ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 411 มรรคจิตแตกสลาย อริยะจินอัน
บทที่ 411 มรรคจิตแตกสลาย อริยะจินอัน
หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นล้านปี!
หนึ่งแสนสองหมื่นล้านปี!
มรรคจิตของหานเจวี๋ยเริ่มสั่นคลอน อายุขัยที่ถูกผลาญไปทุบสถิติได้อีกครั้ง
จำเป็นจริงๆ น่ะหรือ
จำเป็น!
ต้องฆ่าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนให้ได้!
แค่ครั้งนี้เท่านั้น ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว!
หานเจวี๋ยกัดฟันยืนหยัดต่อไป
ในตอนที่อายุขัยถูกผลาญไปเกือบหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านปี ในที่สุดเขาก็เห็นจดหมายฉบับหนึ่ง
[จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนศัตรูคู่อาฆาตของท่าน มรรคจิตแตกสลาย พลังเวทปั่นป่วน โชคร้ายผนวกด้วยแรงกรรมมหันต์เข้าโจมตีเขาเนื่องจากการสาปแช่งของท่าน]
หานเจวี๋ยหยุดมือทันที
สาปแช่งอยู่นานขนาดนี้ หานเจวี๋ยกลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด ลมหายใจเพียงรวนเรไปเล็กน้อยเท่านั้น
สมกับที่เป็นระดับต้าหลัว มั่นคงดั่งขุนเขา
หานเจวี๋ยตั้งตารอดูว่าตนจะผลาญอายุขัยมากที่สุดอยู่ที่เท่าไรกัน แต่เขาก็ไม่กล้าคิดมากไปกว่านั้นแล้ว เขากลัวว่าตนจะเสพติดเข้า
ต่อให้อายุขัยยืนยาวแค่ไหนก็ทนรับการผลาญอายุหลักแสนล้านปีนับครั้งไม่ถ้วนไม่ไหวอยู่ดี
หานเจวี๋ยเตือนสติตัวเอง จะติดใจไม่ได้เด็ดขาด
แม้ว่าจะเป็นเซียนทองต้าหลัวแล้ว ก็ไม่อาจเผลอเรอจนไปยั่วยุศัตรูที่แข็งแกร่งได้
หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง ปล่อยดวงจิตประหลาดออกมา และเริ่มบำเพ็ญต่อ
ผ่านมานานหลายสิบปีที่เขาห่างหายจากการบำเพ็ญ ถึงขั้นมีความรู้สึกเหินห่างบางประการเพิ่มขึ้นมา
เขาบำเพ็ญตบะพลางเริ่มตรวจดูจดหมายไปด้วย
[หลงเฮ่าศิษย์ของท่านเริ่มหลอมรวมเข้ากับเซียนทองต้าหลัว]
[ซูฉีศิษย์ของท่านพลัดหลงเข้าสู่วังวนเทพมาร]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์] x1092
[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]
[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[ฟางเหลียงศิษย์ของท่านได้พบกับบรรพชนเต๋าในระหว่างบำเพ็ญเพียร พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[โจวฝานสหายของท่านกลืนกินเพลิงแท้สุริยะ ได้รับการยอมรับจากระฆังบรรพกษัตริย์]
[หวงจุนเทียนสหายของท่านได้ฟังธรรมจากอริยะ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
….
