ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว
บทที่ 40 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุค ระดับสร้างฐานขั้นเก้าอันน่าหวาดกลัว
หลังจากนำไก่คุกรัตติกาลกลับถ้ำเทวามาแล้ว หานเจวี๋ยก็ปล่อยมันไว้ข้างๆ ก่อนจะเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญต่อ
แรกเริ่ม ยามที่ไก่คุกรัตติกาลหิวจะกินดอกไม้ใบหญ้าของเขา สุดท้ายก็ถูกพลังวิญญาณหกสายของเขาโจมตีจนกระเด็นไปปะทะผนังถ้ำ เจ็บปวดจนต้องร้องออกเจี๊ยบๆ ออกมา
อันตรายยิ่งนัก!
เกือบหัวคะมำตายแล้ว!
หานเจวี๋ยจำต้องถ่ายพลังวิญญาณของตนเข้าไปในร่างไก่คุกรัตติกาล และกระตุ้นให้มันดูดรับปราณ
ใช้เวลาติดต่อกันหลายวันกว่าที่ไก่คุกรัตติกาลจะคุ้นชินกับการดูดรับปราณ
การดูดรับปราณช่วยลดความหิวได้ ไก่คุกรัตติกาลจึงเริ่มเพลิดเพลินกับสภาพการฝึกบำเพ็ญ
จำต้องกล่าวเลยว่า เทพปีศาจกลับชาติมาเกิดก็ไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ
แม้สายเลือดยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ สติปัญญาก็ยังไม่ถูกเปิด แต่ความสามารถยังคงอยู่
หากไม่พบเจอกับหานเจวี๋ย คาดว่าไก่คุกรัตติกาลตัวนี้คงถูกส่งไปยังแดนหมื่นปีศาจ และถูกสัตว์ปีศาจตัวอื่นกินไปแล้ว กลับชาติมาเกิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ภพกี่ชาติถึงจะปรากฏลักษณะของเทพปีศาจขึ้นมาอีก
หลังจากไก่คุกรัตติกาลเริ่มฝึกบำเพ็ญ หานเจวี๋ยก็เริ่มวางใจ ฝึกบำเพ็ญของตนเองต่อไป
สำหรับเขาแล้วระดับปราณก่อกำเนิดขั้นห้านั้นก็ยังห่างไกลกับคำว่าเพียงพออยู่มากนัก
เป้าหมายของเขาคือการบรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณโดยเร็ว
ไม่สิ!
บรรลุระดับสุญตาในเร็ววัน!
ต้องบรรลุระดับมหายานโดยเร็ว!
เขาต้องบรรลุระดับที่สูงสุดในโลกโดยเร็วที่สุด เช่นนี้ถึงจะวางใจได้
……
สองปีต่อมา
หลี่ชิงจื่อกับผู้อาวุโสสูงสุดกลับมาแล้ว
เมื่อรู้ว่าเซียนเฒ่าเต้าเหลยเป็นจารชน และถูกหานเจวี๋ยสังหารไปแล้ว ศิษย์อาจารย์ทั้งสองตะลึงงันไปทันที
หลังจากเซียนซีเสวียนนำหลักฐานเหล่านั้นออกมา ทั้งสองก็กรุ่นโกรธ ก่นด่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณว่าไร้ยางอาย
ในเวลาเดียวกัน
หานเจวี๋ยกำลังต้อนรับสิงหงเสวียนอยู่ในถ้ำเทวา
ไม่พบสิงหงเสวียนมานาน สตรีผู้นี้ยิ่งสร้างความประทับใจมากยิ่งขึ้น
นางบรรลุระดับสร้างฐานขั้นแปดแล้ว ความเร็วในการทะลวงระดับเช่นนี้นับว่าค่อนข้างสูงนัก ยามนี้ก็ตามฉางเยวี่ยเอ๋อร์และโม่จู๋ทันเรียบร้อย
การปฏิบัติของยอดเขาหลักย่อมดีกว่ายอดเขาทั้งสิบแปดอยู่แล้ว
[เจ้าสำนักกลับมาแล้ว สำนักหยกพิสุทธิ์ราบรื่นปลอดภัย ท่านได้รับเคล็ดวิชาเวทหนึ่งเล่ม โอสถฝึกบำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งขวด]
[ยินดีด้วย ท่านได้รับวิชาเทพวายุ]
[ยินดีด้วย ท่านได้รับโอสถรวมวิญญาณระดับเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งขวด]
