ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 320 มหามรรคแห่งกรรม จักรพรรดิเซียนหกวัฏ
บทที่ 320 มหามรรคแห่งกรรม จักรพรรดิเซียนหกวัฏ
บุตรแห่งจักรพรรดิปีศาจหรือ?
อ้อ!
อย่างไรเสียหานเจวี๋ยก็เคยล่วงเกินพ่อของเขาไปแล้ว ล่วงเกินเขาอีกคนก็คงไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก
ความจริงก็ยังพอรับได้ ก็แค่ความเกลียดชังระดับสองดาวเท่านั้น คอยดูกันต่อไป
หากว่าหลังจากนี้เจ้าหมอนี่ยังกล้าเพิ่มระดับความเกลียดชังขึ้นอีก เช่นนั้นก็ต้องขออภัยแล้ว
ถึงแม้ข้าจะเป็นคนเรียบง่าย แต่จิตใจโหดเหี้ยมยิ่งนัก!
หานเจวี๋ยไม่ได้คิดมากอีกต่อไป เดินหน้าต่อ
พวกเขาทั้งสามคนนับว่าเป็นกลุ่มรั้งท้าย ดังนั้นจึงไม่ได้รีบร้อน
เมื่อหานเจวี๋ยก้าวผ่านประตูใหญ่ของตำหนักเอกอนันต์ แสงเจิดจ้าก็สาดคลุมบนร่างกายของเขา เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่อาจสกัดกั้นที่เข้าห่อหุ้มร่างของตนไว้ สองเท้าเขายกขึ้นเหนือพื้น ราวกับลอยอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปหลายอึดใจ หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าตนเองร่อนลงสู่พื้นแล้ว
เขาลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือเงาร่างที่เรียงรายกัน
เขากวาดสายตามอง ด้านหน้ามีเงาคนอยู่สิบแถว ด้านหลังยังมีอีกเจ็ดแปดแถว ด้านหลังของแต่ละคนล้วนมีเบาะรองนั่งวางไว้อยู่
หานเจวี๋ยพบว่ายอดแม่ทัพเทพและหลงจวินอยู่ด้านหลังถัดจากเขาไปสองแถว
ทั้งสองคนก็สังเกตเห็นหานเจวี๋ยเช่นเดียวกัน ใบหน้าของพวกเขาฉายแววตกตะลึง
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นสีหน้าของพวกเขา อดที่จะสงสัยไม่ได้
หรือว่าตำแหน่งนี้จะมีความสำคัญยิ่งนัก
เขาทอดสายตามองต่อไป พบว่าจักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้อยู่ในแถวแรก แต่เป็นแถวที่สอง
เงาร่างที่อยู่ในแถวแรกเหล่านั้นแผ่แสงสว่างเรืองรอง ทำให้คนยากจะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้
คนอื่นๆ เองก็เหลียวซ้ายแลขวาเช่นกัน บางคนดูตกตะลึง บางคนดูผิดหวัง บางคนดูไม่อยากจะเชื่อ
แต่ละคนต่างไม่ได้เปล่งเสียงออกมา ภายใต้ความเงียบสงบนั้น ทุกคนมีท่าทางที่แตกต่างกันไป หานเจวี๋ยรู้สึกขบขันอย่างน่าประหลาด
เขาไม่กล้าหัวเราะออกมา ได้แต่นั่งลงเสีย
“หืม เบาะนี้ไม่ธรรมดา!”
หานเจวี๋ยตกตะลึงเมื่อพบว่าเบาะที่อยู่ใต้ร่างระดับสูงกว่าเบาะที่เขาใช้ถ้ำเทวาฟ้าประทานเสียอีก ไอเซียนหลั่งไหลเข้าสู่ร่างเขาด้วยตัวเองอย่างไม่ขาดสาย ปริมาณกำลังพอเหมาะพอดี ทำให้เขารู้สึกสบายยิ่งนัก
ห้องโถงใหญ่โตอย่างยิ่ง รองรับคนได้หลายร้อยคน แต่ละคนมีระยะห่างกันหลายจั้ง ดูกว้างขวางยิ่งนัก
เหนือศีรษะขึ้นไปมีแสงสว่างเจิดจ้า มองไม่เห็นเพดานสวรรค์ แสงสว่างทาบทอลงมา อบอุ่นอย่างยิ่ง
และในเวลานี้เอง แรงกดดันมหาศาลอันน่าพรั่นพรึงกดทับลงมาบนตัวทุกคนที่นั่งอยู่
ที่ด้านหน้าสุด มีเงาร่างผู้อาวุโสสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด กำลังหันหน้าเผชิญทุกคน
เขาสวมชุสีเทา ผมสีขาวโพลนใบหน้าเยาว์วัย ดวงตาปิดสนิท ดูคล้ายมีประสบการณ์โชกโชนและมองเห็นแดนมนุษย์อย่างทะลุปรุโปร่ง มีความน่าเกรงขามอันยากจะบรรยายได้
“น้อมคารวะปรมาจารย์ลัญจกรสรวง!”
