ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 337 ยกระดับอาณาเขตเต๋า เจ้านิกายเหริน
บทที่ 337 ยกระดับอาณาเขตเต๋า เจ้านิกายเหริน
“มอบโอกาสวาสนาอะไรกัน ได้เห็นพี่ใหญ่ปลอดภัย ข้าก็สบายใจแล้ว”
หานเจวี๋ยส่ายหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จั้งกูซิงแย้มยิ้มกล่าววาจา “โชควาสนานี้ไม่ธรรมดา ทำให้เจ้าข้ามไปสู่ระดับเทพได้”
หืม
คำพูดนี้ฟังคุ้นหูอยู่บ้าง
คล้ายว่าคนแซ่เต้าจะเคยพูดเหมือนกัน
หานเจวี๋ยส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ไม่จำเป็นเลย มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตอยู่ตรงหน้า ผลีผลามไขว่คว้าผลประโยชน์ จะเข้าสู่เคราะห์ได้ง่ายๆ”
จั้งกูซิงกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลย เขาคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าจะพบกับสถานการณ์เช่นนี้
“โอกาสวาสนานี้ไม่มีอันตราย ตั้งอยู่ในห้วงอวกาศ เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับแม่น้ำมรรคกระบี่ เจ้าเป็นผู้พิทักษ์แม่น้ำมรรคกระบี่ เจ้าได้รับโอกาสวาสนานี้ก็ถือว่าคล้อยลมตามน้ำแล้ว”
หานเจวี๋ยฟังความหมายแอบแฝงออก จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นข้าคืนแม่น้ำมรรคกระบี่ให้ท่าน โอกาสวาสนานี้ก็ควรให้ท่านด้วย ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ห่างจากระดับเทพไม่ไกลแล้ว”
ว่ากันตามจริง สำหรับเขาแล้วแม่น้ำมรรคกระบี่นับเป็นภาระอยู่บ้าง
ถึงแม้จะได้รู้จักผู้มีพรสวรรค์ด้านมรรคกระบี่ผ่านทางหลิวเป้ยไม่น้อย แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ได้แค่ทำความรู้จักเท่านั้น
หากอยากสร้างเครือข่ายเส้นสาย ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปก่อนอยู่แล้ว จนปัญญาที่หลิวเป้ยก็มีนิสัยขี้ขลาดเช่นกัน ไม่มีทางยอมจ่ายค่าตอบแทนก่อน ขลาดกลัวยิ่งชีพ
จั้งกูซิงถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าจะกลัวขนาดนี้ไปทำไม แม้แต่ข้าก็ไม่ไว้ใจแล้วหรือ”
หานเจวี๋ยส่ายหน้าตอบไปว่า “มิใช่ไม่ไว้ใจท่าน แต่ถ้าอันตรายมาถึงใช่ว่าพวกเราอยากหลีกหนีก็จะหนีพ้นเลย สิ่งที่ข้าทำได้คือพยายามอยู่ให้ห่างจากความเสี่ยงที่จะพบพานกับภยันอันตราย”
จั้งกูซิงเงียบไป
หานเจวี๋ยก็เงียบเช่นกัน
หลิวเป้ยจ้องมองพวกเขา ไม่เอ่ยอะไร
ผ่านไปครู่หนึ่ง
จั้งกูซิงเปิดปากกล่าว “แล้วไปเถอะ ข้าก็ไม่คิดจะบังคับเจ้าเช่นกัน นอกจากนี้ข้ายังมีเรื่องหนึ่งจะบอกกับเจ้าด้วย”
“เรื่องใด”
“เกี่ยวกับแม่น้ำมรรคกระบี่ แม่น้ำสายนี้ถือกำเนิดขึ้นในยามที่มรรคกระบี่ได้รับการยอมรับจากมรรคาสวรรค์ ผ่านการวิวัฒนาการตามวันเวลาอย่างเชื่องช้า มันกลายเป็นเส้นทางสำหรับผู้บำเพ็ญกระบี่โดยเฉพาะ ผู้พิทักษ์คนแรกก็คือผู้บำเพ็ญกระบี่คนแรกแห่งมรรคาสวรรค์ อันที่จริงเขายังมีชีวิตอยู่ ซ้ำยังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากว่าเจ้าสามารถพิทักษ์แม่น้ำมรรคกระบี่ไม่ให้ได้รับความเสียหายจากมหาเคราะห์ครานี้ได้ เจ้าจะได้รับการยอมรับจากเขา”
เมื่อจั้งกูซิงกล่าวจบ การแจ้งเตือนสามแถวเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย
[ตรวจสอบพบว่าท่านได้รับภารกิจพิทักษ์แม่น้ำมรรคกระบี่ ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง รับภารกิจนี้ ปฏิญาณว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องแม่น้ำมรรคกระบี่ จะได้รับยอดสมบัติหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น]
[สอง ปฏิเสธภารกิจนี้ จะได้รับความเกลียดชังจากผู้บำเพ็ญกระบี่คนแรกแห่งมรรคาสวรรค์ ชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น โอกาสยกระดับอาณาเขตเต๋าหนึ่งครั้ง]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ได้รับความเกลียดชังจากผู้บำเพ็ญกระบี่คนแรกแห่งมรรคาสวรรค์
โอกาสยกระดับอาณาเขตเต๋าหนึ่งครั้ง
ระหว่างสองอย่างนี้…
ตอนนี้อาณาเขตเต๋าสามารถป้องกันการสอดแนมจากพลังจิตระดับต้าหลัวได้ หลังจากยกระดับจะสามารถป้องกันการสอดแนมจากพลังจิตระดับที่เหนือกว่าต้าหลัวได้หรือไม่
หานเจวี๋ยไม่แน่ใจว่าผู้บำเพ็ญกระบี่คนแรกแห่งมรรคาสวรรค์จะแข็งแกร่งแค่ไหน
หานเจวี๋ยแสร้งเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ผู้บำเพ็ญกระบี่คนแรกแห่งมรรคาสวรรค์อยู่นอกชั้นฟ้าที่สามสิบสามใช่หรือไม่”
จั้งกูซิงส่ายหน้า ตอบว่า “ผู้อาวุโสท่านอยู่ที่แดนเทพหวนปัจฉิม”
โอ้
ดูเหมือนน่าจะไม่แข็งแกร่งเท่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวง
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านรู้จักผู้อาวุโส เหตุใดไม่รับช่วงดูแลแม่น้ำมรรคกระบี่ต่อเล่า ข้าไม่ได้เรื่องจริงๆ ข้าขี้ขลาดเกินไป อีกอย่างข้าก็เป็นคนของวังสวรรค์ หากวังสวรรค์เข้าสู่เคราะห์ แล้วข้ารับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์แม่น้ำมรรคกระบี่คนต่อไป เกรงว่าจะชักนำความวุ่นวายมาให้แม่น้ำมรรคกระบี่ เรื่องนี้ยกให้ท่านจะดีกว่า”
จั้งกูซิงหรี่ตาพลางเอ่ย “นี่เจ้ากำลังปฏิเสธอยู่หรือ”
หานเจวี๋ยยิ้มขมขื่นพลางอธิบาย “พี่ใหญ่ ข้าทำไม่ไหวจริงๆ หากเป็นในยามปกติทั่วไปข้าต้องช่วยแน่ แต่ตอนนี้คือมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต อีกอย่างตำแหน่งผู้พิทักษ์แม่น้ำมรรคกระบี่นี้ ข้าเองไม่ได้ต้องการเลยแต่ก็ถูกท่านบังคับให้รับเอาไว้ หลังจากท่านถูกจับตัวไป ข้าก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนมาโดยตลอด หากสามารถคืนแม่น้ำมรรคกระบี่ให้ท่านได้ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่บุบสลาย ข้าก็รู้สึกว่าข้าพยายามได้อย่างเต็มที่แล้ว”
[ท่านปฏิเสธภารกิจนี้ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น โอกาสยกระดับอาณาเขตเต๋าหนึ่งครั้ง]
[เริ่มยกระดับอาณาเขตเต๋า]
หานเจวี๋ยรู้สึกวิตกขึ้นมาแล้ว
ผู้ทรงพลังท่านนั้นคงไม่เกลียดชังต่อเขาจริงๆ กระมัง
[หลี่มู่อีเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]
แค่ดาวเดียว ค่อยยังชั่ว!
เดิมพันถูกข้างแล้ว!
เรื่องแค่นี้เอง หานเจวี๋ยคิดไว้แต่แรกแล้วว่าผู้ทรงพลังไม่มีทางอยากสังหารเขาด้วยสาเหตุเช่นนี้เป็นแน่
จั้งกูซิงกล่าวด้วยความจนปัญญา “ช่างเถิด ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็คืนแม่น้ำมรรคกระบี่มาเถอะ”
หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ
นี่ถือเป็นเรื่องดี จะได้พาหลิวเป้ยกลับไปด้วย เกาะสำนักซ่อนเร้นได้กำลังรบเพิ่มขึ้นมาอีกคนพอดี
….
