ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 522 กลุ่มอิทธิพลเจ้าแดนต้องห้ามอันธการปรากฏ จางเจี่ยวแห่งสำนักซ่อนเร้น
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 522 กลุ่มอิทธิพลเจ้าแดนต้องห้ามอันธการปรากฏ จางเจี่ยวแห่งสำนักซ่อนเร้น
บทที่ 522 กลุ่มอิทธิพลเจ้าแดนต้องห้ามอันธการปรากฏ จางเจี่ยวแห่งสำนักซ่อนเร้น
หลังจากสิงหงเสวียนจากไป หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อพลางตรวจดูจดหมาย
ในระยะนี้ แวดวงสหายกลับเงียบสงบยิ่ง ไม่มีเหตุการณ์พิเศษใดเกิดขึ้นเลย
ยอดเยี่ยมนัก ขอให้สงบสุขไปอีกหมื่นปีเถอะ
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
เขาสอดส่องหานทั่วอีกครั้ง ด้วยตบะของเขาในตอนนี้ ทั่วทั้งแดนเซียนล้วนอยู่ในสายตาเขา ถึงขั้นที่เขาไม่จำเป็นต้องสำแดงพลังวิเศษเลย มองแวบเดียวก็สามารถหาหานทั่วพบแล้ว
ช่วงนี้เด็กคนนี้มีข้อพิพาทกับนิกายเจี๋ย ได้รับความทรมานไม่น้อยเลย
แน่นอนว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เป็นแค่พวกระดับล่างในนิกายเจี๋ยเท่านั้น แต่ก็เพียงพอจะสร้างความสิ้นหวังให้แก่เขาได้
หานเจวี๋ยสีหน้าเรียบเฉย โบกมือขวานิดๆ
พลังศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งร่อนลงบนร่างของหานทั่ว คลายผนึกที่ควบคุมสายเลือดของหานทั่วอีกครั้ง ทำให้คุณสมบัติของเขาปรากฏความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงอยู่ห่างไกลจากคุณสมบัติทางสายเลือดที่แท้จริงของเขาอยู่ดี
‘มนุษย์ในโลกา โอกาสวาสนามักมากับผู้ทรงสิทธิ์ ผู้ทรงสิทธิ์ของข้าคือระบบ ส่วนผู้ทรงสิทธิ์ของเจ้าคือข้า’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เขาตั้งตารอคอยฉากอนาคตหลังจากหานทั่วผงาดเกรียงไกรขึ้นมายิ่งนัก
….
ชั้นฟ้าที่สิบสาม ในตำหนักหลังหนึ่ง
จี้เซียนเสินนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ทอดสายตามองคนผู้หนึ่งในห้องโถง
เป็นจิ่งเทียนกงแห่งนิกายเจี๋ย!
จี้เซียนเสินเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโสมาหาข้าด้วยเรื่องใด”
เขาไม่มีความประทับใจต่อจิ่งเทียนกงเลย เหตุผลเพียงเพราะจิ่งเทียนกงมาจากนิกายเจี๋ย ถึงแม้เขาจะลงจากตำแหน่งเจ้านิกายเจี๋ยแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังคงเกี่ยวข้องกับนิกายเจี๋ยอยู่ดี
จิ่งเทียนกงยกมือขึ้น ป้ายคำสั่งสีทองอันหนึ่งปรากฏออกมา ลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งแสงเจิดจ้า ส่องสว่างไปทั่วตำหนัก
จี้เซียนเสินขมวดคิ้ว
จิ่งเทียนกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลูกไม้เล็กน้อย ป้องกันการสอดแนมของอริยะ”
จี้เซียนเสินหรี่ตาพลางเอ่ยว่า “ดูเหมือนผู้อาวุโสคิดจะละทิ้งนิกายเจี๋ยแล้วกระมัง”
จิ่งเทียนกงตอบกลับ “ข้าขอบอกกับท่านตามตรง ข้าศรัทธาในเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ มิใช่นิกายเจี๋ย หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง ท่านเจ้าแดนต้องห้ามอันธการไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย แต่เขาเคยบอกเอาไว้ว่ายามสรวงสวรรค์ตกอยู่ในความมืดมิดอันธการ เขาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง”
“บรรพชนสวรรค์ สถานการณ์อันยากลำบากของท่านข้าเข้าใจดี ท่านหาที่พึ่งอยู่มิใช่หรือ เข้าร่วมกลุ่มอิทธิพลของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเถอะ”
“เผ่าสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นมาได้ หากสืบสาวกันไปถึงต้นตอ ก็เป็นเพราะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสอดมือเข้าแทรกแซงมหาเคราะห์ ทำให้อริยชนอับจนหนทาง”
เมื่อจิ่งเทียนกงเอ่ยถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ น้ำเสียงนั้นเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ
ราวกับตัวเขาเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเสียเอง!