เหล่าเจ้าพ่อในแถวที่สองต่างขานเป็นเสียงเดียวกัน เหล่าผู้คนที่อยู่ในแถวหลังต่างรีบทำความเคารพ หานเจวี๋ยตอบสนองอย่างว่องไว ทำความเคารพตาม
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง?
หานเจวี๋ยแอบรู้สึกว่ายอดเยี่ยมนัก
เขารีบใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบทุกคนในสถานที่แห่งนี้ทันที เพื่อคัดลอกข้อมูล
หลังจากยกระดับระบบ ไม่เพียงแต่สามารถคัดลอกข้อมูลของศัตรูโดยใช้อาณาเขตเต๋าเป็นศูนย์กลางได้เท่านั้น แต่ยังสามารถคัดลอกข้อมูลผู้คนโดยมีตนเองเป็นจุดศูนย์กลางได้ด้วย
[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง: ไม่ทราบตบะ นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น]
[จักรพรรดิตัดโลกีย์: ไม่ทราบตบะ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต]
[เจ้าแห่งวังเทพ: ไม่ทราบตบะ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต]
[จักรพรรดิปีศาจ: ไม่ทราบตบะ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต]
….
ส่วนใหญ่ล้วนไม่ทราบตบะทั้งสิ้น
หานเจวี๋ยอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ วันหน้าไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเป้าหมายในการต่อสู้แล้ว
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้แจ้งสำเร็จมรรคผ่านเคราะห์ไร้ขอบเขตมาเก้าหนแล้ว ทุกครั้งที่มหาเคราะห์มาเยือน ข้าล้วนจะแสดงธรรมที่นี่ อำนวยพรแก่สรรพสิ่ง พวกเจ้าจะตระหนักรู้ได้มากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของพวกเจ้าแต่ละคน”
“มหามรรคที่ข้าจะแสดงธรรรมในครั้งนี้คือกรรม ข้าได้ยินมาว่าในปวงสวรรค์มีเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคอยสาปแช่งควบคุมมหาเคราะห์อยู่ เดิมการสาปแช่งก็เป็นมรรคแห่งกรรมเช่นกัน”
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ?
หานเจวี๋ยพูดไม่ออก ไม่คิดว่าอยู่ที่นี่ก็ยังได้ยินชื่ออีกตัวตนหนึ่งของเขา
เมื่อเอ่ยถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ จักรพรรดิปีศาจและบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์รวมถึงผู้คนอีกมากมายต่างเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมา และมีคนบางส่วนที่เผยสีหน้าเคารพยำเกรง
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยต่อว่า “เวรกรรม สิ่งใดคือเหตุแห่งกรรม สรรพสิ่งเชื่อมโยงเป็นเหตุแห่งกรรม สิ้นสุดการเชื่อมโยงคือผลแห่งกรรม มรรคกรรมอยู่นอกเหนือมรรคแห่งมรรคาสวรรค์ ลับลวงเลื่อนลอย ยากจะสืบค้นต้นตอ”
“เล่าขานกันว่า ก่อนเทพบรรพกาลจะเบิกฟ้าแยกปฐพี สามพันมหามรรคต่างมีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณแห่งกรรมถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางการต่อสู้อันวุ่นวายของสามพันมหามรรค”
หานเจวี๋ยฟังๆ ไปก็ค่อยๆ ตกอยู่ในภวังค์
น้ำเสียงของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงมีเสน่ห์ดึงดูดบางอย่าง ทำให้จิตสำนึกของหานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรคอย่างรวดเร็ว
สภาวะนี้ช่างน่าพิศวงอย่างยิ่ง หานเจวี๋ยเริ่มโคจรมหามรรควัฏจักรอนธการอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ความเร็วในการดูดซับแรงกรรมจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรของกายดาราอันธการก็เพิ่มระดับมากขึ้น
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงคล้ายจะจับสัมผัสสิ่งใดได้ สายตาตกอยู่บนร่างของหานเจวี๋ย เพียงแต่สายตานี้ก็เป็นการชำเลืองผ่านแวบเดียวเท่านั้น
วาจาในตอนท้ายของปรมาจารย์ลัญจกรสรวง หานเจวี๋ยได้ยินไม่ชัดแล้ว เขารู้แจ้งในทันใด ความคิดและความเข้าใจมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในสมองของเขา
สถานการณ์นี้คล้ายคลึงกับตอนที่หานเจวี๋ยหลอมรวมชิ้นส่วนมหามรรคก่อนหน้านี้
ตระหนักรู้มหามรรค!
