ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 482 หากยังไม่บรรลุครึ่งอริยะ ห้ามออกไปจากหุบเขา
บทที่ 482 หากยังไม่บรรลุครึ่งอริยะ ห้ามออกไปจากหุบเขา
ในขณะที่กู่จั๋วอินกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าเบื้องล่างก็เริ่มปั่นป่วนขึ้นมา
สิ่งมีชีวิตส่วนหนึ่งที่พูดภาษามนุษย์ได้เริ่มพูดคุยกันเอง และปลุกระดมพวกพ้อง ไม่ยอมรับการเป็นผู้นำของกู่จั๋วอิน
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มสั่นคลอน กู่จั๋วอินก็แค่นเสียงเย็นออกมา
เสียงนั้นเป็นดั่งค้อนหนักๆ ที่ทุบลงกลางใจของเหล่าสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้า
ร่างของกู่จั๋วอินเริ่มบิดเบี้ยวและสูงขึ้นๆ ราวกับภูเขายักษ์ที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เขาขยายร่างขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสูงเสียดฟ้า
สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าในดินแดนรกร้างเบื้องหน้าของกู่จั๋วอินดูเล็กกระจ้อยร่อยไปทันที
เต่ายักษ์ที่ตะโกนขึ้นมาก่อนหน้านี้ หุบปากเงียบด้วยความตกใจ พร้อมกับตัวสั่นงันงก
กู่จั๋วอินหันหน้ามองออกไป สายตาทะลุผ่านชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
“ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าบังอาจมาขวางทางพิสูจน์มรรคของข้า!”
กู่จั๋วอินพึมพำกับตนเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่น
มหาเคราะห์ยังมาไม่ถึง อริยะไม่อาจเข้ามาในแดนเซียน เขาจึงเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สุดในโลก
…
ห้าสิบปีต่อมา
จักรพรรดินีผืนพิภพเข้าฝันหานเจวี๋ย
เมื่อหานเจวี๋ยเข้าสู่แดนความฝันแล้ว ซึ่งเป็นบริเวณริมแม่น้ำปรโลก จักรพรรดินีผืนพิภพไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา รีบพูดถึงจุดประสงค์ของนางทันที
ระเบียบวัฏสงสารเพิ่งได้รับการฟื้นฟู เนื่องจากพลังวิเศษทำลายมรรคา ทำให้เมืองนรกในยมโลกถูกทำลายไปจนเกือบหมด จักรพรรดินีผืนพิภพต้องการรับทหารผีและเทพภูตสำหรับเมืองนรก แต่นางไม่ไว้ใจกลุ่มอิทธิพลอื่น จึงไหว้วานขอให้หานเจวี๋ยช่วยเหลือ
หานเจวี๋ยรู้สึกระแวงขึ้นมาในใจ
เขาแสร้งทำท่าทางลำบากใจ “คงไม่ดีกระมัง สำนักซ่อนเร้นของพวกข้าต้องการฝึกบำเพ็ญอย่างสงบ ไม่อยากเข้าสู่เคราะห์ เผ่าเอกาที่สร้างขึ้นก็เพื่อที่จะไม่เข้าสู่เคราะห์ หลังผ่านมาหลายปี หากข้าไล่ให้พวกเขาออกมา พวกเขาคงไม่ยินยอม”
จักรพรรดินีผืนพิภพกล่าว “ลองดูก่อน ข้าไม่ได้ให้พวกเขาเข้าสู่เคราะห์ เพียงแต่ขอให้ช่วยจัดระเบียบยมโลกเท่านั้น”
หานเจวี๋ยถาม “เหตุใดองค์จักรพรรดินีไม่ร่วมมือกับวังสวรรค์เล่า? ศิษย์หลานของข้าเป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์ ตอนนี้จักรพรรดิสวรรค์กำลังอ่อนแอ ต้องการพันธมิตรอยู่พอดี”
“ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว”
จักรพรรดินีผืนพิภพครุ่นคิด ทำให้หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
รอดตัวไป!