[วิชาเทพวายุ: วิชาเวทสายวายุ สามารถขี่วายุท่องเที่ยวไปทั่วหล้า และกลายร่างเป็นวายุได้]
[โอสถรวมวิญญาณระดับเปลี่ยนวิญญาณ: โอสถฝึกบำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณชั้นเลิศ มีทั้งหมดสิบสองเม็ด]
เมื่อหานเจวี๋ยเห็นอักขระห้าแถวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม
สิงหงเสวียนเริ่มปลูกของล้ำค่าฟ้าดินที่ตนเองรวบรวมมาแล้ว
“ของล้ำค่าเหล่านี้ล้วนได้มาจากการที่ข้าไปฝึกหาประสบการณ์ภายนอก ข้าเอามาให้ท่านก่อน ท่านจะต้องได้ใช้มันแน่”
สิงหงเสวียนยิ้มกล่าว เมื่อหันไปก็เห็นหานเจวี๋ยกำลังยิ้มอยู่พอดี นางก็รู้สึกชื่นใจอย่างอดไม่ได้
ดูท่าสามีจะดีใจกับการมาของนางยิ่งนัก
หานเจวี๋ยเริ่มพูดคุยสัพเพเหระกับนาง
สิงหงเสวียนพูดถึงเรื่องที่นางไปหาประสบการณ์ภายนอก หานเจวี๋ยจึงถือโอกาสทำความเข้าใจแดนบำเพ็ญพรตไปด้วย
เมื่อเดือนก่อน นางออกไปหาประสบการณ์กับศิษย์พี่สำนักเดียวกัน บังเอิญพบกับลัทธิยอดเขาสีชาดที่เป็นลัทธิสายหลักกำลังต่อสู้กับสำนักมังกรเขียวที่ฝึกสายมาร พวกเขาลงมือโจมตีผู้บำเพ็ญของสำนักมังกรเขียว สิงหงเสวียนจึงฉวยโอกาสเก็บแหวนเก็บสมบัติไป เมื่อกลับมาแล้วถึงพบว่าด้านในมีของล้ำค่าซ่อนอยู่ไม่น้อย
“สำนักหยกพิสุทธิ์จัดอยู่ลำดับที่เท่าใดในแดนผู้บำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนหรือ” หานเจวี๋ยถาม
สิงหงเสวียนเอ่ยพึมพำว่า “แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนมีสำนักที่มีอิทธิพลอยู่ยี่สิบกว่าสำนัก หนึ่งในนั้นมีสายหลักอยู่สิบสองสำนัก สำนักหยกพิสุทธิ์คงพอจะถือเป็นห้าอันดับแรกได้กระมัง”
หืม? ห้าอันดับแรกเชียวหรือ
หานเจวี๋ยรู้สึกหมดหวัง มิน่าเล่าสำนักหยกพิสุทธิ์ถึงมีศัตรูมากมายเพียงนี้
“อันที่จริงกำลังของแต่ละสำนักส่วนใหญ่ต่างกันไม่มากนัก ก็ไม่ได้มีอันดับที่แท้จริงหรอก” สิงหงเสวียนกล่าวพร้อมส่ายหน้ายิ้มๆ
หานเจวี๋ยพยักหน้า
แดนบำเพ็ญพรตที่แท้จริงไหนเลยจะมีอันดับมากมายเช่นนั้น อีกทั้งไม่มีอำนาจขนาดใหญ่สนับสนุน
“จริงสิ ช่วงนี้แดนบำเพ็ญพรตมีบุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุคปรากฏขึ้นคนหนึ่ง คือหวงจี๋เฮ่าจากสำนักกระบี่วิหคชาด ขณะที่อยู่ระดับรวมแก่นปราณ คนผู้นี้เคยสังหารเฒ่าประหลาดระดับปราณก่อกำเนิดมาก่อน ชื่อเสียงสะท้านไปทั่วหล้า ผ่านไปหลายร้อยปีพลังอันน่ากลัวของเขาก็บรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณ เขาบุกเดี่ยวไปสังหารสำนักสายหลักแห่งหนึ่ง ไม่มีผู้ใดต่อกรกับเขาได้” ราวกับว่าสิงหงเสวียนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยต่อ
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “กล่าวกันว่าหวงจี๋เฮ่าต้องการท้าประลองสำนักทั้งหมดในแดนบำเพ็ญพรต เขาจะมาที่สำนักหยกพิสุทธิ์ของเราหรือไม่”
นางรู้มาจากนักพรตเต๋าจิ้งซวีแล้วว่าหานเจวี๋ยก็คือผู้อาวุโสสังหารเทพ หากหวงจี๋เฮ่าบุกเข้ามาสังหาร หานเจวี๋ยจำต้องเผชิญหน้ากับเขา
