ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 460 ชำระล้างขั้นสมบูรณ์ แดนเซียนรกร้างc
บทที่ 460 ชำระล้างขั้นสมบูรณ์ แดนเซียนรกร้าง
ระหว่างที่บินมุ่งหน้าไปยังแดนเซียน หานเจวี๋ยกดเลือกตัวเลือกแรกของระบบก่อนหน้านี้เงียบๆ
[ต้องไปถึงแดนเซียนมรรคาสวรรค์ก่อน ถึงจะสามารถเลือกตัวเลือกนี้ได้]
หานเจวี๋ยจึงทำได้เพียงรอไปก่อน
ถึงแม้จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของตราประทับหกวิถีได้ แต่เกาะสำนักซ่อนเร้นเคลื่อนย้ายไปมาในแดนต้องห้ามอันธการอยู่หลายครั้ง อยู่ห่างไกลจากแดนเซียนเกินไปจริงๆ ไม่สามารถไปถึงแดนเซียนได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
เมื่อนึกถึงตราประทับหกวิถี หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่นึกถึงจักรพรรดิเซียนวัฏจักรขึ้นมา คนผู้นี้ไม่มีความเคลื่อนไหวมานานมากแล้ว จากจอค่าความสัมพันธ์เห็นได้ชัดว่าเขายังมีชีวิตอยู่
สิ่งที่ควรค่าให้เอ่ยถึงคือ ตบะของจักรพรรดิเซียนวัฏจักรคือเซียนทองต้าหลัวระยะกลาง
สามารถปลอมตัวอยู่ข้างกายจักรพรรดิสวรรค์ ซ้ำยังไม่ถูกจับได้ ตบะย่อมไม่มีทางต่ำกว่าจักรพรรดิสวรรค์อย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ไม่อยู่ในสายตาของหานเจวี๋ยแล้ว
นับตั้งแต่เริ่มสาปแช่งอริยะมิ่งจี หานเจวี๋ยก็ไม่เห็นเซียนทองต้าหลัวอยู่ในสายตาอีก
เมื่อมองย้อนกลับไป หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและหลุดยิ้มออกมา
ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เขาเคยมองจักรพรรดิเซียนวัฏจักรเป็นศัตรูตัวฉกาจ แต่น่าเสียดายที่เมื่อเวลาผันผ่านไป จักรพรรดิเซียนวัฏจักรกลับถอยห่างออกจากเวทีแห่งการชิงอำนาจในสายตาของหานเจวี๋ยไปเสียแล้ว
นี่เป็นเรื่องของคุณสมบัติ!
หานเจวี๋ยไม่ต้องการต่อสู้แย่งชิงอันใด เพียงอยากซ่อนตัวฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจที่ไหนสักแห่ง คาดว่าศัตรูยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองก็คงถูกเขาแซงหน้าไปแล้ว
‘ก่อนที่มหาเคราะห์ครั้งต่อไปจะมาถึง ข้าต้องพิสูจน์มรรคให้ได้!’
หานเจวี๋ยกำหนดเป้าหมายให้ตัวเอง
เมื่อมหาเคราะห์ไร้สิ้นสุดเริ่มขึ้น กลไกสวรรค์จะถูกบดบัง อริยะลงสู่แดนมนุษย์ได้ เมื่อถึงเวลานั้น แดนเซียนมรรคาสวรรค์จะกลายเป็นสถานที่อันตราย!
หากพิจารณาจากอดีตที่ผ่านมา ยังอีกนานนักกว่าจะถึงมหาเคราะห์ไร้สิ้นสุดครั้งต่อไป ถึงอย่างไรวังเทพก็ผงาดขึ้นในช่วงที่มหาเคราะห์ไร้สิ้นสุดปิดฉากลง ต่อให้มีชื่อเสียงสะท้านโลกาเพียงใด ก็ยากที่จะพัฒนาขึ้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ
….