หานเจวี๋ยกลัวว่าจักรพรรดินีผืนพิภพจะเปลี่ยนใจ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “องค์จักรพรรดินี ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเผ่าบรรพกาล”
“กู่จั๋วอินเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง แต่เขาจะทำสำเร็จตามแผนที่วางไว้หรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ว่าเขาจะนำเผ่าบรรพกาลอย่างไร กลุ่มอิทธิพลต่างไม่มีทางอยู่เฉยรอความตายเป็นแน่ ไม่ช้าสงครามก็ต้องปะทุขึ้นในแดนเซียน เมื่อมีสงครามก็ต้องมีคนตาย นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ข้ามาขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
จักรพรรดินีผืนพิภพกล่าวเช่นนั้น หานเจวี๋ยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ทำไมวนกลับไปเรื่องเดิมอีกแล้วเล่า
และแล้วจักรพรรดินีผืนพิภพก็เริ่มระบายความอัดอั้น ว่าวัฏจักรนั้นสำคัญเพียงใด และกำลังคนของตนก็กำลังขาดแคลนอย่างหนัก
หานเจวี๋ยเองก็ระบายความขมขื่นในใจออกมาเช่นกัน ว่าการเพียรบำเพ็ญนั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่นิด และต้องทุกข์ทนกับความโดดเดี่ยว ทันทีที่ออกจากการบำเพ็ญ ก็จะถูกความโลภในพลังอำนาจเข้าครอบงำ ต้องพุ่งทะยานขึ้นไปจากจุดต่ำสุด ไม่อาจหวนคืนสู่สภาพที่ทนทุกข์บำเพ็ญเพียรได้อีก
เวลาผ่านไปนาน
เมื่อทั้งสองเสร็จสิ้นบทสนทนาแล้ว แดนความฝันก็สิ้นสุดลง
ภายในอารามเต๋า หานเจวี๋ยหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมา และเริ่มติดต่อกับฟางเหลียง
เมื่อฟางเหลียงได้ยินว่าเขาต้องร่วมมือกับจักรพรรดินีผืนพิภพ เขาก็ตอบตกลงทันที วังสวรรค์กำลังต้องการพันธมิตรที่พึ่งพาได้อยู่พอดี
โครงสร้างของเผ่าสวรรค์นั้นซับซ้อน แม้แต่จี้เซียนเสินก็ไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ วังสวรรค์ยังต้องการอำนาจอื่นมาคอยสนับสนุน
จักรพรรดินีผืนพิภพไม่ใช่อริยะมรรคาสวรรค์ก็จริง แต่ก็แข็งแกร่งเทียบเท่ากับอริยะ เหมาะสมกับวังสวรรค์ยิ่งนัก
ฟางเหลียงรู้สึกขอบคุณหานเจวี๋ยอย่างมาก ทั้งยังเข้าใจว่าหานเจวี๋ยกำลังช่วยเขากรุยทาง ส่วนหานเจวี๋ยนั้นก็ขี้คร้านเกินกว่าจะอธิบายสถานการณ์ใดๆ
เมื่อวางป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ลง หานเจวี๋ยก็ขมวดคิ้วแน่น
ไม่ได้การแล้ว!
ถึงคราวแสดงธรรมครั้งต่อไปคงต้องสั่งสอนเรื่องตรรกะความคิดอย่างอื่นให้กับชาวสำนักซ่อนเร้นบ้างแล้ว จะได้ไม่ถูกดึงดูดโดยโลกีย์
…
สองร้อยปีต่อมา หานเจวี๋ยเริ่มแสดงธรรม
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หลงเฮ่า และเฮ่าเทียนได้ฟังธรรมจากหานเจวี๋ย ทั้งสองจึงคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง
ไม่กี่วันให้หลัง เฮ่าเทียนก็ต้องตกตะลึง
หานเจวี๋ยกำลังเทศนาถึงมหามรรค!
มีเพียงอริยะเท่านั้นที่จะเทศนาเรื่องมหามรรคได้!
เป็นไปดังคาด!
เขาต้องเป็นศิษย์เต๋าโบราณเทียบเท่ากับปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเป็นแน่!
