ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 568 เต้าจื้อจุนไม่พอใจ ฟื้นคืนชีพอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 568 เต้าจื้อจุนไม่พอใจ ฟื้นคืนชีพอย่างต่อเนื่อง
หลังจากไก่คุกรัตติกาลอธิบายให้ซูฉีทราบว่าแบบจำลองการทดสอบคือสิ่งใด ซูฉีก็ยอมรับข้อเสนอของมันอย่างง่ายดาย ตอนที่เขาออกจากอารามเต๋าของหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยได้เพิ่มสิทธิ์ให้เขาแล้ว
ในไม่ช้า เหล่าศิษย์สืบทอดก็ลากซูฉีเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ
พวกเขาก็อยากทราบยิ่งนักว่าซูฉีที่จบมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตลงได้นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน!
ซูฉีไม่ได้ตอบโต้กลับเลยจริงๆ แต่นอกจากเต้าจื้อจุนแล้ว ไม่มีผู้ใดทำอันตรายซูฉีได้เลย
แม้กระทั่งเต้าจื้อจุนก็ไม่สามารถสังหารซูฉีได้
“เป็นไปได้อย่างไร!”
เต้าจื้อจุนตกตะลึง เขาเป็นเซียนทองต้าหลัวเชียวนะ!
ซูฉีเพิ่งฟื้นคืนชีพก็แกร่งกว่าเขาแล้วหรือ
เพราะอะไรกัน
ซูฉีก็ตกตะลึงอย่างยิ่งเช่นกัน กลิ่นอายของเต้าจื้อจุนทำให้เขานึกถึงเซียนทองต้าหลัวที่เคยพบมาในอดีต ไม่คิดเลยว่าเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขนาดนี้แล้วตนยังไม่ตาย
ซูฉีที่กลายเป็นเทพมารมรณะไปแล้วอยู่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ เขาหาใช่ผู้มีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาล แต่เป็นเทพมารฟ้าบุพกาลตัวจริงเสียงจริง แก่นแท้ชีวิตไม่แตกต่างไปจากผานกู่ช่วงก่อนเบิกผืนฟ้าเลย เพียงแต่ไม่แกร่งกล้าเท่าผานกู่เท่านั้น
แม้แต่เต้าจื้อจุนก็ไม่สามารถสังหารซูฉีได้!
เรื่องนี้ทำให้ศิษย์สืบทอดทั้งหมดตกตะลึง ลี่เหยาและจ้าวเซวียนหยวนก็มาชมการต่อสู้เช่นกัน
ซูฉีมิได้รู้สึกดีเลย กลับละอายใจยิ่งนัก
เขาทราบว่าข้อเสนอของไก่คุกรัตติกาลทำเพื่อขจัดบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับศิษย์คนอื่นๆ แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับยิ่งเพิ่มความบาดหมางกระมัง
ควรทำอย่างไรดี
เขาไม่สามารถระเบิดตัวเองได้ เพราะเขาคือเทพมารมรณะ ตัวเขาคือสัญลักษณ์แห่งความตาย ไม่สามารถสังหารตัวเองได้
หานเจวี๋ยกำลังเฝ้ามองฉากต่อสู้นี้อยู่ในอารามเต๋า ตอนที่บรรดาศิษย์เข้าใช้แบบจำลองการทดสอบ เขาก็ร่วมชมการต่อสู้ด้วย
ผลงานของซูฉีทำให้เขาพึงพอใจยิ่ง
สมกับที่เป็นเทพมารมรณะ
ก่อนหน้านี้เขาเคยพบเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่ง นั่นก็คือจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน อย่ามองเพียงว่าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนถูกเขาสังหาร แดนเซียนในยามนั้นไม่มีผู้ใดสู้กับจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนได้เลย ทรงพลังเป็นที่สุด
หานเจวี๋ยก็รับรู้ถึงสภาพจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปของศิษย์คนอื่นๆ เช่นกัน แต่เขาไม่ได้เข้าไปจัดการ ความเคียดแค้นชิงชังบางอย่างก็มิใช่สิ่งที่เขาพูดประโยคเดียวแล้วจะเปลี่ยนแปลงได้ ถือเป็นการกระตุ้นให้ศิษย์คนอื่นๆ ทุ่มเทฝึกบำเพ็ญได้พอดี
หนึ่งร้อยปีต่อมา
หานเจวี๋ยเรียกเต้าจื้อจุนมาพบ
หลังจากทุบตีซูฉี เต้าจื้อจุนเริ่มปิดด่านอย่างบ้าคลั่ง สถานการณ์ผิดปกติ
เต้าจื้อจุนเข้ามาในอารามเต๋า ทำความเคารพหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยไม่ได้เอ่ยถามเขา แต่เป็นฝ่ายบอกเล่าอดีตของซูฉีออกมาเรื่อยๆ
เต้าจื้อจุนขมวดคิ้ว ไม่กล้าเสียมารยาท ได้แต่อดทนฟังต่อไป
