ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 362 บุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งฝากตัวเข้าสำนัก
บทที่ 362 บุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งฝากตัวเข้าสำนัก
ดำเนินการต่อ!
หานเจวี๋ยตัดสินใจเลือกอย่างเงียบเชียบ จากนั้นจิตสำนึกพลันหมุนวน เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็มาโผล่ในตำหนักที่มืดสลัวแห่งหนึ่ง
ภายในตำหนักมีเงาร่างหนึ่งสายนั่งอยู่ เป็นราชันโลภะนั่นเอง
เขาสวมชุดขาว ผมสีดำปล่อยสยายตามธรรมชาติ ใบหน้าอัปลักษณ์ เครื่องหน้าบิดเบี้ยวราวกับถูกขยำเป็นก้อน
สองมือของเขาเคลื่อนไหวร่ายมุทราอย่างต่อเนื่อง เขากำลังบำเพ็ญเพียรอยู่
เวลานี้เอง จักรพรรดิเซียนวัฏจักรปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศต่อหน้าราชันโลภะ ยังคงเป็นใบหน้าของตี้ไท่ไป๋เช่นเดิม
ราชันโลภะรีบคุกเข่าทำความเคารพ ท่าทางพินอบพิเทา
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเอ่ยปาก “อัจฉริยะทั้งสองที่จักรพรรดิอย่างข้าชุบเลี้ยงไว้ก้าวเข้าสู่เคราะห์กรรมแล้ว เจ้าก็อย่าได้อืดอาดยืดยาด จำไว้ อย่าปล่อยให้พวกเขาจับได้”
ราชันโลภะได้ฟังก็พยักหน้าตอบรับ “ไม่มีปัญหาขอรับ”
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรพลิกมือขวา นำหยกสมปรารถนาสีม่วงชั้นหนึ่งออกมา ยื่นให้ราชันโลภะพร้อมกล่าวว่า “สมบัติชิ้นนี้มอบให้เจ้า สำหรับป้องกันเหตุไม่คาดฝัน”
ราชันโลภะรู้สึกประหลาดใจ เขารีบเอ่ยขอบคุณจักรพรรดิเซียนวัฏจักรทันที
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรหายตัวไปแล้ว ราชันโลภะเก็บสมบัติวิเศษไว้อย่างดีแล้วจึงนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรต่อ
ฉากเหตุการณ์พังทลายลงเช่นนี้
จิตสำนึกของหานเจวี๋ยกลับคืนสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วแน่น
แค่นี้หรือ
อายุขัยสิบล้านปีแลกได้แค่นี้อย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าตนถูกหลอกต้มเสียแล้ว ช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก
ไม่เห็นอะไรเลย!
ได้รู้แค่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเท่านั้น ซึ่งเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่เขาก็รู้อยู่แล้ว
หานเจวี๋ยไม่กล้าสอดส่องไท่ซู่เทียนต่อแล้ว
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็ยังคุกคามหานเจวี๋ยไม่ได้ชั่วคราว
ตอนนี้พวกเขายังอ่อนแอมาก หานเจวี๋ยแค่ต้องจับตามองตบะของพวกเขาเอาไว้ แล้วค่อยฆ่าพวกเขาทิ้งก่อนที่พวกเขาจะได้พบโชคลาภอันยิ่งใหญ่ก็พอ
‘จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เร็วเกินไปไม่ได้ มิเช่นนั้นจะมีตัวละครใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเพิ่มเข้ามา’
หานเจวี๋ยคิดอยู่เงียบๆ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เผชิญเคราะห์อยู่แล้ว ภายในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกอย่างที่เขาทำจะกลายเป็นการตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นไปได้ง่ายๆ
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้คิดมากอีก บำเพ็ญตบะต่อไป
ต้องรีบบรรลุระดับปฐมเทพขั้นสองให้ได้ในเร็ววัน!
แม้ว่าจะบรรลุถึงระดับปฐมเทพแล้ว ก็ไม่อาจปล่อยให้ตบะหยุดนิ่งได้ จะต้องพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง!