เฮ่าเทียนรู้สึกตื่นเต้น จึงตั้งใจสดับมรรคอย่างจดจ่อ
ก่อนหน้านี้เขาเคยฟังมหามรรคกับอริยะมาก่อน และยังเคยฝึกตบะมหามรรคมาก่อนเช่นกัน แต่กลับทำไม่สำเร็จ ก่อนที่เขาจะตาย ตบะของเขาหยุดชะงัก ความคืบหน้าในการบรรลุมรรคก็มีไม่มาก
ฟังไปฟังมา เฮ่าเทียนก็ต้องประหลาดใจที่ได้พบว่ามหามรรคของหานเจวี๋ยนั้นฟังเข้าใจง่ายกว่ามหามรรคที่เหล่าอริยะเทศนาเสียอีก
ไม่เพียงแต่จะเข้าใจได้ง่าย แต่ยังล้ำลึกสุดหยั่งถึงอีกด้วย
ความรู้สึกขัดแย้งนี้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน!
หานเจวี๋ยต้องเป็นบุคคลที่อยู่เหนือกว่าอริยะมรรคาสวรรค์อย่างแน่นอน!
ต่อไปต้องเกาะติดสำนักซ่อนเร้นเอาไว้ให้มั่น!
เฮ่าเทียนตัดสินใจอย่างเงียบๆ
ตอนนี้เขาไม่เหลือความปรารถนาในอำนาจอีกต่อไป เขาต้องการเพียงพิสูจน์มรรคเท่านั้น
ขอเพียงมีความหวัง ไม่ว่าอะไรเขาก็ทำได้ทั้งนั้น!
การแสดงธรรมครั้งนี้กินเวลายาวนานถึงหนึ่งร้อยปี
หลังจากการแสดงธรรมสิ้นสุดลง ทุกคนต่างก็อยู่ในภวังค์ความเคลิบเคลิ้ม ไม่อาจฟื้นคืนสติได้อยู่นาน
การจมจ่อมในมหามรรคนั้น ช่างแสนสุขสบายเหลือเกิน!
เป็นความสบายใจที่ไม่อาจหาได้จากประสบการณ์ใดๆ ในโลก!
หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากจะดำดิ่งอยู่ในนั้นไปตลอดกาล
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็ส่งเสียงตวาดลั่นราวกับฟ้าผ่าออกมา ปลุกทุกคนให้ตื่นจากภวังค์
ทันใดนั้นรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวก็ปะทุออกมาจากร่างของเขา สั่นสะเทือนไปทั่วอาณาเขตเต๋า ร่างจำลองเทพมารทั้งเก้าตนปรากฏออกมาเหนือศีรษะของเขา รูปร่างสูงใหญ่บดบังท้องฟ้า ดูสง่างามและน่าเกรงขาม
ทุกคนมองไปยังร่างจำลองเทพมารด้วยความมึนงง
พวกเขาต่างรู้ดีว่าหานเจวี๋ยมีพลังวิเศษดังกล่าว ซึ่งเป็นฝันร้ายในแบบจำลองการทดสอบของพวกเขา ไม่มีใครต้านทานร่างจำลองเทพมารได้
อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นร่างจำลองเทพมารทั้งเก้าปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน
เฮ่าเทียนจ้องมองเทพมารทั้งเก้าจนตาค้าง พลันนึกถึงสิบสองจอมเวทบรรพชนเมื่อนานมาแล้วขึ้นมา
ความองอาจของสิบสองจอมเวทบรรพชนยังเทียบไม่ได้กับภาพที่อยู่ตรงหน้า
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้น “มรรคาสวรรค์ได้เริ่มต้นขึ้นใหม่เป็นเวลาหลายพันปี ไม่นานมานี้เผ่าบรรพกาลได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกกระวนกระวายใจ อยากจะออกไปแสวงหาโชคชะตาเอาดาบหน้า”
“วันนี้ ข้าจะตั้งกฎให้กับพวกเจ้าหนึ่งข้อ หากยังไม่บรรลุครึ่งอริยะ ก็อย่าหวังจะได้ออกไปจากเขตเซียนร้อยคีรี เว้นเสียแต่จะได้รับคำสั่งจากข้า”
ทันทีที่สิ้นคำ ทุกคนก็ตะลึงงัน
“ครึ่งอริยะ!”
