ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 393 ลี่เหยาพิสูจน์จักรพรรดิ ความตื่นตะลึงของหานเจวี๋ย
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 393 ลี่เหยาพิสูจน์จักรพรรดิ ความตื่นตะลึงของหานเจวี๋ย
บทที่ 393 ลี่เหยาพิสูจน์จักรพรรดิ ความตื่นตะลึงของหานเจวี๋ย
ดูจากเนื้อหาในจดหมาย ตี้หล่านเทียนและเผ่าเทพอีกาทองกำลังถูกโจมตีอย่างหนัก หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้สนใจความเป็นความตายของพวกเขาสักเท่าไร ขอเพียงไม่กระทบกับตนเองก็เป็นพอ
หานเจวี๋ยหยุดนึกถึงเสียงระฆังนั้น และกลับไปฝึกบำเพ็ญต่อ
ต่อไปต้องมุ่งสู่ปฐมเทพขั้นห้า!
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง เสียงของระฆังบรรพกษัตริย์ก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ
สามสิบปีผ่านไปในพริบตา
ระยะทางสู่ระดับปฐมเทพขั้นห้าของหานเจวี๋ยนั้นอยู่อีกไม่ไกล ห่างจากการทะลวงระดับครั้งก่อนไม่ถึงสองร้อยปี โชคดีที่ครั้งก่อนได้รู้แจ้งถึงชีวิตและความตาย ช่วยลดเวลาบำเพ็ญเพียรลงไปหลายสิบปี
หลังจากมาอยู่ที่แดนต้องห้ามอันธการแล้ว เกาะสำนักซ่อนเร้นก็ไม่เคยถูกรบกวนอีก
เหล่าศิษย์ในสำนักต่างเขาสู่กระบวนการฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวสำหรับงานประลองประจำศตวรรษครั้งต่อไป
แม้ว่างานประลองประจำศตวรรษจะไม่มีของรางวัล แต่ก็ถือเป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและคุณค่าของตน
และคนที่ก้าวหน้าโดดเด่นกว่าผู้อื่น มักจะเป็นที่ต้องตาของหานเจวี๋ย การได้รับคำชี้แนะจากเขาถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจได้มากกว่าของรางวัลเสียอีก
หานเจวี๋ยตรวจดูจดหมาย ส่วนใหญ่ก็เป็นจดหมายที่แจ้งว่าถูกโจมตี จดหมายที่แจ้งว่าได้รับโอกาสวาสนากลับมีน้อยนิด
สวัสดิการจากมรรคาสวรรค์ถูกแจกจ่ายไปพอสมควรแล้ว หลังจากนี้ถึงเวลาที่เหล่าผู้ก้าวสู่เคราะห์ทั้งหลายจะบ้าคลั่งกันแล้ว
หานเจวี๋ยอดชื่นชมมรรคาสวรรค์ไม่ได้ เจตจำนงเช่นนี้ทำให้รู้ซึ้งถึงอันตราย แต่พวกเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะกระโจนเข้าใส่โดยไม่ลังเล
โชคดีที่เขาไม่ได้ถลำลึกลงไปในมรรคาสวรรค์ ไม่ฉะนั้นเขาคงต้องตายไม่ช้าก็เร็ว
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จะมีสักที่คนที่พิชิตมรรคาสวรรค์ได้
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อไป
ห้าปีต่อมา
ลี่เหยาพิสูจน์จักรพรรดิสำเร็จ บรรลุระดับจักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏ ไม่จำเป็นต้องฝ่าด่านเคราะห์ในอาณาเขตเต๋า
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความโกลาหลภายในสำนักซ่อนเร้นไม่น้อย จอมปีศาจคุกรัตติกาล เจียงอี้ และจินกังนู่ต่างรู้สึกถึงวิกฤต
คุณสมบัติของคนรุ่นใหม่เหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป พวกเขาต้องพยายามหนักขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผ่านไปอีกสิบปี
หานเจวี๋ยเรียกลี่เหยาเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
ลี่เหยาเพิ่งรวบรวมระดับสำเร็จ ทำให้บุคลิกยิ่งสุขุมเยือกเย็นยิ่งขึ้น ทว่าในใจของนางกลับตื่นเต้นและคาดหวังอย่างยิ่งนัก นางตั้งตารอคอยคำชื่นชมจากหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “จักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏยังไม่เพียงพอ อย่าได้หลงลำพองตน เข้าใจหรือไม่”
ลี่เหยาพยักหน้า
หานเจวี๋ยกล่าว “ข้าจะมอบพลังวิเศษให้กับเจ้าหนึ่งอย่าง เพื่อช่วยเสริมพลังให้กับเจ้า หวังว่าเจ้าจะเติบโตขึ้นในเร็ววัน และช่วยปกป้องอาณาเขตเต๋าแห่งสำนักซ่อนเร้นไว้”
“ขอบพระคุณท่านเจ้าสำนัก ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
ลี่เหยากล่าวอย่างหนักแน่น แม้ว่านางจะมีนิสัยสุขุมรอบคอบ แต่เมื่ออาศัยอยู่ที่สำนักซ่อนเร้นนานเข้า ก็รู้สึกกลมกลืนและเป็นส่วนหนึ่งกับที่นี่ไปโดยสมบูรณ์ นางรู้สึกได้ถึงความสบายใจที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนจากที่แห่งนี้ และนางก็ไม่อยากให้สำนักซ่อนเร้นต้องประสบพบเจอกับภยันตรายใดๆ
หานเจวี๋ยเริ่มต้นถ่ายทอดพลังวิเศษให้
หนึ่งปีต่อมา
ลี่เหยาออกมาจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน คนอื่นๆ ต่างรุมล้อมไต่ถามถึงสิ่งที่นางร่ำเรียนมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ถึงงานประลองประจำศตวรรษเมื่อไร พวกเจ้าก็จะรู้เอง” ลี่เหยากล่าวเช่นนั้น
ทุกคนกลอกตากันยกใหญ่
สตรีคนนี้ดูเหมือนจะเงียบขรึม แต่ความจริงแล้วกลับมีจิตใจทะเยอทะยานที่กล้าแกร่ง
สมแล้วที่เป็นผู้หญิง!
