ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 387 รู้แจ้งมรรคเวียนว่ายตายเกิด จิตมารของผู้ฝ่าเคราะห์
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 387 รู้แจ้งมรรคเวียนว่ายตายเกิด จิตมารของผู้ฝ่าเคราะห์
บทที่ 387 รู้แจ้งมรรคเวียนว่ายตายเกิด จิตมารของผู้ฝ่าเคราะห์
[ตี้หล่านเทียนเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]
เมื่อเห็นข้อความแถวหนึ่งที่จู่ๆ ก็เด้งขึ้นมาตรงหน้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ หานเจวี๋ยก็รู้สึกงุงงง
แต่ในเมื่อเป็นค่าความประทับใจ เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไร
หากเป็นค่าความเกลียดชัง เช่นนั้นก็ต้องมีเรื่องกับตี้หล่านเทียนแล้ว!
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่ถ่ายทอดพลังวิเศษให้แปดพี่น้องหาน ก็ผ่านไปสิบปีแล้ว
หานเจวี๋ยลุกขึ้นเดินออกจากถ้ำ เตรียมแสดงธรรมต่อสำนักซ่อนเร้น
ฟางเหลียง ซูฉี และหลงเฮ่าที่อยู่ด้านนอกก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่อาจปล่อยให้บรรดาศิษย์ที่อยู่บนเกาะล้าหลังได้ หากเป็นเช่นนี้ เมื่อพวกซูฉีทั้งสามคนกลับมา เหล่าศิษย์ที่รั้งอยู่บนเกาะจะได้รับความสะเทือนใจมากเพียงใดกันเล่า
หานเจวี๋ยไม่มีทางปล่อยให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น!
“ทุกคนเตรียมสดับฟังธรรม!”
เสียงของหานเจวี๋ยแว่วดังไปทั่วเกาะ ชาวเผ่าเอกาที่กระจายตัวอยู่ตามแต่ละมุมของเกาะสำนักซ่อนเร้นต่างตื่นเต้นกันถ้วนหน้า
พวกเขาคะนึงถึงการแสดงธรรมครั้งก่อนของหานเจวี๋ยมาโดยตลอด ความรู้สึกที่แรงบันดาลใจแห่งมรรควิถีทะลักทะลายออกมาเช่นนั้นทำให้คนยากจะลืมเลือนลง
ทุกคนนั่งประจำที่อย่างรวดเร็วยิ่ง แม้กระทั่งเซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็ออกจากถ้ำมาเช่นกัน
หานเจวี๋ยเริ่มแสดงธรรม
เขาเหลือบมองฉางเยวี่ยเอ๋อร์ ศิษย์พี่หญิงคนนี้ปิดด่านอยู่ตลอด ช่วงหลายร้อยปีมานี้ แทบจะไม่เคยออกมาเลย เว้นแต่เขาจะแสดงธรรม ไม่ทราบเช่นกันว่านางกำลังศึกษาค้นคว้าสิ่งใดอยู่
ตบะของฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็พอจะมีพัฒนาการอยู่บ้าง เป็นเซียนสวรรค์ไท่อี่แล้ว
หานเจวี๋ยเพียงนึกสงสัยเล็กน้อยเท่านั้น ยามปกติก็คร้านจะสละเวลาไปเยี่ยมนาง
เมื่อหานเจวี๋ยเปล่งเสียงแสดงธรรม ทุกคนล้วนเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรค
การแสดงธรรมครั้งนี้ดำเนินอยู่ถึงห้าปีเต็ม
หลังแสดงธรรมจบ หานเจวี๋ยตรงกลับไปที่ถ้ำเทวาฟ้าประทานเพื่อฝึกบำเพ็ญ เหล่าศิษย์และชาวเผ่าเอกาล้วนยังมิได้สติกลับมา
หานเจวี๋ยนั่งอยู่บนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร ใจลอยอยู่เงียบๆ
ดวงตาของเขาสามารถมองทะลุผนังถ้ำเห็นสภาพของทุกคนได้ บางคนหลั่งน้ำตาด้วยความยินดี บางคนมีสีหน้ากลัดกลุ้ม บางคนร้อนรนทนไม่ไหว และบางคนสีหน้าหม่นหมอง ล้วนแต่กำลังตระหนักมรรคในแบบของตน
หานเจวี๋ยกลับมองเห็นความเป็นไปของสรรพสิ่ง
เทพเซียนสูงส่งเหนือสามัญ ยามก้มมองโลกมนุษย์ เคยสะเทือนใจกับความทุกข์ยากของปุถุชนบ้างหรือไม่
เมื่อมองย้อนกลับไป ความคิดของหานเจวี๋ยล่องลอยไปยังสวนสมุนไพรนอกประตูสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ ติดตามข้ารับใช้เหล่านั้นไปเพาะปลูก ดูแลพืชสมุนไพรอยู่ทุกวัน
เขามองเห็นผู้เฒ่าเถี่ย อีกฝ่ายยังคงเย็นชาเช่นเดิม ทำให้คนรู้สึกถึงความทรงอำนาจคุ้มดีคุ้มร้ายอย่างหนึ่ง
เขามองเห็นบุพการีในชาตินี้ของเขา ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ใบหน้าของพวกเขาเลือนรางไปแล้ว
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าหานเจวี๋ยมีชีวิตอยู่มาสองชาติ ความจำดีกว่าคนทั่วไป จดจำทุกคนได้ ที่จำไม่ได้เห็นทีจะมีแค่พ่อแม่ของตนเท่านั้น
บางทีคงเป็นเพราะเขาไม่อยากจำ เพียงแต่หัวใจของเขาไม่ยอมรับ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่หานเจวี๋ยรู้จักในชาตินี้วาบผ่านไปอย่างว่องไว เสมือนกดปุ่มเร่งความเร็วในหนัง ราวกับโคมม้าวิ่ง ทุกอย่างดั่งภาพมายา
บางคนใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม บางคนสีหน้าขุ่นข้อง บางคนดวงตาทอแววริษยา
เถ้าสู่เถ้า ธุลีสู่ธุลี ทุกอย่างคือเมฆหมอกในห้วงอดีต
เริ่มแรกหานเจวี๋ยรู้สึกสะท้อนใจ ทว่าต่อจากนั้น ดวงตาของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว
นี่มิใช่สิ่งที่เขาแสวงหาไขว่คว้าหรอกหรือ
เขาต้องการเป็นอมตะ!