เฮ่าเทียนตกตะลึง มีศิษย์มากมายถึงเพียงนี้คิดจะให้บรรลุเป็นครึ่งอริยะทั้งหมดเลยหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไร!
เดี๋ยวก่อน!
ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว!
สำนักซ่อนเร้นมีจักรพรรดิเซียนกว่าหนึ่งหมื่นคน เมื่อรวมกับพลังมรรคอันน่าสะพรึงกลัวของหานเจวี๋ยเข้าไป…
เฮ่าเทียนตกใจ นี่เขาเข้าร่วมระบบเต๋าแบบไหนกันแน่
เขาสังเกตว่าเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นแม้จะถูกจำกัดควบคุม แต่ดวงตาของพวกเขาก็ลุกโชนเต็มเปี่ยมไปความมั่นใจ
นับตั้งแต่หานเจวี๋ยได้สร้างมหามรรคต้นกำเนิดขึ้นมา ทุกคนในสำนักซ่อนเร้นล้วนแต่ทะลวงระดับขึ้นไปไม่หยุดด้วยการแสดงธรรมของเขา รวมถึงผู้ที่มีคุณสมบัติสุดแสนธรรมดาอย่างเซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ด้วย
เมื่อเวลาผ่านไปเหล่าศิษย์เกือบทั้งหมดก็ลืมไปแล้วว่าการบำเพ็ญมีพันธนาการอยู่
พวกเขาเชื่อว่าการฝึกบำเพ็ญไปกับหานเจวี๋ยนั้น จะทำให้พวกเขาบำเพ็ญจนทะลวงสู่จุดสูงสุดได้!
“ข้าจะเป็นหนึ่งในศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นที่บรรลุระดับครึ่งอริยะ อาจารย์โปรดวางใจ ใครคิดจะออกไป ข้าจะช่วยท่านสั่งสอนพวกมันเอง!” เต้าจื้อจุนกล่าวออกมาอย่างอวดดี
ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยกระแนะกระแหน “ทำตัวราวกับเป็นศิษย์พี่ใหญ่ไปได้ อายุมากกว่าพวกข้าแค่ไม่กี่ปีเองไม่ใช่หรือ หากมองในแง่ของคุณสมบัติ เจ้าไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดหรอก!”
คนอื่นๆ ต่างเห็นพ้องต้องกัน ส่วนใหญ่พากันหัวเราะออกมา ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายลง
หานเจวี๋ยหายตัวไปในพริบตา กลับไปฝึกบำเพ็ญในอารามเต๋า
…
หลังจากหานเจวี๋ยตั้งกฎว่าหากไม่ใช่ครึ่งอริยะก็ห้ามออกไปจากหุบเขา นับแต่นั้นเป็นต้นมาสายลมแห่งการบำเพ็ญก็พัดมาสู่สำนักซ่อนเร้น
ขณะเดียวกันสิ่งมีชีวิตรอบเขตเซียนร้อยคีรีนับวันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มีแม้กระทั่งอสูรกายที่ต้องการบุกรุกเข้ามาในเขตเซียนร้อยคีรี แต่ก็ถูกค่ายกลกันออกไป
ภายในชั่วพริบตา
เวลาก็ผ่านไปอีกแปดสิบปี
อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีคนผู้หนึ่งมาเยือนเขตเซียนร้อยคีรี เขาทอดสายตามองออกไปยังเทือกเขาอันแสนกว้างใหญ่ไพศาลพลางขมวดคิ้ว
คนผู้นี้คือเจียงตู๋กู
“สุดจะคาดเดาได้จริงๆ”
เจียงตู๋กูพึมพำกับตนเอง เขานึกถึงอาณาเขตเต๋าลึกลับที่เคยพบในแดนชำระบาปเก้าขุม ระหว่างช่วงมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตก่อนหน้านี้ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
………………………………………………..