ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 452 เผ่าสวรรค์ผงาด พัฒนาการของหานเจวี๋ย
บทที่ 452 เผ่าสวรรค์ผงาด พัฒนาการของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยนำหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราออกมา สมบัติชิ้นนี้เป็นห่วงแสงสองวง รูปร่างเป็นทรงกลม แยกไม่ออกว่าอันใดคือตะวัน อันใดคือจันทรา
เขาเริ่มทำให้มันจดจำผู้เป็นนาย
ผ่านไปหลายวันกว่าจะทำสำเร็จ
หยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราลอยไปอยู่ด้านหลังหานเจวี๋ยด้วยตัวเอง มันลอยอยู่กลางอากาศและแผ่ประกายสงเจิดจ้าออกมาอาบไล้ร่างของหานเจวี๋ย ทำให้สามารถมองเห็นเงาร่างของเขาเพียงเลือนรางเท่านั้น ไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้
แสงอันเจิดจ้านี้จะส่งผลต่อคนนอกเท่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อสายตาของหานเจวี๋ยเลย
ยอดเยี่ยม!
เป็นยอดสมบัติที่น่าสนใจยิ่ง!
ผู้ทรงพลังย่อมต้องมีรัศมีอันทรงพลัง หานเจวี๋ยไม่อยากให้การปรากฏตัวของเซียนทองต้าหลัวอย่างเขาเหมือนคนอื่นทั่วไป
จะต้องยิ่งใหญ่เปี่ยมบารมี ดูอย่างจักรพรรดิสวรรค์สิ แต่ก่อนเมื่ออยู่ในพระราชวังเทียมเมฆาจะอยู่สูงพันจั้ง เหล่าเทพต่างดูเล็กจ้อยไปหมด
ยังมีฉิวซีไหลที่แสดงให้เห็นเพียงรูปเทวะเท่านั้น ไม่เผยร่างจริงออกมา
วันหน้าเมื่อกลับไปยังแดนเซียน เมื่อผู้คนพบเจอหานเจวี๋ย จะได้ไม่เห็นรูปลักษณที่แท้จริง
ใบหน้าของเซียนทองต้าหลัว จะปล่อยให้ปุถุชนมาจับจ้องได้อย่างไร
หานเจวี๋ยนึกอย่างหน่ายแหนงยิ่ง
ถึงแม้ใช้สมองแล้วจะไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ก็น่าสนใจดี
หานเจวี๋ยเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วว่าเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์คืออะไร
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[เผ่าสวรรค์: พื้นฐานมาจากเผ่ามนุษย์ ได้รับการชำระล้างจากมรรคาสวรรค์ กลายเป็นเทพเซียน เมื่อได้รับพลังเวทยอดวิถีจึงกำเนิดเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ เผ่าพันธุ์นี้มีวิสัยของมนุษย์และเทพเซียน รวมถึงมีพรสวรรค์อันแกร่งกล้าทัดเทียมกับเผ่าพันธุ์ก่อนกำเนิดฟ้า]
หานเจวี๋ยตกตะลึง
เทพเซียนจากเผ่ามนุษย์ก็นับเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่หรือ
อำมหิตนัก!
แผนการนี้อำมหิตเกินไปแล้ว มอบผลประโยชน์ให้ทั้งเผ่ามนุษย์และวังสวรรค์ จากนั้นกวาดล้างสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในกองกำลังของทั้งสองฝ่าย
ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือว่าฝ่ายเทพเซียน ตัวตนเหล่านี้ต้องลดน้อยลงแน่นอน
นอกเหนือไปจากเผ่าสวรรค์แล้ว ทุกสรรพสิ่งจะย่อยยับ นั่นคือฉากจบที่มหาเคราะห์มรรคาสวรรค์วางไว้
แดนเซียนจะกลับสู่จุดเริ่มต้น ดำเนินขึ้นใหม่อีกครั้ง
หานเจวี๋ยเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมาตรวจดู จี้เซียนเสิน เซวียนฉิงจวิน ฟางเหลียง ยอดแม่ทัพเทพและซูฉี ล้วนกลายเป็นเผ่าสวรรค์ไปหมดแล้ว
น่าเสียดายที่โจวฝานและโม่ฟู่โฉวพลาดโอกาสในการหลบเลี่ยงเคราะห์ไปเสียแล้ว
ว่ากันตามจริงแล้ว โม่ฟู่โฉวน่าเวทนาที่สุด ต่างจากโจวฝานที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ ไม่ตายแน่นอน
อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ในเมื่อคิดจะสู้แล้ว ก็ต้องพร้อมยอมรับผลที่จะตามมา
หานเจวี๋ยหลับตาลง เริ่มบำเพ็ญตบะต่อไป
….
