ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 491 ข้ามนภามาสู่แดนดิน ผู้ทรงพลังมาขอหลบภัย
บทที่ 491 ข้ามนภามาสู่แดนดิน ผู้ทรงพลังมาขอหลบภัย
หลังจากขบคิดมาหลายวัน ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ตัดสินใจได้
“นับแต่นี้ไป นอกจากศิษย์สำนักซ่อนเร้น สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าให้เรียกแทนตนเองว่าศิษย์ในนาม หลังจากนี้ไปสามารถเข้ามาคารวะอาจารย์ได้ด้วยตนเอง และฝากตัวเป็นศิษย์สำนักซ่อนเร้น เผ่าเอกาให้เรียกตนว่าเลิศเอกา มีความหมายมาจากต้าหลัวแห่งเผ่าเอกา ตามวิสัยทัศน์ที่ข้าวางเอาไว้ คนในเผ่าทุกคนมีศักดิ์เทียบเท่าศิษย์สำนักซ่อนเร้น ผู้นำเผ่าหานโยวมีศักดิ์เทียบเท่าศิษย์รุ่นสองของสำนักซ่อนเร้น”
เสียงของหานเจวี๋ยดังกึกก้องไปทั่วอาณาเขตเต๋า ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ได้ยินพากันตื่นเต้นไม่หยุด
เข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นได้แล้ว!
ศิษย์สำนักซ่อนเร้นรุ่นที่สองเช่นสวินฉางอัน ถูหลิงเอ๋อร์ หลงเฮ่า รุ่นที่หนึ่งไม่นับเป็นศิษย์ มีเพียงหานเจวี๋ยเท่านั้นที่นับเป็นรุ่นที่หนึ่ง
ทันใดนั้น ทั้งสำนักซ่อนเร้นก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที บรรดาผู้ที่มีฐานะคลุมเครือ บัดนี้ก็ได้รับความกระจ่างชัดแล้ว
ไม่ใช่เพียงสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าเท่านั้นที่ตื่นเต้นและตั้งตาคอย เผ่าเอกาเองก็ดีใจไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้พวกเขามักจะนอบน้อมถ่อมตนกับศิษย์สำนักซ่อนเร้นอยู่เสมอ สาเหตุหลักเป็นเพราะหานเจวี๋ยไม่เคยให้สถานะกับพวกเขา
ตอนนี้ค่อยดีขึ้นมาหน่อย หานโยวมีศักดิ์เท่ากับเป็นศิษย์ของหานเจวี๋ย หลังจากนี้สามารถเสนอความเห็นต่อหน้าหานเจวี๋ยได้ เผ่าเอกาทั้งเผ่าเองก็นับว่าเป็นศิษย์สำนักซ่อนเร้นด้วยเช่นกัน
หานเจวี๋ยได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีมาจากภายนอก ก็อดที่จะรู้สึกสุขใจไม่ได้
ดูเหมือนว่าปกติเขามักจะละเลยอะไรหลายๆ อย่าง บางครั้งการตัดสินใจเพียงครั้งเดียวของเขาก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาล
จู่ๆ หานเจวี๋ยนึกถึงหานตั้วเทียนขึ้นมา
บางทีหานตั้วเทียนอาจจะช่วยเขาจัดการงานต่างๆ ภายในสำนักซ่อนเร้นได้ แม้ว่าจะมีหมู่หรงฉี่คอยช่วยอยู่แล้ว แต่ก็ดูแลได้เพียงผิวเผิน ไม่อาจลงไปพบปะ พูดคุยกับศิษย์ในสำนักทีละคนๆ ได้
“พวกศิษย์ที่คุณสมบัติมาถึงจุดคอขวด ภายหลังอาจจะช่วยเหลือเขาจัดการงานภายในสำนักได้” ความคิดของหานเจวี๋ยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นมา
สำนักซ่อนเร้นยิ่งแข็งแกร่งและมีศิษย์มากขึ้นเท่าไร ปัญหาความขัดแย้งก็จะมากขึ้นตามไปด้วย จำเป็นที่จะต้องมีคนคอยช่วยสอดส่องดูแล
แต่อย่างไรก็ดี เวลาที่เหล่าศิษย์รับศิษย์ของตนเองเข้ามา ก็ไม่จำเป็นต้องจัดแจงให้ศิษย์จำนวนมากไปทำงานจิปาถะทั้งหมด
คิดได้ดังนั้น หานเจวี๋ยก็หลับตาฝึกบำเพ็ญต่อ
พิสูจน์มรรค!