หานเจวี๋ยส่ายหน้า คิดว่า ‘เหตุใดถึงได้มีคนบ้าการต่อสู้เช่นนี้อยู่ทุกที่ สามารถท้าประลองเดี่ยวกับสำนักหนึ่งได้ คงจะแข็งแกร่งมากสินะ’
หานเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ในระหว่างที่หวงจี๋เฮ่าท้าประลองกับแต่ละสำนัก เขาได้สังหารคนหรือไม่”
สิงหงเสวียนส่ายหน้ากล่าว “ไม่ได้สังหาร อย่างไรเสียสำนักกระบี่วิหคชาดก็เป็นสำนักสายหลัก”
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ”
สีหน้าของสิงหงเสวียนเต็มไปด้วยคำถาม
ผู้อาวุโสสังหารเทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลับกลัวตายเพียงนี้เชียวหรือ
นางรู้สึกขันยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ดูแคลนหานเจวี๋ย
ทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ ไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติพอที่จะดูถูกเขา
หลังจากพูดคุยกันอยู่ครึ่งชั่วยาม สิงหงเสวียนก็จากไป
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ
ทุกๆ สองสามปี สิงหงเสวียน โม่จู๋ และฉางเยวี่ยเอ๋อร์จะมาหาเขาสักครั้ง ไม่ได้รบกวนอะไรมากนัก เพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น
หานเจวี๋ยเองก็ค่อยๆ คุ้นชินกับวันเวลาเช่นนี้
พูดคุยบ้างเป็นบางครั้งก็ดีเหมือนกัน ถือโอกาสเข้าใจแดนบำเพ็ญพรตจากคำบอกเล่าของพวกนางไปด้วย
ขณะเดียวกัน ไก่คุกรัตติกาลก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
……
หนึ่งปีต่อมา
หานเจวี๋ยคุ้นชินกับการตรวจสอบสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว
[เย่ซานหลาง: ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด ผู้ดำเนินการลับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]
ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด พลังไม่เลวนี่
หานเจวี๋ยค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไปนอกถ้ำเทวา
ไก่คุกรัตติกาลเงยหน้ามองเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
ภายใต้การบ่มเพาะของหานเจวี๋ย มันก็รู้สึกชอบการฝึกบำเพ็ญขึ้นมาแล้ว
ท่ามกลางป่าเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้
บุรุษในชุดสำนักหยกพิสุทธิ์ผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ ใบหน้าของเขาหล่อเหลา มีความชั่วร้ายอยู่ตรงหว่างคิ้ว
เขาก็คือเย่ซานหลางแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ
“เหตุใดเจ้าเต้าเหลยนั่นถึงยังไม่มา หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เย่ซานหลางแอบก่นด่า
เขารอมาหนึ่งเดือนแล้ว จวนจะหมดความอดทนเต็มที
เขาคิดแม้กระทั่งจะบุกเข้าไปในสำนักหยกพิสุทธิ์โดยตรง
ทว่าเมื่อนึกถึงผู้อาวุโสสังหารเทพผู้นั้น เขาจึงยอมประนีประนอม
ตอนนั้นเอง หานเจวี๋ยเดินออกมาจากป่าลึก
เมื่อเห็นเขา เย่ซานหลางก็พลันระแวดระวังขึ้นมา
เมื่อกวาดพลังจิตดู…
ระดับสร้างฐานขั้นเก้า
ก็แค่มดปลวก!