…
แปดปีต่อมา
หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่รู้สึกถึงสิงหงเสวียนที่ใช้วิชาอัญเชิญเทพ
เขาก้าวเข้าไปในกระแสวนสีดำ และมาถึงที่ห้องนอนของสิงหงเสวียน
ภายในห้องนอนมีเพียงสิงหงเสวียนเพียงผู้เดียว
หานเจวี๋ยที่ไปมาหาสู่จนเคยชินเดินมานั่งลงที่ข้างเตียง และมองไปยังสิงหงเสวียน
ครั้งนี้สิงหงเสวียนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลุกขึ้นมา และทำสีหน้าเคร่งขรึม
“มีอะไรหรือ” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม
สิงหงเสวียนขบเม้มริมฝีปากของนางเบาๆ และกล่าว “เผ่ามนุษย์เร่งเตรียมพร้อมบุกโจมตีวังสววรรค์ให้เร็วขึ้นเก้าวัน!”
หานเจวี๋ยพยักหน้า เขาไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เขาเห็นแววส่อเค้าลางมาตั้งนานแล้ว
“มหาจักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งเผ่ามนุษย์รวบรวมผู้บำเพ็ญระดับเซียนขึ้นไปทั้งหมด ข้าเองก็ต้องไปด้วย แต่ดูเหมือนว่าวังสวรรค์จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านพี่ ท่านคิดว่าข้าควรไปดีหรือไม่” สิงหงเสวียนถาม
นางกังวลเกี่ยวกับความคิดเห็นของหานเจวี๋ยมากกว่าเจตจำนงของเผ่ามนุษย์
หานเจวี๋ยกลอกตา และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “มาถามข้าทำไม ข้าบอกให้เจ้ากลับมา เจ้าจะไม่กลับมางั้นหรือ”
สิงหงเสวียนเม้มริมฝีปากแล้วกล่าว “ข้าอยากจะเติบโตขึ้นด้วยตนเองนี่นา หากอยู่เคียงข้างท่านก็รังแต่จะเป็นภาระให้ท่านตลอดไป หากท่านผูกมิตรกับวังสวรรค์ ข้าก็ไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับวังสวรรค์”
หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด
สิ่งที่เขาสนใจคือจักรพรรดิสวรรค์ไม่ใช่วังสวรรค์
หากไม่ให้สิงหงเสวียนไป นางจะต้องถูกขับไล่จากเผ่ามนุษย์อย่างแน่นอน
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ศาลสวรรค์มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว หากเจ้าจะเข้าร่วมสงครามจริงๆ ทางที่ดีที่สุดคือฉวยโอกาสช่วงชุลมุน ไม่ต้องเอาจริงเอาจังมากนักก็ได้ การรักษาชีวิตของตนให้อยู่รอดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
สิงหงเสวียนกลอกตาแล้วกล่าวว่า “อันที่จริงยังมีวิธีหลีกเลี่ยงอยู่ เพียงแต่ข้ากังวลใจมาโดยตลอด”
“วิธีอะไร”
“ลองไปเยือนแดนลึกลับที่อริยะหนี่ว์วาทิ้งเอาไว้ หากข้าทำสำเร็จ เผ่ามนุษย์ก็จะสรรเสริญข้าและไม่ปล่อยให้ข้าผจญอันตรายง่ายๆ”
น้ำเสียงของสิงหงเสวียนเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
หานเจวี๋ยพยักหน้าเล็กน้อย
เขาปฏิเสธเรื่องนี้โดยสัญชาตญาณ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเคยวิวัฒนาการมาก่อน หนี่ว์วาเพียงแค่อยากจะรับเอาความดีความชอบของเขาไปเท่านั้น สำหรับมนุษย์ปุถุชนอย่างสิงหงเสวียน มีหรือจะได้รับวิชาสืบทอดที่ยิ่งใหญ่กว่าอริยะ
สิงหงเสวียนมองออกว่าหานเจวี๋ยรู้สึกกังวล จึงเอ่ยเปรยๆ ขึ้น “นี่เป็นดินแดนลับที่สืบทอดต่อกันมาในเผ่ามนุษย์เนิ่นนานแล้ว หาใช่เพิ่งจะปรากฏเมื่อไม่นานมานี้”
หานเจวี๋ยถาม “เจ้าอยากไปหรือไม่”
สิงหงเสวียนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
นางเองก็อยากแข็งแกร่งขึ้นบ้าง!