จี้เซียนเสินถามด้วยความสงบนิ่ง “ข้าไม่ทราบเลยว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือผู้ใด อีกอย่างในมหาเคราะห์ครั้งก่อน เจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็มิได้ชัย ติดตามเขาจะมีอนาคตอย่างไร”
จิ่งเทียนกงยิ้มตาหยีและถามว่า “ไม่ประสบชัยจริงๆ น่ะหรือ มหาเคราะห์เดิมทีสมควรดำเนินต่อไปอีกนานหลายปี เพียงพอที่จะทำให้ศิษย์จากสำนักนิกายแห่งอริยะผงาดขึ้นมา แต่เป็นเพราะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสอดมือแทรกแซง มหาเคราะห์ถึงดำเนินอยู่เพียงไม่กี่พันปีเท่านั้น ท่านลองนึกถึงรูปการณ์ในตอนนี้อีกครั้งสิ ไม่มีสำนักนิกายแห่งอริยะแห่งไหนเลยที่ได้เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว”
“นี่คือความร้ายกาจของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เขาไม่ได้คิดจะแย่งชิงสิ่งใด เพียงอยากปรับสมดุลแดนเซียนเท่านั้น”
พอจี้เซียนเสินได้ฟังก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
มิน่าเล่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการถึงเอาแต่สาปแช่งผู้คน ไม่ได้ประกาศว่าจะช่วงชิงสิ่งใดเลย
จี้เซียนเสินเริ่มใคร่ครวญแล้วว่าจะเข้าร่วมกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการดีหรือไม่
มองจากปัจจุบันนี้ เหล่าอริยชนไม่มีทางยอมให้เขาเข้าพวกอีก เพราะเขาคือบรรพชนสวรรค์ เขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับมรรคาสวรรค์ หากรับตัวเขาไว้ เช่นนั้นจะส่งผลกระทบให้ทั้งสำนักต้องเผชิญหน้ากับมรรคาสวรรค์ไปด้วย
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กลุ่มอิทธิพลที่รุ่งโรจน์โดดเด่นที่สุดในช่วงที่ดวงชะตามรรคาสวรรค์สงบสุขมักต้องกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลบาปหนาถูกถล่มจนราบคาบในมหาเคราะห์ครั้งต่อไปเสมอ!