หลงเฮ่าหลอมรวมกับเฮ่าเทียนงั้นหรือ
ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าสองคนนั้นจะก่อคลื่นลมแบบไหนขึ้น
นับตั้งแต่หลงเฮ่าเริ่มขัดแย้งกับจักรพรรดิสวรรค์ ความรู้สึกดีๆ ที่หานเจวี๋ยมีต่อเขาก็หมดสิ้นไปแล้ว เขาไม่สนใจความเป็นความตายของอีกฝ่ายอีกต่อไป
ใจคนแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าหลี่เต้าคงเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ เขาเป็นถึงเซียนทองต้าหลัวแล้ว ผู้ทรงพลังลึกลับต้องแข็งแกร่งกว่าเซียนทองต้าหลัวในระดับหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็คงเป็นระดับครึ่งอริยะ
ข้างกายจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนมีครึ่งอริยะอยู่ด้วยหรือ
หานเจวี๋ยพบว่าตนดูแคลนเส้นสายของจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนไปเสียแล้ว
ยังมีโจวฝานอีกคน นี่เป็นการสืบทอดตำแหน่งต่อจากตี้หล่านเทียน เขาคิดจะกุมบังเหียนเผ่าเทพอีกาทองสินะ
มิเสียทีที่เป็นวัชระอริยะกลับชาติมาเกิด ตัวเอกที่ฟ้ากำหนดไว้!
กล่าวโดยสรุปคือ บรรยากาศคลี่คลายลงไปไม่น้อยเลย อย่างน้อยๆ ในกลุ่มเหล่าสหายของเขาก็เป็นเช่นนั้น สิบปีที่ผ่านมานี้ค่อนข้างสงบสุขดี
หลังจากหานเจวี๋ยตรวจดูจดหมายเรียบร้อยก็ทุ่มสมาธิไปกับการบำเพ็ญ
แม้จะกลายเป็นเซียนทองต้าหลัวแล้ว หานเจวี๋ยก็ยังพึ่งพาการดูดซับแรงกรรมมาเพิ่มพลังได้ แรงกรรมที่อยู่ในบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรนั้นมีมากมายล้นเหลือ ไม่รู้ว่าต้องผ่านความเหนื่อยยากจากเคราะห์กรรมมามากมายเพียงใด ถึงสามารถเรียกได้ว่ามากมายไร้สิ้นสุด ใช้ได้ไม่มีวันหมด
วันเวลาเคลื่อนคล้อย เดือนปีไหลผ่านดั่งกระสวยทอผ้า
หานเจวี๋ยจดจ่ออยู่กับการบำเพ็ญ เนื่องจากมหาเคราะห์ คลื่นลมในแดนเซียนจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ บุคคลผู้มีพรสวรรค์มากมายปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในบรรดาคนเหล่านั้น กระแสของเผ่ามนุษย์แกร่งกล้าขึ้นมาทุกที ยอดฝีมือผู้สันโดษของเผ่ามนุษย์ปรากฏตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สรรพสิ่งจึงได้ค้นพบว่าเผ่ามนุษย์นั้นมีฐานะเป็นตัวเอกแห่งมรรคาสวรรค์ มิใช่ปุถุชนที่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพเซียนและสำนักนิกายต่างๆ ของอริยะอีกต่อไป
ถึงขนาดที่ว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ปุถุชนยังอยู่เหนือกว่าเทพเซียนเสียอีก
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
ผ่านไปอีกราวๆ สิบเจ็ดปี
เกาะสำนักซ่อนเร้นสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง ในครั้งนี้ ทุกคนล้วนสงบนิ่งยิ่งนัก หานเจวี๋ยสัมผัสถึงคลื่นพลังความมืดที่ถาโถมเข้ามา โชคดีที่อาณาเขตเต๋ายกระดับแล้ว จึงไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
หนึ่งก้านธูปผ่านไป หานเจวี๋ยพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแสนคุ้นเคยที่วาบผ่านไป
หือ?
ซูฉี
บังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ
หานเจวี๋ยรู้ว่าซูฉีอยู่ในแดนต้องห้ามอันธการ แต่แดนต้องห้ามอันธการกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะบังเอิญพบเขาได้ หรือว่าจะเป็นแผนร้ายที่ตัวตนลึกลับบางท่านวางเอาไว้
‘ข้าอยากรู้ว่าการได้พบซูฉีที่นี่ เป็นแผนการของผู้ใดหรือไม่’
หานเจวี๋ยสอบถามในใจ ตัวเขาในอนาคตไปล่วงเกินอริยะเข้า แต่เขาระมัดระวังตัวขนาดนี้ ไม่น่าเป็นไปได้เลย เกรงว่าคงจะถูกคนอื่นวางแผนเล่นงานเสียแล้ว ดังนั้นเขาจำเป็นต้องระวังตัวมากขึ้น
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
มากขนาดนี้เชียว
โกงกันชัดๆ!