เมื่อกลับถึงสำนักซ่อนเร้น หานเจวี๋ยแนะนำหลิวเป้ยให้เหล่าศิษย์รู้จัก ทว่าเขาไม่ได้บอกฐานะที่แท้จริงของหลิวเป้ยออกไป
การเข้าร่วมสำนักของจักรพรรดิเซียนหกวัฏสร้างความตื่นเต้นให้บรรดาศิษย์ยิ่งนัก
จอมปีศาจคุกรัตติกาลกลับมีท่าทางชอบกล
เนื่องจากเขามองออกว่าสังขารของหลิวเป้ยคือร่างของพุทธะพิชิตชัยแห่งสำนักพุทธ
ลือกันว่าพุทธะพิชิตชัยถูกใครบางคนโจมตี ดับสูญ ณ ห้วงอวกาศเหนือโลกมนุษย์ หรือว่าจะแกล้งตายแล้วแปรพักตร์มาเข้าสำนักซ่อนเร้นแทน
มีความเป็นไปได้สูง!
เรื่องราวของพุทธะพิชิตชัยและสำนักพุทธมีประวัติสืบเนื่องยาวนาน เล่ากันว่าพุทธะพิชิตชัยเข้ากับสำนักพุทธไม่ได้ เนื่องจากเขาชอบการต่อสู้ ซึ่งสวนทางกับวิถีแห่งสันติที่สำนักพุทธมุ่งเน้น
จอมปีศาจคุกรัตติกาลไม่กล้าคิดต่อไปอีก เขารู้ว่าเรื่องราวบางอย่างไม่ควรไปขุดคุ้ย
แม้ว่าหานเจวี๋ยจะปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี เขาก็ไม่กล้าคาดเดาส่งเดช
ความเหี้ยมโหดของหานเจวี๋ย เขาเคยประสบแล้ว บอกว่าจะทำก็ทำเลย ไม่มอบโอกาสใดๆ ให้ศัตรูเด็ดขาด
เมื่อกลับเข้าไปในถ้ำ ในที่สุดหานเจวี๋ยถึงมีเวลาตรวจดูข้อมูลของหลี่มู่อี
[หลี่มู่อี: ไม่ทราบตบะ นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น เจ้านิกายเหริน ผู้สรรค์สร้างมรรคกระบี่ สุญตาไร้รูป เนื่องจากท่านปฏิเสธภารกิจปกป้องแม่น้ำมรรคกระบี่ ความประทับใจที่มีต่อท่านจึงตกต่ำลง มองว่านิสัยของท่านไม่สมเป็นผู้บำเพ็ญกระบี่ ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]
หา…
นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น!
ตัวตนระดับเดียวกับปรมาจารย์ลัญจกรสรวง?
แถมยังเป็นเจ้านิกายเหรินอีกด้วย หรือจะเป็นอาจารย์ของหลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้า
หานเจวี๋ยตกตะลึงไปในทันที
โชคดีที่เป็นระดับความเกลียดชังแค่หนึ่งดาว
ไม่สมเป็นผู้บำเพ็ญกระบี่ก็ไม่เป็นอะไร ขอแค่อย่าพุ่งเป้ามาที่ข้าก็พอ
หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ
เขาเริ่มตั้งตารอคอยอาณาเขตเต๋าหลังผ่านการยกระดับแล้ว
อย่างไรก็ตาม การยกระดับอาณาเขตเต๋าใช้เวลานานกว่าที่เขาคิดไว้
….
สิบปีผ่านไป
อาณาเขตเต๋ายังยกระดับไม่เสร็จสิ้นแต่ไอเซียนของเกาะสำนักซ่อนเร้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หานเจวี๋ยไม่สนใจกับไอเซียนมากนัก สิ่งเขาตั้งตารอคือพลังป้องกันของอาณาเขตเต๋า
เมื่อครบรอบสิบปี หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งศัตรู พลางตรวจดูจดหมายไปด้วยความเคยชิน
[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเซียนปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลอมรวมเข้ากับจิตสังหารมรรคมารโดยไม่คาดคิด พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเซียนปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส สำแดงวิชาต้องห้ามบรรพกาล บังคับทะลวงขีดจำกัด]
[เจียงอี้สหายของท่านเผชิญกับกับคำสาปแช่งลึกลับ]
[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านถกมรรคกับผู้ทรงพลัง ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของมรรคาสวรรค์]
[โจวฝานสหายของท่านเข้าร่วมวังเทพ กลายเป็นผู้ฝ่าเคราะห์]
[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านข้าร่วมนิกายเหริน ได้รับดวงชะตานิกายเหริน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
….
หืม
จี้เซียนเสินกับฟางเหลียงผนึกกำลังกันหรือ
สู้และถอยไปด้วยกันอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
จี้เซียนเสินคนเดียวก็แล้วไปเถอะ เพราะเขามิใช่คนของสำนักซ่อนเร้น
แต่เหตุใดฟางเหลียงก็เอากับเขาด้วยเล่า
รอให้เจ้าเด็กคนนี้กลับมา ต้องอบรบกันสักหน่อยแล้ว!
หานเจวี๋ยไม่อยากถูกศิษย์หลานของตนฉุดลากจนถูกบังคับให้เข้าสู่เคราะห์ไปด้วย
………………………………………………………………