….
เพียงครู่เดียวเวลาก็ผ่านไปสามสิบปีแล้ว
ตบะของหานเจวี๋ยมีความก้าวหน้าอยู่ตลอด การบ่มเพาะในระดับเทพคือปฐมเทพ และถือเป็นพลังเวทแขนงหนึ่ง ตอนนี้เขาไม่ดูดซับปราณเพื่อการบำเพ็ญเพียรแล้ว แต่เปลี่ยนไปดูดซับแรงกรรมแทน
หลังจากบรรลุระดับเทพ ไอเซียนก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป การบำเพ็ญตบะของระดับเทพต้องการพลังงานระดับสูง
หานเจวี๋ยพบว่าปราณก่อกำเนิดที่แผ่ออกมาจากบุปผาเทพปู้โจวเหมาะสมกับการบำเพ็ญในระดับเทพ แต่บุปผาเทพปู้โจวมีเพียงดอกเดียว ไม่เพียงพอต่อการบำเพ็ญของหานเจวี๋ย ตอนนี้เขาเพียงดูแลบุปผาเทพปู้โจวเท่านั้น ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์
สิ่งที่ควรค่าพอจะกล่าวถึงก็คือดอกพลับพลึงแดงที่ยายเมิ่งมอบให้หานเจวี๋ยนั้นขยายพันธุ์อยู่ตลอด ตอนนี้ดอกพลับพลึงแดงกระจายตัวออกไปถึงนอกถ้ำแล้ว หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้ยับยั้งไว้ ปล่อยให้มันเติบโตไปเรื่อยๆ
ไอเซียนของสำนักซ่อนเร้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่หานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้น ลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ในบรรดาลูกศิษย์ของเขา ลี่เหยาบรรลุระดับเซียนทองไท่อี่ระยะปลายแล้ว คนที่สามารถเทียบเคียงนางได้มีเพียงฉู่ซื่อเหรินเท่านั้น มู่หรงฉี่และหลี่ว์ฮว่าซวีล้วนด้อยกว่าอยู่บ้าง
ผานซินไม่ได้มาหาหานเจวี๋ยอีก นอกจากบำเพ็ญเพียรแล้ว หานเจวี๋ยก็ให้ความสนใจกับเผ่าเอกาอยู่บ้าง
เผ่าเอการวมตัวกันอยู่ที่มุมหนึ่งของแดนชำระบาปเก้าขุม ไม่มีที่ดิน ไม่มีอาหาร ไม่มีแม้กระทั่งศัตรู พวกเขาได้แต่บำเพ็ญกันอย่างน่าเบื่อหน่ายต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หานเจวี๋ยพบว่าเผ่าเอกามีศักยภาพด้านพลังและร่างกายแบบเผ่าจอมเวท อีกทั้งยังมีจิตดั้งเดิมแบบเผ่ามนุษย์ ไม่เหมือนจินกังนู่ แต่เหมือนถูหลิงเอ๋อร์มากกว่า
เรียกได้ว่ารวบรวมข้อดีของเผ่ามนุษย์และเผ่าจอมเวทเอาไว้อย่างสมบูรณ์!
ศักยภาพของเผ่าพันธุ์นี้กล้าแกร่งมาก!