จิ่งเทียนกงกล่าวว่า “หากเข้าร่วมกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ท่านจำเป็นต้องสงบใจอดทนรอคอย ข้าก็จะผลักดันกองกำลังของข้าด้วยเช่นกัน เพื่อปูทางให้ท่าน ช่วยดึงกลุ่มอิทธิพลเข้ามาให้ท่าน”
จี้เซียนเสินเเอ่ยถาม “กองกำลังของท่านหมายถึงนิกายเจี๋ยหรือ”
จิ่งเทียนกงส่ายหน้า
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม “ทางนิกายเจี๋ย ข้ายกตำแหน่งเจ้านิกายให้ไอ้โง่คนหนึ่งไปแล้ว ข้าอยากทำให้นิกายเจี๋ยล่มสลายย่อยยับ ในช่วงมหาเคราะห์ ข้าขับไล่ศิษย์นิกายเจี๋ยออกจากสำนักไปไม่น้อย ความจริงคนที่ถูกขับไล่ออกไปล้วนเป็นคนสนิทของข้าทั้งสิ้น”
จี้เซียนเสินซักถามต่อ “ท่านมาจากนิกายเจี๋ย เหตุใดจึงชิงชังนิกายเจี๋ยเล่า”
จิ่งเทียนกงตอบเพียงว่า “เรื่องนี้ไม่สะดวกจะบอกกล่าวต่อท่าน ที่ท่านผงาดขึ้นมาได้ ความจริงแล้วเกี่ยวข้องกับคนผู้หนึ่งที่นามว่าหานเจวี๋ยกระมัง จักรพรรดิสวรรค์ต้องตาหานเจวี๋ย จึงเผื่อแผ่น้ำใจเกื้อหนุนท่าน ส่วนฟางเหลียงที่มีสัมพันธไมตรีกับท่านก็เป็นศิษย์หลานของหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยดูเหมือนจะเป็นคนของสำนักซ่อนเร้น เหล่าอริยชนพุ่งเป้าไปที่สำนักซ่อนเร้น ท่านก็โดนหางเลขไปด้วย ท่านทำได้เพียงเลือกพึ่งพาเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเท่านั้น มิเช่นนั้นหลังจากนี้ไปท่านจะต้องลำบากเป็นแน่ ถึงขั้นที่อาจกลายเป็นตัวตลกของแดนเซียนเสียด้วยซ้ำ”
จี้เซียนเสินพลันเกิดความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้า เขาทราบดีว่าสิ่งที่จิ่งเทียนกงพูดมานั้นเป็นความจริง
การมีอยู่ของหานเจวี๋ยเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เหล่าอริยชนไม่ต้อนรับเขา
แต่เขาไม่มีทางกล่าวโทษหานเจวี๋ย หากไม่มีหานเจวี๋ย เขาไหนเลยจะมีวันนี้ได้
จี้เซียนตกอยู่ในภวังค์ความคิด
จิ่งเทียนกงก็ไม่รีบร้อน อดทนรอคอย
….
เวลาผ่านไปอีกห้าสิบปี
ตบะของหานเจวี๋ยเพิ่มพูนขึ้นช้ายิ่ง อยู่ห่างจากระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะกลางอีกไกลโข ถึงอย่างไรเสียนี่ก็คือระดับอริยะ!
หลายปีมานี้ ศิษย์สำนักซ่อนเร้นล้วนมีความก้าวหน้าต่างกันไป ศิษย์สืบทอดก็ทยอยเข้าสู่ระดับเทพแล้ว แม้แต่เซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็เช่นเดียวกัน
บรรลุระดับเทพได้ในเวลาไม่ถึงสี่หมื่นปี ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นอัจฉริยะ
หลักๆ แล้วต้องยกความดีความชอบให้อาณาเขตเต๋าและการแสดงธรรมของหานเจวี๋ย!
หานเจวี๋ยให้ความสนใจกับการบำเพ็ญของหานทั่วด้วยเช่นกัน เด็กคนนี้เข้าสู่ระดับเซียนแล้ว ไม่นับว่าเร็ว แต่ก็ไม่ถือว่าช้า
ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ก็พอ
ในวันนี้เอง
“ข้า สือตู๋เต้า จะก่อตั้งวิถีไร้พ่าย ผู้ใดก็ตามที่สามารถสังหารศัตรูในระดับเหนือกว่าได้ต่างสามารถเข้าร่วมวิถีไร้พ่ายได้ ขับเคลื่อนแดนเซียน ช่วงชิงดวงชะตากับอริยะ ต่อสู้กับชะตาฟ้าลิขิต!”
