ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 472 หมื่นโลกาฉายชัด ถ่ายทอดมรรค
บทที่ 472 หมื่นโลกาฉายชัด ถ่ายทอดมรรค
[หนึ่ง ช่วงชิงโชควาสนา สร้างชื่อก้องแดนเซียน กลายเป็นตำนานเล่าขานหมื่นชาติมิรู้คลาย จะได้รับโอกาสยกระดับระบบหนึ่งครั้ง]
[สอง รักษาเจตนาเดิม เก็บตัวบำเพ็ญ จะได้โอกาสเปิดใช้งานความสามารถใหม่ของระบบหนึ่งครั้ง]
ยกระดับระบบ!
ความสามารถใหม่ของระบบ!
สมกับที่อายุครบหมื่นปี นับว่ายอดเยี่ยมอยู่
หานเจวี๋ยอยากเลือกข้อแรกยิ่งนัก แต่อันตรายเกินไป ไม่เหมาะกับเขา
อีกทั้งระบบก็ไม่สามารถทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้ ระดับตบะยังคงขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
ก่อนที่จะไร้พ่ายอย่างสมบูรณ์ ไม่อาจหลงระเริงได้
หานเจวี๋ยเลือกข้อที่สองอย่างเงียบเชียบ
[เปิดใช้งานความสามารถใหม่ของระบบ…หมื่นโลกาฉายชัด]
[หมื่นโลกาฉายชัด: ท่านสามารถเลือกดึงจิตรับรู้ของบุคคลใดก็ได้เข้าสู่มิติภาพเสมือนจริงที่ระบบสร้างขึ้น ไม่ว่าตัวสมาชิกจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถติดต่อพูดคุยและส่งมอบสมบัติวิเศษผ่านมิติภาพเสมือนจริงได้ หมื่นโลกาฉายชัดปิดกั้นบ่วงกรรมและการสอดแนมด้วยจิตรับรู้ ระดับการป้องกันเทียบเท่ากับการป้องกันของอาณาเขตเต๋า]
หืม?
กรุ๊ปแชทหมื่นโลกาสินะ
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว รู้สึกว่าความสามารถนี้ออกจะกระจอก
อย่างไรก็ตามเขาสังเกตพบจุดหนึ่ง สามารถส่งมอบสมบัติวิเศษได้…หากมีศิษย์ที่สู้ศัตรูไม่ได้ก็ส่งมอบสมบัติวิเศษให้เพื่อเสริมกำลังรบได้
แต่หากเป็นเช่นนี้ สมบัติวิเศษจะถูกปลดไปหรือไม่
หานเจวี๋ยไม่ได้ลองใช้หมื่นโลกาฉายชัดในทันที เขานึกถึงความสามารถชำระล้างสมบูรณ์ ความสามารถใหม่ของระบบที่เพิ่งเปิดใช้งานครั้งก่อน
สิ่งนี้ถูกพับเก็บไว้มาโดยตลอด ยังไม่ได้ใช้งาน
‘หากข้าใช้ความสามารถชำระล้างสมบูรณ์กับซูฉี จะขจัดความโชคร้ายของเขาออกไปได้หรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ร่างของซูฉีคือร่างแปลงแห่งความโชคร้าย ไม่อาจขจัดความโชคร้ายออกไปได้ แต่สามารถขจัดแรงกรรมมรรคาสวรรค์บนตัวเขารวมถึงปัจจัยความผันผวนของโชคร้ายทิ้ง ช่วยให้เขาควบคุมโชคร้ายอย่างสมบูรณ์แบบได้]
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว
หากซูฉีควบคุมความโชคร้ายได้ เช่นนั้นตบะจะก้าวหน้ามหาศาลในระยะเวลาสั้นๆ แน่นอน
หานเจวี๋ยใช้ความสามารถชำระล้างสมบูรณ์กับซูฉี ซูฉีถูกกักตัวไว้ในจักรวาลโลกดารา ไม่จำเป็นต้องปล่อยเขาออกมา หานเจวี๋ยสามารถใช้ความสามารถตรงๆ ได้เลย
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[เริ่มชำระล้าง]
หานเจวี๋ยเปิดใช้หมื่นโลกาฉายชัดต่อ เขาสร้างโลกเสมือนจริงขึ้นมาก่อน
ทันใดนั้น เขาบังเกิดความคิดอย่างหนึ่ง
ตำหนักใหญ่มืดสลัวหลังหนึ่งปรากฏขึ้นมา หานเจวี๋ยนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ตรงหน้ามีเก้าอี้หรูหราจัดวางอยู่สองแถว ด้านนอกหน้าต่างของตำหนักคือหมู่ดาวพราวระยับ
ขอบเขตฉากภาพเสมือนจริงไม่ใหญ่นัก มีเพียงตำหนักหลังนี้ ใช้สื่อสารพูดคุยกับเหล่าศิษย์ตามปกติได้ก็เพียงพอแล้ว
หานเจวี๋ยเชิญศิษย์สำนักซ่อนเร้นทั้งหมดที่อยู่ในอาณาเขตเต๋าเข้าสู่โลกเสมือนจริง หัวหน้าเผ่าเอกาก็มาด้วย
หัวหน้าเผ่าเอกานามว่าหานโยว มีตบะระดับจักรพรรดิเซียนแล้ว
เมื่อทุกคนมาถึงตำหนักหมื่นโลกา ทั้งหมดล้วนตกตะลึง