หานเจวี๋ยลังเลมาโดยตลอดว่าจะรับพวกเขาเอาไว้ดีหรือไม่
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีผืนพิภพกำลังหยิบยื่นไมตรีให้หานเจวี๋ยอยู่
เผ่าเอกามีทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นคน เป็นตัวเลขถ้วนพอดี ในกรณีที่ไม่มีการขยายเผ่าพันธุ์ก็ถือว่าไม่มากไม่น้อย ถ้าหากชุบเลี้ยงทั้งหมดไว้ ภายหน้าก็จะกลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแน่นอน
“รอดูอีกสักพันปีแล้วกัน หากมีใจมุ่งมั่นบำเพ็ญไม่ย่อท้อก็ค่อยชุบเลี้ยงไว้”
หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้ โลกเขย่าพิภพยังคงถูกซุกซ่อนไว้ในส่วนลึกของดวงวิญญาณเขา เพิ่มเข้าไปอีกสักเผ่าก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว กลัวก็แต่เผ่าพันธุ์นี้จะทนความอ้างว้างไม่ไหวแล้วสร้างความเดือดร้อนให้เขา
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังทำการสาปแช่งพลางใคร่ครวญปัญหาเหล่านี้ไปด้วย กระแสจิตสำนึกของเจียงอี้ก็ได้ติดต่อผ่านป้ายอีกาทองเข้ามา
หานเจวี๋ยหยิบป้ายอีกาทองออกมา เชื่อมต่อกระแสจิต
“อย่าเอ่ยถึงเรื่องโอกาสวาสนากับข้า!” หานเจวี๋ยกล่าวด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
เจียงอี้เอ่ยอย่างเคืองๆ “เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบไหนกัน”
“เช่นนั้นมีเรื่องใดกันแน่”
“เรื่องเป็นแบบนี้ หลังจากข้ากลับไปที่เผ่าเทพอีกาทอง ก็พบว่าที่เผ่าเกิดความเปลี่ยนแปลง ผู้อาวุโสในเผ่าล้วนกลายเป็นพวกหัวรุนแรง ก้าวสู่เคราะห์กรรมไปทีละคน พวกเขาต่างคิดจะครอบครองปวงสวรรค์หมื่นโลกา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าภายหน้าคงไม่อาจบำเพ็ญตบะให้ดีได้และคงถูกบีบให้ก้าวเข้าสู่เคราะห์กรรม เผชิญกับสงคราม”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เจียงอี้ก็รู้สึกเป็นทุกข์นัก
หลังจากที่ได้ทราบระดับบำเพ็ญของหานเจวี๋ย เขาก็ตระหนักได้ทันที
เขาต่อสู้ไขว่คว้าโอกาสและวาสนาอย่างเอาเป็นเอาตาย ผลลัพธ์คือถูกหานเจวี๋ยแซงหน้าไปแล้ว ถึงขั้นที่ทิ้งห่างไปไกลเลยด้วย เขาจะทนรับไหวได้อย่างไรกัน
เขาคือบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของเผ่าเทพอีกาทองเชียวนะ!
การก้าวเข้าสู่เคราะห์กรรมเป็นเส้นทางที่ผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด!
หานเจวี๋ยกล่าวไม่ผิดเลย บุตรแห่งสวรรค์เช่นพวกเขา ไม่จำเป็นต้องก้าวเข้าสู่เคราะห์กรรม!
การก้าวเข้าสู่เคราะห์กรรมเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมา “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ออกมาจากเผ่าเทพอีกาทองเสียเถอะ เสาะหาสถานที่บำเพ็ญสักแห่ง”
“นภาสูงปฐพีกว้าง มีการต่อสู้อยู่ทุกแห่งหน ข้าจะไปที่ใดได้เล่า ข้าไม่คิดจะเข้าร่วมกับวังสวรรค์หรอกนะ!”
น้ำเสียงของเจียงอี้เต็มไปด้วยความอับจนหนทาง
ทว่าหานเจวี๋ยกลับฟังความหมายแอบแฝงออก
เขาร้องเฮอะคราหนึ่ง “งั้นก็ไม่มีหนทางแล้ว ทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง เจ้าก็ทนรับไปแล้วกัน”
“ไอ้หนุ่มตัวเหม็น เจ้าไม่ชอบใจข้าขนาดนี้เชียวหรือ ย้อนกลับไปในตอนที่จักรพรรดิเซียนเผ่าเทพอีกาทองไล่ล่าสังหารเจ้า ข้าช่วยออกหน้าให้เจ้าจนเกือบถูกเขาฆ่าตายแล้ว!”
