได้ไม่นาน คุณสมบัติของเจ้านั้นยอดเยี่ยม อย่าได้หมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์เลย เข้าใจหรือไม่”
สิงหงเสวียนรับคำอย่างว่าง่าย “ศิษย์เข้าใจเจ้าค่ะ”
ทว่าในใจของนางหาได้เชื่อฟังไม่
‘คุณสมบัติอย่างข้าก็นับว่าเยี่ยมยอดหรือ คุณสมบัติของท่านพี่ต่างหากถึงจะเป็นอันดับหนึ่งในปวงสวรรค์! มีเพียงเกาะขาท่านพี่ไว้แน่นๆ ถึงจะได้ครอบครองมหามรรค!’
“จริงสิ อาจารย์ ท่านมาจากสำนักบำเพ็ญเพียรใดหรือเจ้าคะ” สิงหงเสวียนเปลี่ยนเรื่องสนทนา
แม่ชีเต๋ายิ้มและกล่าวว่า “อาจารย์ไม่ได้มาจากสำนักบำเพ็ญเพียรใด แต่มาจากสำนักดวงชะตา นิกายฉ่าน”
นิกายฉ่าน?
สิงหงเสวียนราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
แม่ชีเต๋าเหลือบสายตาขึ้นมองไปบนท้องฟ้า ก่อนจะกล่าวกับตนเองว่า “มหาเคราะห์มาถึงแล้ว ไม่รู้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้นำใต้หล้าตั้งแต่นี้ไป และสรรพชีวิตเช่นพวกเรา จะเหลือชีวิตรอดอีกสักกี่คน”
สิงหงเสวียนอดสงสัยเกี่ยวกับมหาเคราะห์ไม่ได้
“อาจารย์ เมื่อไรข้าจะได้ท่องสองโลกหยินหยางเสียทีละเจ้าคะ”
“ท่องสองโลกหยินหยางหรือ เช่นนั้นก็ต้องไปถึงระดับเซียนล้ำลึกไท่อี่เสียก่อนถึงจะคลายกังวล”
“คุณสมบัติเช่นข้าต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใดกัน”
“อย่างเร็วหน่อยก็สามพันปีกระมัง”
“อ้อ”
…
ยี่สิบปีต่อมา ในที่สุดระบบก็ยกระดับสำเร็จลุล่วง
[การยกระดับระบบเสร็จสมบูรณ์]
[อาณาเขตเต๋าได้รับการยกระดับ ค่ายกลยกระดับสู่ระดับจักรพรรดิ เพิ่มมิติค่ายกล สามารถขยายขอบเขตมิติภายในอาณาเขตเต๋าให้ใหญ่ขึ้นได้]
[ไอเซียนของอาณาเขตเต๋าเพิ่มขึ้นสิบเท่า ปราณฟ้าประทานเพิ่มขึ้นสองเท่า]
[อาณาเขตเต๋าสามารถปิดกั้นการสอดแนมพลังจิตของต้าหลัว]
[แบบจำลองการทดสอบจะสามารถเปิดใช้งานได้ สิทธิ์ของผู้เข้าใช้งานจะถูกกำหนดโดยเจ้าของระบบ สามารถยกเลิกสิทธิ์ได้ตลอดเวลา]
[ระบบเพิ่มความสามารถวิวัฒนาการ สามารถไขความลับกลไกสวรรค์ทั้งปวงได้ ด้วยการหักจำนวนอายุขัย]
หานเจวี๋ยอดที่จะแปลกใจไม่ได้ มิน่าเล่าถึงได้ใช้เวลานานเพียงนี้
นอกจากการยกระดับแล้ว ความสามารถของแบบจำลองการทดสอบและความสามารถวิวัฒนาการที่เพิ่มมาใหม่ยังประเมินค่าไม่ได้
การเปิดความสามารถแบบจำลองการทดสอบจะทำให้เหล่าศิษย์ได้เพิ่มประสบการณ์ในการต่อสู้ให้กับตนเอง อย่างไรเสียเมื่อตบะสูงเกินไป จึงไม่สะดวกที่จะต่อสู้กันบนเกาะ
สิ่งที่หานเจวี๋ยรู้สึกสนใจมากที่สุดเห็นจะเป็นความสามารถวิวัฒนาการ
วิวัฒนาการกลไกสวรรค์! ก็คือการสอดแนมอนาคตสินะ?
จักรพรรดิเซียนส่วนมากล้วนทำได้ทั้งนั้น ทว่าสามารถอนุมานได้เพียงสิ่งมีชีวิตที่ระดับต่ำกว่าตนเอง
ยามนี้มหาเคราะห์เปิดฉากขึ้นแล้ว กลไกสวรรค์ถูกปกปิด และไม่สามารถคาดเดาได้อีกต่อไป
เป็นไปได้หรือไม่ว่าระบบสามารถสรุปกลไกสวรรค์ของมหาเคราะห์ได้แล้ว
หานเจวี๋ยตัดสินใจที่จะลองดู
‘ข้าอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดในมหาเคราะห์ครั้งนี้’ หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นเบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏอักขระขึ้นมาแถวหนึ่ง
[ต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
………………………………………………..