นี่ต่างหากสิ่งสำคัญที่หานเจวี๋ยสนใจจริงๆ!
…
สามร้อยปีต่อมา
ในที่สุดโจวฝานก็กลับมา ทว่าเขาไม่ได้กลับมาเพียงคนเดียว
เบื้องหลังของโจวฝานคือเผ่ามนุษย์ที่ยกโขยงตามมามากกว่าแสนคน
ก่อนจะมาถึงค่ายกลอาณาเขตเต๋าของเขตเซียนร้อยคีรี โจวฝานใช้พลังอันแข็งแกร่งกันสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าโดยรอบออกไป ไม่ให้เข้ามาใกล้
“อาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว!”
โจวฝานตะโกนเสียงดัง
หานเจี๋ยสัมผัสได้ถึงตัวตนของเผ่ามนุษย์ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เขาไม่อาจรับเผ่ามนุษย์เข้ามาได้ หากเป็นส่วนน้อยคงพอทำเนา แต่คนจำนวนมากขนาดนี้และดูเหมือนจะเป็นเผ่ามนุษย์เกือบทั้งหมด ผลกรรมที่ต้องแบกรับนั้นมีมากเกินไป
อีกอย่าง ที่ไหนมีมนุษย์ ที่นั่นย่อมมีสงคราม!
หากรับเข้ามา ภายภาคหน้าต้องมีปัญหาตามมาไม่หยุดหย่อนเป็นแน่
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงไปถึงโจวฝาน “เหตุใดถึงพาคนมามากมายขนาดนี้”
โจวฝานถ่ายทอดเสียงกลับไป “อาจารย์โปรดวางใจ เขาไม่พาพวกเขาเข้าไปในสำนักซ่อนเร้นแน่นอนขอรับ ข้าได้อบรมสั่งสอนพวกเขาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ข้าตั้งใจจะให้พวกเขาลงหลักปักฐานบริเวณใกล้ๆ นี้ไปก่อน เมื่อใดพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นแล้วก็จะจากไปขอรับ”
ได้ยินเช่นนี้ คิ้วของหานเจวี๋ยก็คลายออก
ดูเหมือนว่าโจวฝานเองจะไม่ได้มีจิตเมตตาดุจแม่พระเสียทีเดียว
ถ้ามาคิดดูดีๆ ก็เป็นจริงดังว่า เจ้าหมอนี่ไม่น่าใช่ตัวเอกผู้มีจิตเมตตา แต่น่าจะเป็นตัวเอกที่ผูกจิตอาฆาตแค้นเสียมากกว่า!