น้ำเสียงเจียงอี้เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง หานเจวี๋ยได้ฟังก็แทบจะขนลุกแล้ว
มีเรื่องเช่นนี้อยู่ในความทรงจำของเขาจริงๆ ด้วย เจียงอี้ทำเพื่อเขาจริงๆ
เขาจึงเอ่ยด้วยความลังเล “ถ้าเช่นนั้นเจ้ามาพึ่งพิงข้าก็ได้ แต่บอกไว้ข้อหนึ่งนะ ถ้ามาอยู่กับข้าต้องเชื่อฟังข้าทุกอย่าง ข้าไม่ให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายแน่ แต่ก็ไม่ให้เจ้ามาสร้างความวุ่นวายเช่นกัน”
เจียงอี้ยิ้มอยู่เงียบๆ แล้วกล่าวไปว่า “แบบนี้ค่อยใช้ได้หน่อย เจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะไปหาเจ้า!”
หานเจวี๋ยเรียกใช้ระบบวิวัฒนาการอย่างเงียบเชียบ “เจียงอี้ทำเช่นนี้เพราะมีแผนร้ายต่อข้าหรือไม่”
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
‘ดำเนินการต่อ!’
[ไม่มี]
หานเจวี๋ยพลันรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันทีที่พบว่าระบบวิวัฒนาการใช้จับเท็จได้ ต่อไปจะได้นำมาใช้เช่นนี้
“แดนชำระบาปเก้าขุม”
“อะไรนะ”
“อืม เจ้าจะมาไหมล่ะ”
“เจ้าบ้าไปแล้วใช่หรือไม่”
เจียงอี้รู้สึกตื่นตระหนก คิดว่าหานเจวี๋ยกำลังล้อเขาเล่นอยู่
หานเจวี๋ยร้องเฮอะออกมาคราหนึ่ง “ไม่ต้องมาจับผิดข้าหรอก ถ้าเจ้าอยากมาจริงๆ เจ้าก็คิดหาทางเข้ามาในแดนชำระบาปเก้าขุมเถอะ จำเอาไว้ว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ต่อผู้อื่น รวมถึงคนในเผ่าของเจ้าด้วย มิเช่นนั้นมิตรภาพระหว่างข้ากับเจ้าก็ถือว่าขาดกัน”
“ได้! เจ้ารอก่อนเถอะ!”
พอเจียงอี้พูดจบก็ยุติการเชื่อมต่อทางกระแสจิต เห็นได้ชัดว่าถูกยั่วยุแล้ว
หานเจวี๋ยวางป้ายอีกาทองลง อดทอดถอนใจไม่ได้
สำนักซ่อนเร้นขยายใหญ่ขึ้นอีกแล้ว!
จู่ๆ ก็ได้บุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของเผ่าเทพอีกาทองมาโดยไม่ทันตั้งตัว
อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ว่าเจียงอี้จะทอดทิ้งเผ่าเทพอีกาทองจริงๆ สานสัมพันธ์เผื่อไว้สำหรับในอนาคตก็ไม่เลวเหมือนกัน
ต่อให้มีพลังแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่อาจขาดสัมพันธ์ไมตรีไปได้ วังปีศาจมีสายสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์โบราณมากมายนัก วังสวรรค์มีสำนักเต๋าหนุนหลัง วังเทพก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์ สำนักพุทธก็มีผู้ศรัทธามากมายนับไม่ถ้วน
หานเจวี๋ยทำการสาปแช่งต่อไป
หลังจากเขาสาปแช่งศัตรูทุกคนเสร็จ เขาถึงได้บำเพ็ญเพียรต่อ
เวลาผ่านไปประมาณสองสามเดือน
จักรพรรดินีผืนพิภพมาแล้ว กลิ่นอายของนางอบอวลอยู่ในแดนชำระบาปเก้าขุม ทว่ากลับไม่ได้ปริปากส่งเสียงใดๆ
หานเจวี๋ยสัมผัสถึงกลิ่นอายของนางได้และรู้ดีว่านางกำลังตามหาเขาอยู่
ถึงจะเป็นอริยะก็ไม่สามารถสอดแนมหรือแอบส่องสถานการณ์ภายในอาณาเขตเต๋าได้ จักรพรรดินีผืนพิภพจึงได้แต่ทำเช่นนี้
………………………………………………………………