น้ำเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังกระหึ่มไปทั่วแดนเซียน
หานเจวี๋ยได้ฟังก็อดลืมตาขึ้นมาไม่ได้
วิถีไร้พ่ายหรือ
เหตุใดจึงฟังดูเฉิ่มถึงเพียงนั้น…
แต่จำต้องกล่าวเลยว่า คำขวัญปลุกใจของสือตู๋เต้านั้นโดดเด่นมาก
ช่วงชิงดวงชะตากับอริยะ ต่อสู้กับชะตาฟ้าลิขิต!
หานเจวี๋ยสนใจในตัวสือตู๋เต้าเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเขาก็ใช้สือตู๋เต้าเป็นต้นแบบคัดลอกองครักษ์อาณาเขตเต๋าขึ้นมาหลายคน
ดูจากท่าทีแล้ว สือตู๋เต้าต้องการท้าทายมรรควิถีแห่งอริยะ แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นไม่อาจรู้
[คัดลอกองครักษ์อาณาเขตเต๋าสำเร็จ โปรดตั้งชื่อ]
ข้อความแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย
เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย รูปลักษณ์เหมือนหลี่มู่อี
สมกับองครักษ์ระดับอริยะ ใช้เวลาคัดลอกนานถึงเพียงนี้!
หานเจวี๋ยจ้องมองหลี่มู่อี ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เรียกว่าอะไรดีนะ
ถ้าตั้งชื่อจากสามก๊กอีก ก็จะดูเหมือนหลี่มู่อีอยู่ในระดับเดียวกับองครักษ์รายอื่นๆ
ช่างเถอะ ตั้งชื่อจากสามก๊กเหมือนเดิมแล้วกัน ไม่ควรเปลี่ยนแปลงธรรมเนียม
หานเจวี๋ยคิดดูเล็กน้อย เอ่ยว่า “เรียกจางเจี่ยวแล้วกัน!”
องครักษ์อาณาเขตเต๋าคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ตอบรับ “ขอบพระคุณนายท่านที่มอบนาม!”
หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงเบา “ออกไปบำเพ็ญอยู่นอกอารามเต๋าของข้าเถอะ”
จางเจี่ยวรับคำ ลุกขึ้นเดินออกไป
เขาก้าวออกจากอารามเต๋า นั่งสมาธิอยู่หน้าประตูใหญ่ ราวกับเทพทวารบาล
จิ้งจอกชาดที่อยู่ห่างไปไม่ไกลตะลึงงัน คนผู้นี้เป็นใคร
มันไม่เคยพบหลี่มู่อีมาก่อน เมื่อเห็นหลี่มู่อีออกมาจากอารามเต๋า จึงแปลกใจอย่างยิ่ง
มันเข้าไปเลียบๆ เคียงๆ อย่างระมัดระวัง ผลคือจางเจี่ยวไม่สนใจมันเลย
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
หลี่มู่อีที่นั่งสมาธิตระหนักมรรคอยู่พลันลืมตาขึ้น เขาขมวดคิ้วแน่น ท่าทางแปลกพิกล
“เหตุใดจู่ๆ ข้าถึงว้าวุ่นใจขึ้นมากันนะ”
หลี่มู่อีพึมพำกับตัวเอง เขานับนิ้วทำนายดู จะอย่างไรก็ทำนายไม่ได้
ทำนายไม่ได้อีกแล้ว!
หลังจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการและหานเจวี๋ยผงาดขึ้นมา เขาก็พบเรื่องที่ไม่อาจทำนายได้อยู่บ่อยครั้ง!
ไม่สมเหตุสมผล!
ไม่สมเหตุสมผลเลย!
หรือว่านี่ก็คือมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ที่บรรพชนเต๋ากล่าวไว้
เคราะห์แห่งอริยะ
………………………………………………………………