หานเจวี๋ยนำตัวโจวฝานเข้ามา
โจวฝานเข้าไปคารวะหานเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว หลังจากเข้าไปในอารามเต๋าแล้ว เขาก็เล่าประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาจนหมดเปลือก
เผ่ามนุษย์อยู่ในสภาพยากลำบาก พลังของพวกเขามีไม่มากเท่าสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าหรือสัตว์อสูร นับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุดในแดนเซียน โจวฝานต้องเจ็บตัวเพื่อปกป้องพวกเขาอยู่หลายครั้ง
โจวฝานกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเผ่าบรรพกาลพวกนี้จะแข็งแกร่ง แต่ที่ไหนได้สภาพกลับยุ่งเหยิงยิ่งนัก มีมหาราชาจากสารพัดแห่งปรากฏตัวขึ้น ไม่ต่างอะไรจากเผ่าปีศาจก่อนหน้านี้เลย”
หานเจวี๋ยกล่าว “อย่ามัวแต่ประคบประหงมพวกเขามากนักล่ะ ตั้งใจฝึกบำเพ็ญให้ดี ถ้าเผ่ามนุษย์แข็งแกร่งขึ้นมาเมื่อไร ก็ให้พวกเขาออกไปเถิด ข้าอนุญาตให้เจ้ารับศิษย์เผ่ามนุษย์ได้บางคนเท่านั้น ไม่อนุญาตให้รับมาทั้งหมด”
“ตอนนี้พวกเขาอาจจะกลมเกลียวและมีชีวิตเรียบง่ายดี แต่เมื่อใดที่ตบะแข็งแกร่งขึ้น และจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น เผ่ามนุษย์ที่เจ้ารู้จักก็จะกลับมา เจ้าน่าจะรู้ดีว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรต่อไป”
โจวฝานพยักหน้า ความลำบากทั้งหลายที่เขาประสบมาตลอดการเดินทาง ส่วนมากล้วนมาจากเผ่ามนุษย์
หลังจากนั้น อาจารย์และลูกศิษย์ก็สนทนากันต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนที่โจวฝานจะขอตัวกลับออกไป
วันนั้น เผ่ามนุษย์ปักหลักอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กับเขตเซียนร้อยคีรี เหล่าสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าทั้งหลายหลังจากได้รับการเตือนจากโจวฝาน ก็ไม่กล้ามาหาเรื่องกับเผ่ามนุษย์อีก
การปรากฏตัวของเผ่ามนุษย์ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสำนักซ่อนเร้นแต่อย่างใด
หลังจากโจวฝานแบ่งปันประสบการณ์ที่พบพานมา ศิษย์สำนักซ่อนเร้นทั้งหลายจึงรู้ว่าไม่ได้มีเพียงพวกเขาเท่านั้น แต่ผู้บำเพ็ญทั่วแดนเซียนต่างก็จดจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญ ในระหว่างการพิทักษ์เผ่ามนุษย์ โจวฝานได้พบกับถ้ำเทวาของผู้ทรงพลังมากมาย กลิ่นอายอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมา ทำให้แม้แต่เขาก็ยังต้องตกตะลึง
หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง สิ่งมีชีวิตกว่าเก้าในสิบส่วนต่างล้มตายกันหมด เหลือเพียงสิ่งมีชีวิตหนึ่งส่วนที่ไม่ได้อยู่ในระดับทั่วไป ส่วนมากล้วนกลายเป็นมหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต เมื่อไร้แรงกดดันจากการแก่งแย่ง แต่ละคนจึงมุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญเพียร ตบะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นก็ไม่ต้องการถูกใครนำหน้าไปเช่นกัน
เวลาผันผ่าน
ผ่านไปปีแล้วปีเล่า
หนึ่งพันปีต่อมา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น และขยับร่างกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
เขาส่งจิตรับรู้ออกไปสำรวจ และเห็นว่าประชากรเผ่ามนุษย์เพิ่มจำนวนขึ้นทะลุหลักสิบล้านเข้าไปแล้ว
ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งพันปี จำนวนประชากรของเผ่ามนุษย์ก็เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีอันตรายมาคุกคาม
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสร้างเมืองขึ้นมาเมืองหนึ่ง
ใบหน้าหานเจวี๋ยบูดบึ้ง
นี่ไม่คิดจะไปไหนเลยใช่หรือไม่!