เย่ซานหลางแสร้งทำเป็นไม่เห็นหานเจวี๋ย ฝึกบำเพ็ญต่อไป อย่างไรเสียเขาก็สวมชุดสำนักหยกพิสุทธิ์ หากเห็นคนแล้วหนีอาจทำให้เกิดความสงสัยได้
ไหนเลยจะรู้ว่าหานเจวี๋ยกลับเดินตรงมาหาเขา
เย่ซานหลางขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ท่านมีเรื่องอันใดหรือ”
หานเจวี๋ยส่งเสียงตอบ “ใช่ผู้ดำเนินการลับเย่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหรือไม่ ข้าคือศิษย์สืบทอดของเซียนเฒ่าเต้าเหลย ช่วงนี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณก่อความวุ่นวายในสำนักหยกพิสุทธิ์อยู่บ่อยๆ เซียนเฒ่าเต้าเหลยได้รับมอบหมายจากเจ้าสำนักให้ไปทำภารกิจอื่น ไม่อาจปลีกตัวมาได้ จึงให้ข้ามาติดต่อกับท่าน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ซานหลางยิ่งคิ้วขมวดแน่น
ทันใดนั้น เขาพลันประทับฝ่ามือลงบนหน้าอกของหานเจวี๋ย พลังวิญญาณรุนแรงพุ่งเข้าไปในร่างของหานเจวี๋ย
หลังจากนั้น
เสียงโครมดังขึ้น!
เย่ซานหลางถูกพลังสะท้อนกลับจนกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ล้มลง
หานเจวี๋ยลูบอก คิดค่อนแคะในใจ ‘ข้ามีอาภรณ์เทพ พลังวิญญาณอันน้อยนิดเช่นเจ้านี้จะโจมตีข้าได้อย่างไร’
อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองไม่ใช่เกราะต้านทาน เพียงแค่หานเจวี๋ยใช้การเรียบรู้แบบมีเงื่อนไข[1]ของพลังวิญญาณหกสายในการต่อต้าน ไหนเลยพลังวิญญาณมนุษย์ธรรมดาอย่างเย่ซานหลางจะต้านทานได้
“เจ้า…”
เย่ซานหลางลุกขึ้นยืน เขาทั้งตกใจและโมโห
ระดับสร้างฐานขั้นเก้า เหตุใดถึงแข็งแกร่งเช่นนี้
เดี๋ยวก่อน!
หรือว่า…
เย่ซานหลางนึกถึงคนผู้หนึ่งทันใด เขาตกใจจนหน้าซีดขาว หมุนกายเตรียมหนี
ทว่าเขาเพิ่งจะหันหลังเท่านั้น เงากระบี่สามสายก็พุ่งมาสังหารราวสายฟ้าแลบ บดขยี้กายเนื้อของเขาจนแหลกละเอียด
ในชั่วเวลาพริบตาเดียว เย่ซานหลางนำจิตดั้งเดิมออกมา จิตดั้งเดิมกลายเป็นสายรุ้งพุ่งไปยังขอบฟ้าอย่างเร็วรี่
รวดเร็วยิ่งนัก!
หานเจวี๋ยสำแดงวิชาเทพวายุออกมาทันที กลายเป็นวายุทะยานไล่ตามไป
ไม่ถึงสามวินาที เขาก็ตามเย่ซานหลางทัน เขายกมือใช้วิชามหาวายุอัสนี สายฟ้าที่ปกคลุมทั่วท้องนภากลายเป็นตาข่ายอัสนีกักขังเย่ซานหลางไว้
……………………………………….
[1] การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข (Conditioned reflex หรือ Associative learning) เป็นการเรียนรู้แบบที่มีต่อสิ่งเร้าสองสิ่ง คือสิ่งเร้าแท้และสิ่งเร้าเทียม โดยสิ่งเร้าเทียมจะทำหน้าที่แทนสิ่งเร้าแท้ได้โดยที่มีผลตอบสนองเช่นเดียวกับสิ่งเร้าแท้ เช่น การให้อาหารสุนัข (สิ่งเร้าแท้) สุนัขจะน้ำลายไหล หลังจากนั้นเมื่อทำการสั่นกระดิ่งพร้อมกับให้อาหารสุนัขไปด้วยหลายๆ ครั้ง สุนัขจะน้ำลายไหลออกมาด้วยเสมอ หลังจากนั้นเพียงแค่สั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าเทียม) สุนัขก็จะน้ำลายไหลได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เสียงกระดิ่งไม่สามารถทำให้น้ำลายของสุนัขไหลได้