ดำเนินการต่อ!
ในสมองของหานเจวี๋ยมีเงาร่างองอาจร่างหนึ่งปรกฏขึ้นมา ตัวอักษรแถวหนึ่งโผล่ขึ้นตรงหน้าเขา
[จินอัน: ไม่ทราบตบะ อริยะระดับมรรคาสวรรค์ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต หนึ่งในเซียนทองแห่งนิกายเจี๋ย เนื่องจากทำนายได้ว่าซูฉีและท่านมีกรรมเชื่อมโยงกัน จึงจงใจชักนำซูฉีให้ตระเวนไปทั่วแดนต้องห้ามอันธการ เพื่อหาตัวท่าน]
หืม
อริยะระดับมรรคาสวรรค์อย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยตะลึงงัน เขาหลงนึกว่านิกายเจี๋ยมีอริยะเพียงท่านเดียว ซึ่งก็คือเจ้านิกายทงเทียน ถึงอย่างไรเขาก็เคยอ่านเฟิงเสินหยี่ยนอี้[1]มาก่อน
อีกทั้งนิกายเจี๋ยก็สิ้นท่าพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แล้วจริงๆ
‘ศิษย์เอ๋ย คงต้องให้เจ้าทนรับความอยุติธรรมไปก่อนแล้ว’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ จากนั้นก็บำเพ็ญต่อ รอให้ซูฉีผ่านไป
ด้วยเหตุนี้ อริยะจินอันจึงไม่สามารถสอดแนมอาณาเขตเต๋าได้
ส่วนซูฉี คราแรกเป็นเขาเองที่ต้องการออกไป ทุกอย่างในตอนนี้คือผลกรรมที่เขาสมควรต้องยอมรับ
ผ่านไปสักพัก กลิ่นอายของซูฉีก็เลือนหายไป หานเจวี๋ยไม่อาจสอดส่องแดนต้องห้ามอันธการได้ แต่ซูฉีมิได้เกี่ยวข้องกับแดนต้องห้ามอันธการ ในแดนต้องห้ามอันธการเขาเปรียบเสมือนตะเกียงที่เจิดจ้าอยู่ท่ามกลางรัตติกาล ดูสะดุดตาอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ในแดนต้องห้ามอันธการซูฉีก็สูญเสียประสาทการรับรู้ไปเช่นกัน ไม่สามารถสอดส่องทุกสิ่งรอบข้างได้ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าหลายปีมานี้ เจ้าหนุ่มคนนี้ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร
หลังจากซูฉีไปแล้ว เกาะสำนักซ่อนเร้นก็กลับสู่ความสงบ
หานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง
สามปีผ่านไป
งานประลองประจำศตวรรษของสำนักซ่อนเร้นถูกจัดขึ้นอีกครั้ง ลี่เหยายังคงแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ลูกศิษย์ แต่เมื่อเทียบกับจักรพรรดิเซียนคนอื่นๆ แล้ว ยังไม่อาจต่อกรได้
เจียงอี้กลับทำได้ดีกว่าที่คาดเอาไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเอาชนะจอมปีศาจคุกรัตติกาลได้ เรื่องนี้กลายเป็นแรงกระตุ้นสำหรับจอมปีศาจคุกรัตติกาล
เจียงอี้รู้สึกฮึกเหิมภูมิใจ ในที่สุดก็สามารถยืดอกอย่างผึ่งผายได้แล้ว คนผู้นี้ไม่รู้จักประเมินกำลังของตนเลยสักนิดยังคิดจะท้าสู้กับหานเจวี๋ยอยู่อีก
สำหรับเรื่องนี้ หานเจวี๋ยไม่ได้ปฏิเสธ เขาใช้วัชระเทพมารขุนพลสวรรค์ชกอีกฝ่ายตายภายในหมัดเดียว
ถึงแม้จะเป็นแบบจำลองการทดสอบ แต่เจียงอี้ก็ถึงกับสติหลุดไปเลย
คนอื่นๆ ต่างพากันสงสัยว่าเจียงอี้ประสบพบเจอกับสิ่งใดมา
“ฮ่าๆ คงมิใช่ว่าเขาถูกนายท่านชกตายในหมัดเดียวหรอกกระมัง” ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยเยาะเย้ย หัวเราะเสียงดังลั่น
คนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน หานเจวี๋ยมิใช่เผ่าเอกาเสียหน่อย จะป่าเถื่อนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เจียงอี้ตะคอกใส่ “หุบปาก!”