สิงหงเสวียน เซียนซีเสวียน และฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็ถูกดึงตัวมาด้วย ถึงอย่างไรพวกนางก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักซ่อนเร้น
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องอยู่ที่ร่างหานเจวี๋ย เมื่อเห็นหานเจวี๋ย พวกเขาก็หายกังวลในทันที
ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยถามเป็นตัวแรก “นายท่าน ที่นี่คือที่ไหน”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือพลังวิเศษของข้า หมื่นโลกาฉายชัด วันหน้าไม่ว่าพวกเจ้าไปที่ใด ล้วนสามารถดึงจิตรับรู้เข้าสู่ที่นี่เพื่อติดต่อสื่อสารและส่งมอบสมบัติวิเศษได้”
จ้าวเซวียนหยวนเบิกตากว้าง เอ่ยถาม “ที่นี่มิใช่อาณาเขตฟ้าบุพกาลหรือขอรับ”
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเต้าจื้อจุน
เต้าจื้อจุนถอนหายใจแล้วกล่าววาจา “อาจารย์ก็คืออาจารย์ ไม่น่าเชื่อว่าจะรังสรรค์พลังวิเศษเช่นนี้ออกมาได้ พวกเราไร้อำนาจจะต้านทาน”
เมื่อครู่พวกเขายังไม่ทันรู้ตัว จิตรับรู้ก็ถูกดึงเข้าสู่ตำหนักหมื่นโลกาแล้ว
“หากภายหน้าพวกเราออกไปข้างนอกแล้วเผชิญกับปัญหายุ่งยากจะได้ช่วยเหลือได้สะดวกใช่หรือไม่”
“เจ้าจะไปรู้อันใดเล่า ปรมาจารย์เต๋าต่างชมชอบทำเช่นนี้”
“เหลวไหล ชมชอบอะไรกัน!”
“นี่ก็คืออาณาเขตฟ้าบุพกาลที่พวกเจ้ากล่าวถึงหรือ”
“ภายหน้าหากข้าเกิดเรื่องขึ้น พวกเจ้าก็ส่งสมบัติวิเศษมาให้ข้ายืมด้วยล่ะ”
ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใหม่อย่างยิ่ง พูดคุยกันไม่หยุด
หานเจวี๋ยออกจากตำหนักหมื่นโลกา
ภายหน้าหากเหล่าศิษย์อยากเข้ามา เพียงนึกก็สามารถมาได้แล้ว
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังจะบำเพ็ญต่อ เสียงของสิงหงเสวียนก็แว่วมาจากนอกอารามเต๋า “ท่านพี่ ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
หานเจวี๋ยตอบ “เข้ามาเถอะ”
บัดซบ
ภรรยาคนนี้หิวกระหายอีกแล้วหรือ
สิงหงเสวียนเดินเข้ามาในอารามเต๋า นางนั่งลงข้างๆ หานเจวี๋ย เอ่ยว่า “ท่านพี่ ช่วงนี้ข้าพบอุปสรรคในการฝึกบำเพ็ญ รู้สึกว่าไม่ว่าจะฝึกบำเพ็ญอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ คล้ายว่าวิชายุทธ์จะไม่ได้เรื่อง ในอดีตอาจารย์ของข้าที่เผ่ามนุษย์บอกว่า วิชายุทธ์แขนงนี้จำต้องฝึกมหามรรคด้วย แต่ข้าไม่รู้มหามรรคใดๆ เลย”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ข้าจะถ่ายทอดมหามรรควิถีหนึ่งให้แก่เจ้าเอง”
สิงหงเสวียนยินดีปรีดา โผเข้าใส่อ้อมแขนของหานเจวี๋ยทันที
หานเจวี๋ยมีความคิดอยู่นานแล้ว เขาเตรียมจะถ่ายทอดมหามรรคเอกอุบัติให้แก่ศิษย์ทั้งหมดในสำนักซ่อนเร้น
ถึงแม้เขายังจำเป็นต้องทำความเข้าใจมหามรรคเอกอุบัติเพิ่ม แต่มหามรรคเอกอุบัติคือสิ่งที่เขาสรรค์สร้างขึ้น ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่ฝึกฝนมหามรรคเอกอุบัติ ขณะที่แข็งแกร่งขึ้นล้วนจะส่งผลดีต่อตัวผู้สรรค์สร้างมหามรรคขึ้นเช่นกัน
และมีผลในทางกลับกันด้วย
เป็นอย่างที่กล่าวกันว่า หนึ่งคนบรรลุธรรมบริวารพลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงแสดงธรรมแห่งกรรม นอกจากผลกุศลแล้ว ยังทำเพื่อมรรควิถีของตนด้วย
หานเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่ามหามรรคเอกอุบัติของคนอื่นจะเหนือไปกว่าของตน มหามรรคแตกต่างจากวิชายุทธ์หรือพลังวิเศษ หากว่าสิ่งมีชีวิตฝึกบำเพ็ญมหามรรคล้วนจะเป็นการปูทางไว้ให้แก่เขา เขาจะเก่งกาจยิ่งกว่าผู้ที่ฝึกบำเพ็ญมหามรรคเอกอุบัติเสมอไป