เมืองแห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาอย่างลวกๆ เห็นได้ชัดว่ามีการระดมความคิดอย่างหนัก ไม่เพียงเท่านั้น ภายในเผ่ามนุษย์ยังมีการจัดระเบียบสังคม และยังมีกิจการร้านรวงต่างๆ ผุดขึ้นมาในเมืองเป็นดอกเห็ด
ดูท่าทางจะมีใครบางคนในเผ่ามนุษย์ที่ยังหลงเหลือความทรงจำจากมหาเคราะห์ครั้งก่อนอยู่ มิฉะนั้นหากเป็นเผ่ามนุษย์รุ่นใหม่ทั้งหมด เหตุใดถึงสามารถสร้างเมืองที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว ในยุคต้นมรรคาสวรรค์ที่ทั้งอันตรายและโบราณคร่ำครึเช่นนี้
หานเจวี๋ยคลายหว่างคิ้วออกอย่างรวดเร็ว
ช่างคนพวกนั้นเถิด อย่างไรเสียหานเจวี๋ยก็ไม่คิดจะเปิดค่ายกลอาณาเขตเต๋า เผ่ามนุษย์ไม่มีทางเข้ามาได้อยู่แล้ว
ตู้ม ปัง ปัง
แผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น พลังอันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้นมาจากระยะไกล หมายจะทำลายล้างโลกาสวรรค์
กลิ่นอายระดับนี้แข็งแกร่งยิ่งว่าของกู่จั๋วอินก่อนหน้านี้ลิบลับ!
หานเจวี๋ยนับนิ้วคำนวณ กลิ่นอายดังกล่าวมาจากอีกฟากหนึ่งของแดนเซียน ห่างออกไปจากเขตเซียนร้อยคีรีไกลสุดหล้าฟ้าเขียว
ช่างเป็นผู้มีความสามารถแห่งยุคสมัยจริงๆ
คนผู้นี้สำแดงพลังของตนออกมาเช่นนี้ เพื่อข่มขวัญสิ่งมีชีวิตทั้งปวงชัดๆ
หานเจวี๋ยไม่สนใจ แม้ว่ากลิ่นอายดังกล่าวจะแข็งแกร่ง ทว่าก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา
มีกลิ่นอายอันแข็งแกร่งปะทุขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง เหมือนกำลังประชันกับกับพลังเมื่อครู่
ศิษย์สำนักซ่อนเร้นต่างมารวมตัวและเริ่มหารือกัน ด้วยความสงสัยว่าสองคนนี้เป็นใคร
เจ็ดปีต่อมา
เขตเซียนร้อยคีรีได้มีโอกาสต้อนรับแขกผู้มาเยือน
หลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้า
หานเจวี๋ยผลาญอายุขัยไปกว่าสี่พันล้าน หลังจากยืนยันว่าไม่มีอันตรายใดๆ แล้ว จึงอนุญาตให้ทั้งสองเข้ามาในอารามเต๋า
หลี่เต้าคงประสานหมัดพร้อมกล่าว “ไม่ได้พบเจอกันหลายปี ดูเหมือนเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว”
หลี่เสวียนเอ้ามองสำรวจหานเจวี๋ย ไม่ว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกคุ้นหน้าหานเจวี๋ยอย่างบอกไม่ถูก ราวกับเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน ไม่ใช่ที่วังสวรรค์ แต่เป็น…
เขาเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน
หานเจวี๋ยยิ้มและตอบกลับ “พวกเจ้าทั้งสองมีธุระอันใด อยากมาเชิญข้าเข้าร่วมนิกายเหรินใหม่อีกแล้วอย่างนั้นหรือ”
หลี่เสวียนเอ้าแค่นเสียงเย็นชา
หลี่เต้าคงกล่าว “เจ้ากล้ามีเรื่องกับอริยะหรือ”
“ไม่กล้า”
“เจ้า! แล้วเจ้าจะบอกให้พวกข้าเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นเพื่ออะไร”
ประโยคต่อมาหลี่เสวียนเอ้าเป็นคนพูด เขาหอบหายใจเล็กน้อย
หานเจวี๋ยพูดด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าคงไม่กล้าล่วงเกินอริยะเช่นนั้นสินะ”
หลี่เต้าคงกล่าวอย่างเรียบเฉย “ไม่ผิด ข้าแยกทางกับท่านอาจารย์ และถูกขับออกจากนิกายเหรินแล้ว”
………………………………………………..