เจ็ดปีผ่านไป
ในที่สุดเกาะสำนักซ่อนเร้นก็เข้าสู่แดนเซียนแล้ว หานเจวี๋ยควบคุมเกาะสำนักซ่อนเร้นให้มุ่งหน้าต่อไป ขณะเดียวกันก็ใช้พลังจิตสังเกตการณ์ทุกอย่างรอบข้างไปด้วย
ผืนธรณีรกร้าง มองไม่เห็นสีเขียวเลยแม้แต่น้อย แอ่งโลหิตมากมายยังมิเหือดแห้งไป ขอบฟ้ามืดมน ไม่เห็นดวงตะวัน แลดูเปลี่ยวร้างและวังเวงยิ่งนัก
หานเจวี๋ยถอดถอนใจกับตัวเอง
ตลอดการเดินทางหลายวันมานี้ หานเจวี๋ยไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตใดเลย
ต้องทราบว่าความเร็วในการเคลื่อนที่ของเกาะสำนักซ่อนเร้นไม่นับว่าเชื่องช้าเลย หากปล่อยไว้ในอวกาศ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถโคจรรอบทางช้างเผือกได้แล้ว
และนี่เป็นครั้งแรกที่หานเจวี๋ยได้รับรู้อย่างแท้จริงว่าแดนเซียนกว้างใหญ่นัก กว้างไกลกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ ถึงขั้นเรียกได้ว่าไร้ขอบเขตสุดสายตา : เนื่องจากทันตอนล่าสุดตามต้นทางแล้วจึงเหลือวันละตอน
โลกที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้มีเหตุสังหารครั้งใหญ่ดำเนินอยู่หลายพันปี จนกระทั่งสิ่งมีชีวิตทั้งหมดสิ้นชีพไป ช่างน่าหวาดหวั่นโดยแท้
เกาะสำนักซ่อนเร้นเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ หานเจวี๋ยต้องการเสาะหาสถานที่ที่สะอาดหมดจดสักแห่งหนึ่ง
ส่วนเรื่องพลังวิญญาณ เขาไม่คิดกังวลเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย ทั่วทั้งแดนเซียนล้วนมิอาจเสาะหาสถานที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นยิ่งกว่าอาณาเขตเต๋าของเขาได้อีกแล้ว
เวลาผ่านไปถึงหนึ่งปีเต็ม ในที่สุดหานเจวี๋ยก็พบหุบเขาที่สะอาดหมดจดแห่งหนึ่ง กินพื้นที่นับล้านลี้ ป่าไม้ชอุ่ม เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ขาดเพียงร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
เกาะสำนักซ่อนเร้นร่อนลงภายในป่าผืนหนึ่ง เสมือนก้อนกรวดที่ร่วงหล่นลงกลางกองใบไม้ ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย
หานเจวี๋ยเดินออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน โบกมือขวาคราหนึ่ง เคลื่อนย้ายทุกคนออกจากอาณาเขตเต๋า แล้วเขาจึงตามออกไป
เมื่อชาวเผ่าเอกาและเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นร่อนลงภายในป่า ทั้งหมดล้วนตะลึงงัน
“ที่นี่คือแดนเซียน นับจากวันนี้ไป พวกเราจะลงหลักปักฐานกันที่นี่ พวกเจ้าอย่าได้ออกนอกพื้นที่ในรัศมีหนึ่งล้านลี้ ให้สร้างที่พักอาศัยอยู่ในละแวกนี้ เพื่อก่อตั้งเป็นหุบเขาสำนักซ่อนเร้น” หานเจวี๋ยเอ่ย เสียงแว่วเข้าสู่หูของของคนทั้งปวง
เมื่อวาจานี้ถูกเปล่งออกมา ทุกคนล้วนตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาทันที ในที่สุดก็กลับถึงแดนเซียนแล้ว
เหล่าศิษย์ที่ไม่เคยมาเยือนแดนเซียนต่างรู้สึกประหม่ากันอยู่บ้าง
หานเจวี๋ยกลับเข้าไปในเกาะสำนักซ่อนเร้นอีกครั้ง
[ท่านเลือกกลับสู่แดนเซียน ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น โอกาสเปิดใช้งานความสามารถใหม่ของระบบหนึ่งครั้ง]
[ระบบเปิดใช้งานความสามารถชำระล้างขั้นสมบูรณ์]
[ความสามารถชำระล้างขั้นสมบูรณ์: ช่วยชำระล้างปัจจัยเลวร้ายใดๆ ก็ตามในสมบัติวิเศษและสิ่งมีชีวิตตลอดจนขุมทรัพย์แห่งฟ้าดิน รวมไปถึงผลลัพธ์ทุกอย่างที่เกิดจากการปิดผนึกและคำสาปแช่งได้ โดยใช้อายุขัยเป็นการแลกเปลี่ยน]
หืม?