หานเจวี๋ยกล่าว “เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษบางอย่างให้กับเจ้า”
สิงหงเสวียนยิ้มหน้าบานทันใด นางโผตัวเข้าไปในอ้อมกอดของหานเจวี๋ย กล่าวพร้อมหัวเราะคิกคัก “ท่านพี่ช่างแสนดีเหลือเกิน ไว้เดือนหน้าค่อยถ่ายทอดให้ข้าก็ได้ ตอนนี้เรามา…”
“คุกเข่าลง”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่!”
…
หนึ่งปีต่อมา หานเจวี๋ยกลับไปยังถ้ำเทวาฟ้าประทานอีกครา
เขานั่งอยู่บนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร และคิดในใจว่า ‘ข้าอยากรู้สถานการณ์ของสิงหงเสวียน หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
หืม? ทำไมถึงเพิ่มขึ้นมาเป็นพันล้านปี นี่มันราคาของต้าหลัวนี่นา!
หานเจวี๋ยเลือกที่จะดำเนินการต่อ
ทันใดนั้น ภาพลวงตาวิวัฒนาการก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตรับรู้ของเขา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามาอยู่กลางถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ดูแล้วเจริญหูเจริญตาอย่างยิ่ง
ทุกคนเงยหน้าขึ้น มองไปบนท้องนภา
หานเจวี๋ยเงยหน้ามองตามไป ทันทีที่เห็นก็สะดุ้งสุดตัว
ทหารเกราะเงินนับไม่ถ้วนลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ทุกนายล้วนภูมิฐานกล้าแกร่งราวกับทหารสวรรค์ และยังมีผู้บำเพ็ญทรงพลังแห่งเผ่ามนุษย์จำนวนไม่น้อยนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วย
หานเจวี๋ยมองทะลุผ่านทหารเกราะเงินจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นไป เห็นตั่งยาวสีทองหลังหนึ่งลอยเหนือหมู่มวลเมฆ พร้อมทั้งหญิงสาวในชุดคลุมสีฟ้านั่งพิงอยู่บนตั่งยาวนั้น
นางคือสิงหงเสวียนนั่นเอง!
ชุดคลุมสีฟ้าของสิงหงเสวียนปักด้วยลายมังกรเหินวิหคระบำ ดูสมจริงราวกับมีชีวิต ใบหน้าของนางแต่งแต้มอย่างวิจิตรบรรจง ศีรษะสวมมงกุฎประดับด้วยผลึกแวววาว สายตาทอดมองลงมายังฝูงชนอย่างดูแคลน เหยียดหยาม ในแววตาระคนไปด้วยความดูหมิ่น ปีติยินดี ดูแปลกไปจากปกติ
‘หืม? นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นจักรพรรดิมวลมนุษย์ไปแล้วหรือไร’
หานเจวี๋ยตะลึงงัน แม้ว่าสิงหงเสวียนผู้กลับชาติมาเกิดใหม่จะมีคุณสมบัติที่ไม่เลว แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าหญิงผู้นี้จะได้เป็นใหญ่ขึ้นมาจริงๆ
หานเจวี๋ยอยากชมต่อ แต่ภาพลวงตาวิวัฒนาการกลับแตกสลายลง และจิตรับรู้ก็กลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
‘แค่นี้งั้นหรือ ยังมองไม่ชัดเลยว่าเป็นนางจริงๆ หรือไม่’ หานเจวี๋ยบ่นพึมพำอยู่ในใจ รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง
จากนั้น ก็มีตัวอักษรบรรทัดหนึ่งโผล่ขึ้นมาตรงหน้าของเขา คือคำบรรยายของสิงหงเสวียน
[สิงหงเสวียน: ตบะไม่ทราบ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต จักรพรรดินีเผ่ามนุษย์ ศิษย์อริยะ คู่บำเพ็ญเพียรแห่งเจ้าสำนักซ่อนเร้น]
‘เลิศเลอปานนี้เชียว มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต แสดงว่าสิงหงเสวียนจะก้าวสู่เคราะห์และได้รับชัยชนะมาหรือ’
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือกังวลใจดี
นี่น่าจะเป็นคำบรรยายของสิงหงเสวียนในอนาคต
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิงหงเสวียนจะประสบความสำเร็จในการไปแสวงโชคในแดนลึกลับของหนี่ว์วาครั้งนี้
………………………………………