ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 400 วิชาสืบทอดอริยะ ดวงจิตประหลาด
บทที่ 400 วิชาสืบทอดอริยะ ดวงจิตประหลาด
ห้าปีต่อมา
หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่สัมผัสได้ว่าสิงหงเสวียนใช้วิชาอัญเชิญเทพ เขาจึงลุกขึ้นแล้วก้าวเข้าไปในกระแสวนสีดำ
จากนั้นก็ตามมาด้วยฉากพลิกฟ้าคว้าฝน[1]ติดต่อกันถึงครึ่งปี
หานเจวี๋ยจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เข้าที่ เขาเดินมานั่งที่โต๊ะและถามว่า “ช่วงนี้สถานการณ์ในแดนเซียนเป็นอย่างไรบ้าง”
เขาไม่กล้าส่งจิตนึกคิดออกไป ด้วยกลัวว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มีผู้ทรงพลังคอยบงการ และจะจับตัวเขาไว้ในคราวเดียว
สิงหงเสวียนตอบ “แรงกรรมกระจัดกระจาย ผู้คนต่างดิ้นรนเอาชีวิตรอด อย่าว่าแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์เลย เผ่าพันธุ์อื่นเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน มีแต่สู้รบเข่นฆ่า เหมือนกลับไปสู่ยุคมิคสัญญีอีกครั้งหนึ่ง”
พูดถึงเรื่องนี้ สิงหงเสวียนก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เคยได้ยินมานานแล้วว่ามหาเคราะห์ไร้ขอบเขตนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แต่ไม่คิดว่าจะโหดร้ายถึงเพียงนี้
นางเคยติดตามผู้บำเพ็ญเผ่าพันธุ์มนุษย์กลุ่มหนึ่งออกไปข้างนอก ได้เห็นภูเขาซากศพทะเลโลหิตของจริง ไม่ใช่เพียงคำเปรียบเปรย
หานเจวี๋ยถามต่อ “เผ่าพันธุ์มนุษย์คิดจะก่อสงครามกับวังสวรรค์ต่อไปหรือ”
“เรื่องนั้นไม่มีแล้ว ทว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่รู้เลยว่าศัตรูคนต่อไปจะเป็นใคร”
สิงหงเสวียนกล่าวอย่างทอดถอนใจ นางขมวดคิ้วด้วยความกังวล
นางเดินมานั่งลงข้างหานเจวี๋ย และรินน้ำชาให้กับเขา
ชานี้ไม่ธรรมดา มันบรรจุปราณฟ้าประทานเอาไว้ จำต้องรู้ว่าสิงหงเสวียนยังอยู่ในระดับเซียนทองไท่อี่ ต้องการเพียงไอเซียนเท่านั้น นำปราณฟ้าประทานมาหล่อเลี้ยงตั้งแต่เนิ่นๆ เช่นนี้ ช่างฟุ่มเฟือยเสียนี่กระไร
เผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ความเคารพสิงหงเสวียนจริงๆ!
“จริงสิ เจ้ารู้จักจ้าวเซวียนหยวนหรือไม่” หานเจวี๋ยถาม
สิงหงเสวียนถามกลับด้วยความประหลาดใจ “ท่านปิดด่านฝึกฝนมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงรู้จักจ้าวเซวียนหยวนได้ เขาคือบุตรแห่งสวรรค์ผู้ไร้เทียมทานที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ปิดบังเอาไว้ เขาได้รับวิชาสืบทอดอริยะเช่นเดียวกันกับข้า ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลผู้รุ่งโรจน์และสั่นสะเทือนโลกา ตามคำบอกเล่าของอาจารย์ข้า เขาคือผู้ที่มีความหวังสูงสุดที่จะได้พิสูจน์มรรคภายใต้มรรคาสวรรค์ในตอนนี้”
หานเจวี๋ยส่ายหน้าพลางหัวเราะ “เต้าจื้อจุนแห่งวังสวรรค์เองก็เป็นคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาล ทุกวันนี้ยังไม่เห็นเติบโตขึ้นเลย”
สิงหงเสวียนกล่าวยิ้มๆ “ก็จริง ข้าเองก็คิดว่าเป็นการโอ้อวดสรรพคุณจนเกินจริง เทียบกับท่านพี่ของข้าแล้ว จ้าวเซวียนหยวนจะนับเป็นอะไรได้ ท่านไม่รู้อะไร ปกติเขาน่ะนิสัยเย่อหยิ่งจองหองจนมองไม่เห็นหัวพวกเราเลย”
จองหองถึงขั้นนั้นเชียว?