หานเจวี๋ยไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าตบะของตนเริ่มพุ่งทะยานขึ้นมา
เบาะรองใต้ร่างของเขาก็ถ่ายทอดไอเซียนให้เขาไม่หยุด เขาต้องการเท่าไร เบาะรองนั่งก็ถ่ายทอดให้เท่านั้น
มิใช่เพียงหานเจวี๋ย คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถงก็เข้าสู่สภาวะตระหนักรู้เช่นกัน รวมถึงผู้ทรงพลังอย่างพวกจักรพรรดิสวรรค์และจักรพรรดิปีศาจ
เวลาผ่านไปไม่ถึงปี มีเซียนทองไท่อี่บางรายทะลวงถึงระดับจักรพรรดิแล้ว
เวลาผ่านไปดุจโบยบิน
ผ่านไปปีแล้วปีเล่า
หานเจวี๋ยไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว
กระทั่งปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสิ้นสุดการแสดงธรรม หานเจวี๋ยถึงพลันได้สติกลับมา
ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น คนแทบทั้งหมดล้วนมีท่าทางราวกับตื่นจากความฝัน
จิตสำนึกของหานเจวี๋ยฟื้นคืนมา
เขาประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อพบว่าตบะของตนทะลวงถึงระดับจักรพรรดิเซียนหกวัฏแล้ว!
เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ
หานเจวี๋ยจอค่าสถานะออกมาตรวจสอบ
[ชื่อ: หานเจวี๋ย]
[อายุขัย: 3,951 / 1,025,999,999,999,999]
[เผ่าพันธุ์: มนุษย์เซียน (กายดาราอนธการ)]
[ตบะ: จักรพรรดิเซียนวัฏจักรหกวัฏ]
….
คำนวณจากอายุขัยแล้ว การแสดงธรรมครั้งนี้ก็กินเวลาไปถึงสี่สิบเก้าปี!
อายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นเป็นหลักพันล้านล้านปี!
หานเจวี๋ยบังเกิดความรู้สึกดีต่อปรมาจารย์ลัญจกรสรวง!
ความรู้สึกดีที่มีต่อจักรพรรดิสวรรค์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก!
เวลานี้หานเจวี๋ยถึงคิดได้ว่าถ้อยคำที่จักรพรรดิสวรรค์กล่าวไว้ในตอนแรกไม่ได้ผิดไปเลย หากไม่ได้มาในครั้งนี้ นั่นถึงจะน่าเสียดายจริงๆ!
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ หานเจวี๋ยยังสัมผัสได้อีกว่าภายในร่างกายของตนมีพลังอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
พลังมหามรรค!
มหามรรคแห่งกรรม!
ในโลกอันธการ มหามรรคแห่งกรรมแผ่ขยาย มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดไม่กล้าเข้าใกล้
ความรู้สึกเช่นนี้น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
มหามรรคแห่งกรรมก็เป็นเช่นเดียวกับบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร แม้จะมีอยู่ ทว่าหานเจวี๋ยไม่อาจควบคุมได้
“ระยะเวลาสี่สิบเก้าปี มีสหายเต๋ารู้แจ้งในมหามรรคแห่งกรรมเจ็ดร้อยสามสิบสองคน มีสหายเต๋าที่เชี่ยวชาญมหามรรคแห่งกรรมสิบเก้าคน”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยปากกล่าว หานเจวี๋ยได้ฟังวาจานี้แล้วรู้สึกตกใจ
คนทั้งหมดมีอยู่ไม่ถึงพัน กลับมีผู้รู้แจ้งในมหามรรคแห่งกรรมกว่าเจ็ดร้อยคนเชียวหรือ
หานเจวี๋ยแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว หลงนึกว่าตนเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ กายดาราอนธการเป็นหนึ่งมิมีสองเสียอีก
ที่เกินเรื่องไปกว่านั้นคือยังมีผู้ทรงพลังที่แตกฉานในมหามรรคแห่งกรรมอีกสิบเก้าคนด้วย!!
เช่นนี้ผู้ใดจะทนรับไหวเล่า!
‘โชคดีที่มา หากไม่มา มหามรรคแห่งกรรมและตัวข้าคงไร้วาสนาต่อกัน’
หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยต่อว่า “หลังจากนี้สิบปี หากพวกเจ้ามีคำถามก็สามารถถามได้ แถวแรกสามารถถามได้สามข้อ แถวที่สองถามได้สองข้อ ส่วนทุกท่านที่อยู่ด้านหลังสามารถถามได้เพียงข้อเดียว เรียงกันไปตามลำดับ”
ยังสามารถถามได้ด้วยหรือ
หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด
เขาควรถามอะไรดีนะ
แสร้งปล่อยผ่านไป หรือว่าคว้าโอกาสนี้ไว้ ถามสิ่งที่ตนคิดดี
ฟังดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด
“เรียนถามปรมาจารย์ ฝึกฝนมหามรรคดีกว่า หรือว่าฝึกฝนมรรคาสวรรค์ดีกว่า”
ผู้ทรงพลังในแถวแรกเอ่ยถามขึ้นมา คำถามนี้ดึงดูดให้ทุกคนหันไปมอง
………………………………………………………………