เมื่อเห็นเขาอับอายจนพาลโกรธเช่นนี้ ทุกคนล้วนตะลึงงัน
หรือสิ่งที่เจ้าไก่เหม็นพูดจะเป็นความจริง
….
เหนือมวลเมฆา ใต้พฤกษาเก่าแก่
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนยืนประจันหน้ากับต้าจิ่วเทียนที่แผ่แสงแห่งเทพออกมา
“พิจารณาดีแล้วหรือ” ต้าจิ่วเทียนถาม
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนมีสีหน้าไม่น่ามอง เอ่ยเสียงเข้ม “ข้ายังไม่แพ้ ก่อนหน้านี้ที่ถูกหลี่เต้าคงโจมตีจนต้องล่าถอยเป็นเพราะจู่ๆ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็สาปแช่งข้า หาไม่แล้วหลี่เต้าคงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย!”
ต้าจิ่วเทียนส่ายหน้าพลางกล่าว “แพ้ก็คือแพ้ เจ้าเป็นครึ่งอริยะทว่าไม่สามารถสังหารต้าหลัวได้ ช่างน่าขันนัก”
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนเงียบลง สีหน้าเขียวคล้ำ
ต้าจิ่วเทียนถอนหายใจ “นี่คือความประสงค์ของอริยะ แต่ข้ากลับมีแผนการอย่างหนึ่ง”
“แผนอันใด”
“สังหารหลี่เสวียนเอ้าแห่งนิกายเหริน สลับบทบาทของนิกายเหรินที่มีต่อเผ่ามนุษย์”
หลังจากจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนได้ฟัง ก็แทบหลุดปากสบถเสียงดังออกมา
การกระทำนี้คือการฉีกหน้านิกายเหรินอย่างแน่นอน เขามิใช่คู่ต่อสู้ของอริยะเลย!
ต้าจิ่วเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกมีนัย “หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป จุดจบของเจ้าจะเป็นอย่างไร เจ้ารู้ดีที่สุด ข้าเพียงหวังดีต่อเจ้าเท่านั้น”
“มหาเคราะห์มรรคาสวรรค์ในยามนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เคราะห์กรรมที่แท้จริงคือหลังจากนี้ต่างหาก เมื่อถึงเวลานั้น ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับอริยะล้วนเป็นเพียงมดปลวกทั้งสิ้น!”
………………………………………………………………
[1] เฟิงเสินเหยี่ยนอี้ เป็นวรรณกรรมจีนโบราณประพันธ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง จัด อยู่ในประเภทนิยายที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้ากับมาร และมีเนื้อหาผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์และเรื่องราวอิทธิปาฏิหาริย์ ได้รับการยกย่องว่ามีความโดดเด่นเป็นอันสองรองจากซีโหยวจี้ (ไซอิ๋ว)