หานเจวี๋ยนึกถึงจ้าวเซวียนหยวนที่อยู่ในอาณาจักรฟ้าบุพกาล จู่ๆ ก็รู้สึกคับข้องใจขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
หานเจวี๋ยเลิกนึกถึงเขา และหันไปมองสิงหงเสวียน “ต่อไปพยายามอย่าเข้าสู่เคราะห์ล่ะ เจ้าอ้างชื่อศิษย์อริยะ และฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจก็ย่อมได้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่กล้าก่อกวนเจ้าหรอก”
“ข้ารู้แล้ว ท่านพี่ ท่านคิดเห็นอย่างไรกับหนี่ว์วา”
สิงหงเสวียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หานเจวี๋ยกล่าวตำหนิ “อย่าพูดถึงอริยะตามอำเภอใจเช่นนั้น เจ้าได้รับวิชาสืบทอดจากอริยะ ต้องรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณนั้นจึงจะถูก”
สิงหงเสวียนแลบลิ้นออกมา และกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “ก็จริง”
นางไม่ได้โง่ นางเข้าใจความหมายที่หานเจวี๋ยสื่อได้ในทันที
นางไม่เชื่อว่าหานเจวี๋ยจะเคารพยกย่องใครจริงๆ คนผู้นี้ตอนที่เป็นมนุษย์ยังเคยบังอาจท้าประลองกับเทพเซียนมาแล้ว
ความจริงแล้วหานเจวี๋ยหวาดกลัวพลังของอริยะต่างหาก!
สิงหงเสวียนขยิบตาให้หานเจวี๋ยเป็นเชิงล้อเลียน
หานเจวี๋ยลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปแล้ว ระวังตัวไว้ด้วย หากมีอันตรายจริงๆ ก็ใช้วิชาอัญเชิญเทพได้ทุกเมื่อ”
สิงหงเสวียนพยักหน้า นางรู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก
สิ่งที่ทำให้นางเป็นสุขไม่ใช่คำมั่นสัญญาของหานเจวี๋ย แต่เป็นท่าทีของเขา
“ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ โม่จู๋ พวกเจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับข้า”
เมื่อหานเจวี๋ยจากไปแล้ว สิงหงเสวียนก็เผยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ
…
เมื่อกลับมาถึงถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญต่อ ทว่ากลับเดินออกจากถ้ำเทวา เตรียมแสดงธรรมให้แก่ชาวสำนักซ่อนเร้น
เมื่อเห็นเขาเดินออกมา เหล่าศิษย์ก็ลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียง
จู่ๆ ไก่คุกรัตติกาลก็ตะโกนลั่น “เหตุใดท่านถึงมีกลิ่นกายหญิงสาวติดตัวมาด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นสิงหงเสวียนสินะ เมื่อก่อนตอนที่นางออกมาจากถ้ำเทวาของท่าน นางก็มีกลิ่นเช่นนี้ติดตัวมาเหมือนกัน!”
หานเจวี๋ยปรายตามองมันด้วยสายตาเย็นยะเยือก ทำให้มันสั่นสะท้านด้วยความกลัว
เขาปรับลมหายใจหนึ่งครั้ง และแล้วกลิ่นอายบนร่างก็กลับสู่ความว่างเปล่า
คนอื่นๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“เตรียมสดับมรรค!”
ถ้อยคำของหานเจวี๋ยกระตุ้นความตื่นเต้นของทุกคนขึ้นมา
ได้เวลาแสดงธรรมอีกครั้ง!
การแสดงธรรมครั้งนี้กินเวลาหลายปี ทุกครั้งที่หานเจวี๋ยแสดงธรรมล้วนแต่ทำให้ทุกคนในสำนักซ่อนเร้นตื่นรู้ขึ้น เพราะความก้าวหน้าของเขาเร็วกว่าคนอื่นๆ
หลังจากแสดงธรรมเสร็จสิ้น หานเจวี๋ยก็กลับไปฝึกบำเพ็ญต่อ
เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปอีกสามสิบปี
หานเจวี๋ยอยู่ไม่ไกลจากปฐมเทพขั้นหกแล้ว
สถานการณ์ของโลกาสวรรค์ทวีความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
ความกังวลใจของหานเจวี๋ยก็หนักหน่วงขึ้นเช่นกัน เขาไม่ได้อยู่ที่แดนเซียนด้วยซ้ำ แต่ก็ยังรับรู้ได้
บางที เขาอาจจะเข้าสู่เคราะห์ในที่ลับไปแล้วก็ได้
อยู่มาวันหนึ่ง
จู่ๆ เกาะสำนักซ่อนเร้นก็สั่นสะเทือน คล้ายว่าชนเข้ากับบางอย่าง
หานเจวี๋ยตกใจสุดขีด เขาลืมตาขึ้นมองออกไป ภายนอกเกาะสำนักซ่อนเร้นมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
จิตนึกคิดของเขาก็ไม่สามารถใช้ข้างนอกได้เช่นกัน
ตู้ม!
เกาะสำนักซ่อนเร้นสั่นสะเทือนอีกครั้ง
ในตอนนี้ ชาวสำนักซ่อนเร้นทั้งหมดต่างตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น”
“ศัตรูโจมตีหรือ”
“อย่าเพิ่งแตกตื่น เจ้าสำนักยังอยู่!”