เวลาผ่านไปอีกห้าสิบปี
หลังจากทราบถึงจุดจบของมหาเคราะห์แล้ว หานเจวี๋ยก็ราวกับโดนของ เอาแต่จดจ่อคิดว่ามหาเคราะห์จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ด้วยสภาพจิตใจเช่นนี้ เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าช่วงเวลาใดๆ ในอดีต
หานเจวี๋ยบำเพ็ญตบะทุกวัน เมื่อครบสิบปีจะสาปแช่งอริยะมิ่งจีหนึ่งครั้ง นอกจากเรื่องนี้แล้วก็ไม่มีเรื่องอื่นให้เขาทำเลย
แม้กระทั่งจำนวนครั้งในการตรวจดูจดหมายของเขาก็ยังลดน้อยลงไปด้วย
เขาไม่ต้องการให้จดหมายมาทำให้ตนไขว้เขว
ยิ่งเข้าสู่ช่วงท้ายของมหาเคราะห์มากเท่าไร ก็ยิ่งไม่ควรเข้าสู่เคราะห์มากเท่านั้น!
รอดพ้นมาจนถึงตอนนี้แล้วหากก้าวเข้าไปอีก เช่นนั้นสิ่งที่พยายามมาก่อนหน้านี้ก็เสียเปล่าแล้วจริงๆ
หานเจวี๋ยทำในสิ่งที่ควรทำไปแล้ว หากเหล่าสหายของเขายังคงสิ้นชีพ ตัวเขาก็ไร้ซึ่งหนทางเช่นกัน
ในวันนี้ หานเจวี๋ยตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับปฐมศิลาฟ้าบุพกาลที่เก็บไว้ในจักรวาลโลกดารา
ผลจากการสั่งสมของพลังที่ผ่านมาเนิ่นนานหลายปี ปราณฟ้าบุพกาลที่ผลิตออกมาจากปฐมศิลาฟ้าบุพกาลมีจำนวนมหาศาล เมื่อรวมเข้ากับปราณอนธการจากกายดาราอนธการแล้ว ทำให้ทั่วทั้งดาราจักรล้วนตกอยู่ท่ามกลางหมอกควัน
หานเจวี๋ยพบว่าภายในโลกดารามีดวงดาวใหม่ๆ ถือกำเนิดขึ้นอีกหลายร้อยดวง
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น ภายภาคหน้าจะต้องมากกว่านี้แน่นอน
สิ่งที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ ในโลกเขย่าพิภพนอกจากพุทธะอาภรณ์ขาวแล้ว ในที่สุดก็มีจักรพรรดิเซียนคนอื่นถือกำเนิดขึ้นมา
พลังวิญญาณของโลกเขย่าพิภพก้าวล้ำหน้าโลกมนุษย์ส่วนใหญ่ไปแล้ว ถึงขั้นที่อาจจะเหนือกว่าโลกมนุษย์ทั้งหมดเสียด้วยซ้ำด้วย ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ขาดแคลนทรัพยากรเช่นนี้ จะบรรลุระดับจักรพรรดิหรือไม่นั่นก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของคนคนนั้นแล้ว
ถึงอย่างไรเผ่ามนุษย์ก็เคยเป็นตัวเอกมรรคาสวรรค์ ตามโลกมนุษย์ต่างก็ต้องมีตัวละครประเภทบุตรแห่งสวรรค์อยู่
หานเจวี๋ยมิได้ชักนำบุตรแห่งสวรรค์รายนี้มาเข้าพวก โลกเขย่าพิภพย่อมต้องมีแนวทางพัฒนาในแบบของตนเองเช่นกัน
สำหรับปัจจุบันนี้ สำนักซ่อนเร้นมีบุตรแห่งสวรรค์มากพอแล้ว
รอให้บุตรแห่งสวรรค์เหล่านี้ก้าวหน้ามีพัฒนาการก่อนแล้วค่อยกว่ากัน
ทุกสิ่งค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีและเปี่ยมไปด้วยพลัง
หานเจวี๋ยย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ ต้องรักษาเจตนารมณ์เดิม รักษาสภาพการณ์ในปัจจุบันเอาไว้ อย่าไปล่วงเกินอริยะส่งเดช
[หลี่มู่อีต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
[หลี่มู่อีต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
[หลี่มู่อีต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
….
หลี่มู่อีเอาอีกแล้ว!
อารมณ์ดีๆ ของหานเจวี๋ยหายวับไปทันที
ไม่สน!
หานเจวี๋ยเรียกจดหมายออกมาตรวจดู เบี่ยงเบนความสนใจไป
[จี้เซียนเสินสหายของท่านกลายเป็นหัวหน้าเผ่าสวรรค์ ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[ฟางเหลียงศิษย์ของท่านหลอมรวมเข้ากับดวงชะตาวังสวรรค์ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[โจวฝานสหายของท่านได้รับสืบทอดพลังวิเศษอริยะ ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[จิ่งเทียนกงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเจียงตู๋กูสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[เซวี่ยหมิงเหอสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเจียงตู๋กูสหายของท่าน ตัวตายมรรคผลสลาย]
[หวงจุนเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเจียงตู๋กูสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[เจียงตู๋กูสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เต้าคงสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[ตี้หล่านเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผานซินสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านเผชิญกับการสะกดข่มจากอริยะอริยะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
….
บาดเจ็บสาหัสกันมากมายนัก!