ชำระล้างหรือ
หานเจวี๋ยเหม่อลอยไปชั่วขณะ เช่นนี้คือ…
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยถามในใจ ‘ผลลัพธ์เลวร้ายใดๆ ก็สามารถใช้ได้หรือ หากว่าอริยะระดับมหามรรคสาปแช่งข้าหรือว่าใช้วิชาต้องห้ามอันใดกับข้า ข้าก็สามารถชำระล้างได้เช่นนั้นหรือ’
[ได้ ขอเพียงแลกเปลี่ยนด้วยจำนวนอายุขัยที่เท่าเทียม]
แบบนั้นก็ไม่เลวเลย
สิ่งที่หานเจวี๋ยมีอยู่มากก็คืออายุขัย
‘ลองใช้กับตัวข้าดูก่อนแล้วกัน’ หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ราคาไม่แตกต่างไปจากระบบวิวัฒนาการเลย หานเจวี๋ยยังพอรับได้
หากว่าการชำระล้างหนึ่งครั้งต้องการอายุขัยนับหมื่นล้านปี หรืออาจจะมากกว่านั้น เช่นนั้นจะคุ้มกันหรือ
กระแสความร้อนอันน่าประหลาดสายหนึ่งไหลเวียนอยู่ภายในร่างหานเจวี๋ย รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย คันยุบยิบอยู่บ้าง
สิบนาทีผ่านไป
[ชำระล้างเสร็จสิ้น สภาวะสมบูรณ์แบบ]
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา ไม่ศึกษาความสามารถนี้ต่อแล้ว
ชิ้นส่วนมหามรรคของเขารวบรวมครบเก้าชิ้นแล้ว ต่อไปก็เริ่มผสานรวมเข้าด้วยกันได้แล้ว!
เขาหยิบชิ้นส่วนมหามรรคทั้งเก้าชิ้นออกมา เริ่มผสานรวม
ครั้งนี้เป้าหมายของเขาคือก่อตั้งมหามรรคของเขาเอง!
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
ชิ้นส่วนมหามรรคทั้งเก้าผสานรวมกัน หานเจวี๋ยเริ่มเข้าสู่ภาวะตระหนักรู้มหามรรค
แรงบันดาลใจและความคิดน่าอัศจรรย์อันไร้ที่สิ้นสุดผุดขึ้นในสมองของเขา เขาธำรงความคิดนี้เอาไว้ตลอด
มหามรรคใหม่!
….