การถ่ายทอดมหามรรคมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
หานเจวี๋ยชี้ทางเบิกปัญญาถ่ายทอดแก่สิงหงเสวียน ใช้เวลาไปสามสิบปี
หลังถ่ายทอดเสร็จสิ้น ทั้งสองเสพสุขกันอยู่หนึ่งเดือน สิงหงเสวียนถึงได้จากไป กลับไปยังสถานที่บำเพ็ญของตน
ในเวลานี้ ซูฉีถูกชำระล้างเรียบร้อยแล้ว แต่หานเจวี๋ยมิได้ปลดปล่อยวิญญาณของเขาออกมาในทันที
หานเจวี๋ยอยู่ว่างๆ จึงเริ่มตรวจดูจดหมาย
[หวงจุนเทียนสหายของท่านรับฟังธรรมจากอริยะ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[ฉิวซีไหลสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากอริยะ] x2
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านตระหนักรู้มรรคาสวรรค์ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านค้นพบวังเทพบรรพกาล ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เสวียนเอ้าศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]
[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับการสะกดข่มจากจากเจ้าแห่งมหาเคราะห์โบราณ]
[เจียงตู๋กูสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากอริยะ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
….
ช่างจืดชืดไร้รสชาติ ล้วนเป็นจดหมายแจ้งว่าได้รับโอกาสวาสนาทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามเมื่อหานเจวี๋ยเห็นหวงจุนเทียน กลับนึกสนใจขึ้นมา
ครานั้นส่งหวงจุนเทียนไปที่นิกายเจี๋ย ไม่เคยคิดเลยว่าคนผู้นี้จะไต่เต้าขึ้นมาถึงตำแหน่งรองเจ้านิกายได้
ลองติดต่อดูหน่อยดีหรือไม่นะ
หานเจวี๋ยติดสินใจว่าจะเข้าฝันหวงจุนเทียน
ไม่ช้า ทั้งสองก็เข้าสู่แดนความฝัน ฉากในแดนความฝันคือภูเขานอกสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์
หานเจวี๋ยไปพบหวงจุนเทียนด้วยรูปลักษณ์จริง ทว่าแสงเทพจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราทำให้หวงจุนเทียนไม่อาจจดจำเขาได้ในทันที
“ระยะนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ขณะหวงจุนเทียนกำลังตื่นตระหนก หานเจวี๋ยก็เอ่ยถาม
ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ หวงจุนเทียนพลันรู้สึกปรีดาอย่างยิ่ง
ในช่วงที่ฝึกบำเพ็ญหวงจุนเทียนฝันว่าได้กลับสู่โลกเมฆาแดงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ในที่สุดก็ได้พบหานเจวี๋ยแล้ว แม้จะเป็นเพียงความฝัน หวงจุนเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
ช้าก่อน!
หรือนี่จะเป็นการหลอกลวง
หวงจุนเทียนขมวดคิ้ว
หานเจวี๋ยมองความคลางแคลงของเขาออก จึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “วางใจเถิด แดนความฝันแห่งนี้มีเพียงข้าและเจ้า อริยะก็ไม่อาจสอดแนมได้ เจ้าไปอยู่ที่นิกายเจี๋ยก็เพราะได้รับคำสั่งจากข้าไม่ใช่หรือ”
ค่าความประทับใจที่หวงจุนเทียนมีต่อเขาไม่เคยลดลงเลย แปลว่าไว้ใจได้
ความฝันอันธการไม่มีทางถูกคนนอกสอดแนมอย่างแน่นอน
เมื่อหวงจุนเทียนได้ยินก็พลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เขาฝืนระงับความยินดีไว้พลางเอ่ยว่า “ในที่สุดท่านก็มาหาข้าแล้ว! ยามไหนข้าถึงจะกลับไปอยู่ข้างกายท่านได้ขอรับ ข้าเกรงว่าหากอยู่ต่อไป ข้าจะได้ขึ้นเป็นเจ้านิกาย!”
………………………………………………………………