“อาจารย์ปู่ยังไม่ลงมือ หรือจะมีศัตรูตัวฉกาจที่ไม่อาจโค่นล้มได้กัน”
“ผู้อาวุโสหลี่ว์ปู้ยังไม่เคลื่อนไหว ไม่ต้องกังวลไป”
…
หานเจวี๋ยไต่ถามจากภายในถ้ำเทวา ‘ข้าอยากรู้ว่าใครโจมตีสำนักซ่อนเร้น!’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
สองพันล้านปี…
หานเจวี๋ยกัดฟันและเลือกที่จะดำเนินต่อไป
เขาไม่ได้ตระหนี่เพียงแต่รู้สึกประหม่า สองพันล้านปีอย่างต่ำก็ต้องอยู่ในขั้นต้าหลัว!
[สิ่งอัปมงคล: พลังลึกลับแห่งแดนต้องห้ามอันธการ ถือกำเนิดขึ้นจากความเคียดแค้นของเทพมารฟ้าบุพกาล บดบังความโกลาหล ก่อตัวกลายเป็นความมืดมิด หากอดทนได้ครึ่งชั่วยาม สิ่งอัปมงคลจะล่าถอยไปเอง]
ครึ่งชั่วยามงั้นหรือ
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว อาณาเขตเต๋าจะต้านทานได้หรือเปล่า
เขาทำได้เพียงอดทนรอ
ขณะนี้สิ่งอัปมงคลไม่ได้ทะลวงเข้ามาในเกาะสำนักซ่อนเร้น เพียงแค่เขย่าเกาะสำนักซ่อนเร้นเท่านั้น ดูไปแล้วช่างน่าหวาดหวั่นมากทีเดียว
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงให้กับทุกคน เพื่อให้พวกเขาใจเย็นลงและอยู่ในความสงบ
เมื่อได้ยินถ้อยคำของหานเจวี๋ย ทุกคนก็โล่งใจขึ้นมา
ตลอดเวลาอันยาวนานที่ผ่านมานี้ หานเจวี๋ยได้กลายเป็นเสาหลักในใจของทุกคนในสำนักซ่อนเร้น ตราบใดที่เขาไม่ตื่นตระหนก ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่ต้องกลัว
การปะทะยังคงดำเนินต่อไป
เวลาผ่านไปทีละวินาที
ในที่สุดครึ่งชั่วยามก็ผ่านพ้นไป สิ่งอัปมงคลจากไปทันที
หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย
สิ่งอัปมงคลตนนี้เป็นเพียงพลังงาน ไม่มีจิตรับรู้หรอกหรือ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอ่านเจอคนที่ถูกสิ่งอัปมงคลโจมตีผ่านจดหมาย ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าพวกเขามีชีวิตรอดมาได้อย่างไร!
หรือบางทีสิ่งอัปมงคลอาจจะมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน
จนถึงตอนนี้ หานเจวี๋ยก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งอัปมงคลอีก เพียงแต่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของมันเท่านั้น
พลังเช่นนี้ลึกลับเกินไป แม้แต่ระดับเทพก็ยังไม่อาจสอดแนมได้
ยิ่งคิดหานเจวี๋ยก็ยิ่งรู้สึกขนลุกขนพอง ภายใต้มหามรรค ยังมีพลังลึกลับและแปลกประหลาดซุกซ่อนไว้อีกมากน้อยเพียงไรกันแน่
เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกโจมตีจากสิ่งอัปมงคลอีกครั้ง หานเจวี๋ยจำใจต้องย้ายเกาะสำนักซ่อนเร้น
“มิน่าล่ะถึงไม่มีใครมาซ่อนตัวอยู่ที่แดนต้องห้ามอันธการ ที่นี่เองก็มีอันตรายเช่นกัน”
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบงัน
ในขณะที่เกาะสำนักซ่อนเร้นกำลังจะเคลื่อนย้าย เบื้องหน้าของหานเจวี๋ยก็ปรากฏข้อความแถวหนึ่งลอยขึ้นมา
[ตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]
หืม?
ผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดหรือ
หานเจวี๋ยไม่ได้เห็นข้อความนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว เขาคิดว่าความสามารถดังกล่าวถูกระบบโละทิ้งไปแล้วเสียอีก
เขาเลือกที่จะตรวจสอบทันที
[ดวงจิตประหลาด: ไม่ทราบตัวตน สืบทอดดวงชะตาของเทพมารฟ้าบุพกาล ให้กำเนิดยุคสมัยมากมายนับไม่ถ้วน กำลังจะกลายเป็นวิญญาณ
สืบทอดดวงชะตาของเทพมารฟ้าบุพกาล…น่าทึ่งมาก!
ทว่าชื่อของมันฟังดูแล้วเป็นภัยอย่างยิ่ง
ปฏิกิริยาแรกของหานเจวี๋ยคืออยู่ให้ห่างจากสิ่งนั้น
………………………………….
[1] พลิกฟ้าคว้าฝน อุปมาโวหารบรรยายถึงฉากเข้าพระเข้านาง