ภายในหุบเขา เขาทุกลูกทอดยาวเชื่อมต่อกัน เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นและชาวเผ่าเอกาต่างจับกลุ่มตระเวนไปทั่ว
ในบรรดานั้น จ้าวเซวียนหยวน เต้าจื้อจุนและเจียงอี้เดินไปด้วยกันอย่างไร้จุดมุ่งหมาย เตร็ดเตร่ไปเรื่อยเปื่อย
ในอดีตทั้งสามต่างเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งจากกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ พูดจาประสาเดียวกัน ดังนั้นจึงสนิทสนมกัน
“แรงกรรมแห่งฟ้าดินสลายไปแล้ว มหาเคราะห์สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงแล้ว” เต้าจื้อจุนสะเทือนใจอย่างยิ่ง
เขาเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นช้าที่สุด ยามที่เขาจากไป แรงกรรมแห่งฟ้าดินเข้มข้นจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ราวกับไฟโลกันต์แห่งปรโลก
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โชคดีที่พวกเราเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น มิเช่นนั้นจะได้รับดวงชะตามหาจักรพรรดิไร้สิ้นสุดได้อย่างไร”
เจียงอี้เหลียวซ้ายแลขวา ตัดอารมณ์หม่นหมองของคนทั้งสองลงด้วยการเอ่ยว่า “บริเวณนี้คล้ายว่าจะไม่ธรรมดาเลย รู้สึกคล้ายกับว่าเคยมาเยือนที่นี่แล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวเซวียนหยวนและเต้าจื้อจุนก็เริ่มสังเกตอย่างละเอียดเช่นกัน
ผ่านไปสักพักหนึ่ง
จู่ๆ เต้าจื้อจุนก็เอ่ยขึ้นด้วยความตระหนก “ที่นี่คล้ายว่าจะเป็นอาณาเขตเก่าของเผ่ากิเลน มิน่าเล่าทิวเขาในแถบนี้จึงไม่ได้รับผลกระทบเลย เป็นไอมงคลของเผ่ากิเลนที่สกัดกั้นแรงกรรมแห่งฟ้าดินเอาไว้”
เจียงอี้ถามด้วยความฉงน “เหตุใดจึงไม่เห็นกิเลนสักตัวเลยเล่า”
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยคล้อยตาม “หรือจะสิ้นชีพไปหมดแล้ว”
เปลือกตาเต้าจื้อจุนและเจียงอี้กระตุกไม่หยุดแล้ว
ตบะของพวกเขาล้วนไม่อ่อนด้อย เมื่อใช้จิตสัมผัสตรวจหาภายในรัศมีไม่เกินหนึ่งล้านลี้ นอกจากสำนักซ่อนเร้นแล้ว พวกเขาก็ตรวจจับร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นไม่ได้เลย
พวกเขาพลันนึกถึงความเป็นไปได้อันน่าหวาดหวั่นอย่างหนึ่งขึ้นมา
คงมิใช่ว่าสรรพสิ่งในแดนเซียนล้วนวอดวายไปหมดสิ้นแล้วกระมัง
พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสามดีดเท้าเหาะขึ้นไป เริ่มตรวจสอบดูทั่วทั้งสี่ทิศ
หานเจวี๋ยไม่อนุญาตให้พวกเขาออกนอกรัศมีหนึ่งล้านลี้ แต่พวกเขาสามารถสำแดงพลังวิเศษแยกร่าง ให้ร่างแยกออกไปตรวจสอบได้
หนึ่งปีผ่านไป
ทั้งสามก็ได้ข้อสรุปว่า
สิ่งมีชีวิตใต้ร่มมรรคาสวรรค์สูญสิ้นหมดแล้วจริงๆ!
อย่าว่าแต่ในรัศมีหนึ่งล้านลี้เลย ร่างแยกของพวกเขาตระเวนไปทั่วแผ่นดินก็ไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตใดสักชนิดเลย
พวกเขานำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวต่อชาวสำนักซ่อนเร้นคนอื่นๆ เป็นเหตุให้ทุกคนในสำนักซ่อนเร้นพากันตื่นตะลึงไปเช่นกัน
หลังจากสะเทือนใจกันอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มรู้สึกโชคดีที่ได้ติดตามหานเจวี๋ย
หากมิได้ติดตามบำเพ็ญเพียรกับหานเจวี๋ย เกรงว่าพวกเขาก็คงสิ้นชีพในมหาเคราะห์เช่นเดียวกัน
………………………………………………………………