เขาต้องการอยู่เหนือกว่าผู้บำเพ็ญทั้งปวง กลายเป็นคนผู้นั้นที่แข็งแกร่งที่สุด!
“นี่ก็คือการเวียนว่ายตายเกิด เวียนว่ายตายเกิดเป็นสรรพสิ่ง สรรพสิ่งต่างเวียนว่ายตายเกิด”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง พลังเวทปฐมเทพของเขาสั่นกระเพื่อม ตบะเริ่มพลุ่งพล่าน
นี่คือการรู้แจ้งมรรค!
บางครั้งการรู้แจ้งความหมายแห่งฟ้าดินหรือรู้แจ้งยอดมหามรรคขึ้นมาอย่างฉับพลันก็สามารถเพิ่มพูนพลังมรรคได้ หานเจวี๋ยเคยเห็นในจดหมายแจ้งเตือนอยู่บ่อยครั้ง
น่าเสียดาย ตบะพลุ่งพล่านอยู่ไม่นานนัก หากเขาอยากทะลวงสู่ระดับปฐมเทพขั้นห้าก็ต้องพยายามต่อไป
หานเจวี๋ยจัดการสภาวะอารมณ์ ฝึกบำเพ็ญต่อ
….
สิบปีต่อมา
เมื่อว่างจากการฝึกบำเพ็ญหานเจวี๋ยจึงตรวจดูจดหมาย
[หลงเฮ่าศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากยอดแม่ทัพเทพสหายของท่าน บาดเจ็บสาหัส]
[ตี้หล่านเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เต้าคงสหายของท่าน]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่ามังกรแท้] x10827
[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลงเฮ่าศิษย์ของท่าน]
[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากตี้หล่านเทียนสหายของท่าน]
[ตี้หล่านเทียนสหายของท่านสังเวยวิญญาณ อัญเชิญปฐมบรรพชนอีกาทอง]
[ตี้หล่านเทียนสหายของท่านเคาะระฆังบรรพกษัตริย์ยอดสมบัติมรรคาสวรรค์ ดวงชะตาวังสวรรค์เสื่อมสลาย]
[จิ่งเทียนกงสหายของท่านเนื่องจากสาปแช่งมากเกินไป เผชิญกับความโชคร้ายพัวพันกาย]
[เจียงตู๋กูสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ถูกสะกดจองจำในสถานที่น่าอดสู]
….
ในที่สุดหลงเฮ่าก็เปิดศึกกับจักรพรรดิสวรรค์แล้ว!
หานเจวี๋ยถอนหายใจ
พ่อลูกขัดแย้ง น่าเศร้าโดยแท้
เผ่าเทพอีกาทองมีฝีมืออยู่บ้าง เท่าที่อ่านจากจดหมาย พอฟัดพอเหวี่ยงกับวังสวรรค์ โดยเฉพาะตี้หล่านเทียนที่อาศัยยอดสมบัติมรรคาสวรรค์ทำลายดวงชะตาวังสวรรค์!
หานเจวี๋ยยังสังเกตเห็นสถานการณ์ของเจียงตู๋กูด้วย ในที่สุดก็พลาดท่าแล้ว
เป็นตัวตนอย่างไรกันแน่
หากว่าเป็นอริยะ ก็คงเปิดเผยให้เห็นแล้ว
ดูเหมือนเจียงตู๋กูจะมิได้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้อยู่ต่ำกว่าอริยะ
หานเจวี๋ยไล่อ่านลงไป อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเลือดลมสูบฉีด
นี่น่ะหรือมหาเคราะห์
ช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ!