เซวี่ยหมิงเหอถึงขั้นดับสูญไปเสียแล้ว!
หานเจวี๋ยรู้สึกปลงอนิจจังอย่างยิ่ง สำหรับเซวี่ยหมิงเหอแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีความรู้สึกดีต่ออีกฝ่าย แต่คนผู้นี้ก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีสุภาพ เคารพเชื่อฟัง พออีกฝ่ายตายไปเช่นนี้แล้วก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจอยู่บ้าง
แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจช่วยได้ เซวี่ยนหมิงเหอเข้าสู่เคราะห์ด้วยความต้องการของตัวเอง
การบำเพ็ญเดิมทีก็เรื่องที่ขัดต่อสวรรค์อยู่แล้ว สิ้นชีพบนเส้นทางนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
จักรพรรดิสวรรค์ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน แต่ไม่ถึงตาย
หากอริยะต้องการจะสังหารจักรพรรดิสวรรค์จริง จักรพรรดิสวรรค์คงไม่รอดเป็นแน่
นอกจากนี้ ตอนนี้จี้เซียนเสินกลายเป็นหัวหน้าเผ่าสวรรค์ไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่
หานเจวี๋ยมักจะสงสัยอยู่เสมอว่าการที่สหายรอบตัวได้รับโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องมาจากเขาทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าเขาจะยกยอตัวเอง หากแต่เขาหวั่นเกรงว่าจะถูกอริยะวางแผนเล่นงานต่างหาก
หลังหานเจวี๋ยคิดดูแล้ว ก็ตัดสินใจไปเข้าฝันจิ่งเทียนกง ประการแรกเพื่อเป็นการปลอบขวัญเขา ประการที่สองเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของมหาเคราะห์
ไม่ช้า คนทั้งสองก็ได้เข้าสู่แดนความฝัน
จิ่งเทียนกงลืมตาขึ้นทันที เมื่อมองเห็นเงาดำที่อยู่ตรงหน้า เขาก็พลันรู้สึกตื่นเต้นยินดี
เขารีบคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสำนัก! ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”
“ท่านกล่าวไว้ไม่ผิดเลยขอรับ มหาเคราะห์ครานี้ล้วนเป็นการปูทาง พวกเราล้วนไม่ควรเข้าสู่เคราะห์”
เขามีสีหน้าสำนึกเสียใจ เห็นได้ชัดว่านิกายเจี๋ยได้รับความเสียหายอย่างหนัก
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เซวี่ยหมิงเหอตายแล้ว ข้ารู้เรื่องแล้ว เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรต่อมหาเคราะห์ในยามนี้ ”
จิ่งเทียนกงลอบชื่นชมในพลังวิเศษอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
เขาใคร่ครวญดู ก่อนเอ่ยไปว่า “อริยะจินอันก่อตั้งเผ่าสวรรค์ขึ้นโดยมีต้นกำเนิดมาจากเทพเซียนของเผ่ามนุษย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปการณ์ของมหาเคราะห์ เผ่ามนุษย์และวังสวรรค์เจรจาสงบศึกสำเร็จลุล่วง เผ่ามนุษย์ล้วนอยากกลายเป็นเผ่าสวรรค์ ซึ่งหากต้องการจะเป็นเผ่าสวรรค์ก็ต้องพึ่งพารายนามสถาปนาเทพของจักรพรรดิสวรรค์ฟาง แต่เผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่อาจกลายเป็นเผ่าสวรรค์ได้ ยามนี้เผ่ามนุษย์และวังสวรรค์จึงต้องเผชิญกับการโจมตีจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่รวมตัวกันเข้าโจมตี สถานการณ์ไม่สู้ดีขอรับ”
“เรื่องสำคัญที่สุดคือท่าทีของอริยะไม่ชัดเจน พวกเขาเผยตัวเป็นครั้งคราว กวาดล้างสนามรบแต่ละแห่ง พวกเขาถึงขั้นที่สู้กันเองด้วยขอรับ ก่อนหน้านี้อริยะเปิดศึกใหญ่ขึ้น ณ ชั้นฟ้าที่เก้า ทำให้สวรรค์ชั้นที่เก้าพังทลาย พระราชวังเทียมเมฆาถล่มลงมา”
“ว่ากันตามจริง ข้ามองสถานการณ์ไม่ออกแล้ว”
จิ่งเทียนกงเผยสีหน้าละอายใจ
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป คิดหาทางหลีกเลี่ยงเถอะ นิกายเจี๋ยไม่มีทางล่มสลาย นิกายเจี๋ยมีอริยะมรรคาสวรรค์อยู่ถึงสองท่าน”
จิ่งเทียนกงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “อริยะมรรคาสวรรค์สองท่านอย่างนั้นหรือ”
“อริยะจินอันก็มาจากนิกายเจี๋ย”
“อะไรนะขอรับ”
จิ่งเทียนกงตกตะลึงไป เห็นได้ชัดว่าเขาขไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างมีนัยซ่อนเร้น “เรื่องนี้เจ้าจะได้รู้ด้วยตัวเอง”
………………………………………………………………