ถ้ามีการถ่ายทอดสดก็คงดี
แค่หานเจวี๋ยคิดๆ ดู เขาก็ไม่ออกไปแล้ว
มหาเคราะครั้งนี้มิใช่ยุคสมัยแห่งการเฉิดฉายของเขา เขาต้องการเป็นคนไร้ตัวตน
หลังจากพักผ่อนอยู่หลายวัน หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
นับตั้งแต่สิ้นสุดการแสดงธรรมเมื่อสิบปีก่อน สำนักซ่อนเร้นก็เกิดกระแสปิดด่านบำเพ็ญกันอีกครั้ง
เหตุผลหลักเป็นเพราะลี่เหยาเตรียมจะพิสูจน์จักรพรรดิแล้ว
ลี่เหยาเลือกไปเข้าฌานตามลำพังอยู่หลังเขาลูกหนึ่งโดยเฉพาะ นางไม่อยากถูกผู้อื่นรบกวน
ลี่เหยามาทีหลัง พวกมู่หรงฉี่ สวินฉางอันและไก่คุกรัตติกาลล้วนไม่อยากถูกนางทิ้งห่าง
แม้แต่เจียงอี้ก็ถูกลี่เหยากระตุ้นด้วยเช่นกัน พรสวรรค์สตรีนางนี้เลิศล้ำจริงๆ
สิ่งที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ ภูตน้ำเต้าหานปาก็ผงาดขึ้นมาเช่นกัน
หลังจากสดับฟังธรรมจบ เขาก็ราวกับได้เปิดโลก บำเพ็ญหนึ่งวันก้าวหน้าพันลี้ แม้แต่ฉู่ซื่อเหรินก็สะท้อนใจอย่างยิ่ง
ชั่วพริบตาเดียว เวลาผ่านพ้นไปอีกสิบปี
จู่ๆ ต้วนหงเฉินก็มาขอเข้าพบหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยคิดๆ ดูแล้ว ยังคงให้เขาเข้ามา
[ต้วนหงเฉิน: จักรพรรดิเซียนสามวัฏ ถือกำเนิดเพื่อฝ่าเคราะห์ เทพบรรพกาลกลับชาติมาเกิด เคยเข้าร่วมมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตทว่าพลาดท่าดับสูญ เสี้ยววิญญาณที่หลงเหลืออยู่ถูกสะกดจองจำไว้ในยมโลกพร้อมกับแรงกรรมฟ้าดิน ผ่านการปรับเปลี่ยนตามกาลเวลามานับไม่ถ้วน อาศัยแรงกรรมก่อกำเนิดสังขาร เสี้ยววิญญาณกำเนิดปัญญา ดูดซับแรงกรรมจนแข็งแกร่ง แต่เขาไม่อาจสลายแรงกรรมได้ ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 5 ดาว]
เมื่อมาอยู่สำนักซ่อนเร้น ตบะของเขาก้าวหน้าขึ้นสองวัฏ นับว่ารวดเร็วยิ่ง
เพียงแต่ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจอย่างยิ่ง
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ฝ่าเคราะห์
ต้วนหงเฉินคุกเข่าคารวะอยู่ตรงหน้าหานเจวี๋ย กัดฟันกล่าวว่า “เจ้าสำนัก ข้าอยากเข้าสู่เคราะห์กรรม ช่วงนี้ระหว่างการบำเพ็ญบังเกิดจิตมารขึ้น เกรงว่าจะเป็นลูกไม้ของมรรคาสวรรค์ หากข้าไม่เข้าสู่เคราะห์กรรม มรรคจิตก็ยากจะมั่นคงได้”
“ข้าขอสาบาน ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ จะเป็นศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นไปตลอดกาล ข้าจะไม่มีทางแพร่งพรายข้อมูลใดๆ ของท่าน ไม่นำความเดือดร้อนมาให้สำนักซ่อนเร้นเด็ดขาด!”
ยามกล่าวประโยคนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าเขารวมรวบความกล้ามากมายยิ่ง ถึงอย่างไรเขาก็เคยเป็นเชลยมาก่อน ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้อง
หานเจวี๋ยจ้องมองเขา ไม่ได้รีบร้อนตอบวาจา
บรรยากาศเงียบสงัดวังเวง
ต้วนหงเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
แย่แล้ว!
เจ้าสำนักคงโกรธเสียแล้ว!
ต้วนหงเฉินกัดฟันแน่น ไม่กล้ามองหานเจวี๋ย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงถูกจิตมารเคี่ยวกรำจนตาย ไม่สู้ลองดูสักตั้ง
“อืม ไปเถิด”
จู่ๆ เสียงของหานเจวี๋ยก็ดังขึ้นมา ต้วนหงเฉินตะลึงงัน นึกว่าตนหูฝาดไป
เขาเงยหน้ามองหานเจวี๋ย พบว่าบนใบหน้าหานเจวี๋ยมีรอยยิ้มประดับอยู่นิดๆ แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้
[ความประทับใจที่ต้วนหงเฉินมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 6 ดาว]
………………………………………………………………