หานเจวี๋ยเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่ตนได้รู้จักกับซูฉี เรื่อยมาจนถึงเรื่องที่อริยะมิ่งจีวางแผนหลอกใช้ซูฉี
หลังจากเต้าจื้อจุนได้ฟัง สภาพอารมณ์ก็ค่อนข้างซับซ้อน
เขาจำเป็นต้องยอมรับเลยว่า ซูฉีน่าเวทนาจริงๆ ไม่มีสิทธิ์ควบคุมชะตาชีวิตของตนเลย ถูกใช้เป็นตัวเบี้ยมาโดยตลอด
“ซูฉีแบกรับโชคร้ายมาตั้งแต่กำเนิด นอกจากสำนักซ่อนเร้นแล้ว เขาไม่มีสหายหรือเครือญาติเลย ประสบความทุกข์ทรมานมาโดยตลอด เหตุผลที่เขาแข็งแกร่งกว่าเจ้า มิใช่เพราะคุณสมบัติของเขาดีกว่าเจ้า แต่เป็นเพราะอาจารย์มอบกายเนื้อที่อยู่เหนือกว่าสรรพสิ่งให้เขา อันที่จริงเขาก็เปรียบเสมือนผลงานทดลองของอาจารย์ เพียงโชคดีประสบความสำเร็จเท่านั้น” หานเจวี๋ยเอ่ยช้าๆ
กายเนื้อที่อยู่เหนือกว่าสรรพสิ่งเช่นนั้นหรือ
เต้าจื้อจุนถามด้วยความอยากรู้ “นั่นเป็นกายเนื้อเช่นใดกันขอรับ”
เขาสัมผัสได้ว่าซูฉีแข็งแกร่งกว่าคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลของเขา!
เขาเคยคิดว่าคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลเป็นคุณสมบัติร่างกายที่ร้ายกาจที่สุด ยามนี้พอมองแล้วกลับน่าขัน
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “รอเจ้าฝึกฝนถึงระดับครึ่งอริยะ อาจารย์ก็จะมอบให้เจ้าเช่นกัน ส่วนเรื่องซูฉี หวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษอีก ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางแผนการของอริยะได้ ตัวการที่แท้จริงคืออริยะมิ่งจี”
เต้าจื้อจุนสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง พยักหน้ารับ
หานเจวี๋ยกล่าวต่อว่า “อย่าบอกเรื่องนี้กับศิษย์คนอื่น โดยเฉพาะเรื่องกายเนื้อของซูฉี”
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ”
หลังจากเต้าจื้อจุนจากไป หานเจวี๋ยลอบสะท้อนใจเพียงลำพัง
ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กคนนี้จะฟังเข้าหูบ้างหรือไม่
หากทำให้หานเจวี๋ยรำคาญ จะจับทั้งหมดโยนใส่คุกสวรรค์อนธการไปเสีย จากนั้นก็ทำให้เชื่อฟังเขาอย่างสมบูรณ์
ถืงแม้จะเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่ก็ได้ผลดี!
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ท่ามกลางความโกลาหลอันไร้ขอบเขต เมืองโอ่อ่าสง่างามแห่งหนึ่งซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา ราวกับมีสัตว์ร้ายบรรพกาลสักตัวอาศัยอยู่ที่นี่
เมืองฟ้าบุพกาล!
โจวฝานยืนอยู่เหนือแท่นบนยอดหอคอยสูงหลังหนึ่ง ทอดสายตามองออกไปไกล เมื่อมองตามสายตาของเขาออกไป ในส่วนลึกของอาณาเขตฟ้าบุพกาลมีกลุ่มแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งมีความเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างอยู่ตลอด แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายและแปลกพิสดารออกมา
ปรากฏการณ์นี้ปรากฏขึ้นกว่าห้าพันปีแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลง แต่โจวฝานสังหรณ์ใจอยู่เสมอว่าท่ามกลางปรากฏการณ์นี้จะต้องซุกซ่อนสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่งเอาไว้
มหันตภัยมารสวรรค์เพิ่งผ่านไปไม่นาน ทั่วทั้งเมืองฟ้าบุพกาลต่างไม่มีใครประมาทวางใจ
เวลานี้เอง เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างกายโจวฝาน คนผู้นี้สวมชุดนักพรตเต๋าสีเทาเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาองอาจ เอวห้อยพู่หยกแขวนกระบี่ล้ำค่า
“โจวฝาน ถึงกะข้าแล้ว ไปฝึกบำเพ็ญเถอะ” ชายในชุดนักพรตเต๋าเอ่ย
โจวฝานเอ่ยโดยไม่ละสายตาไปเลย “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
ชายในชุดนักพรตเต๋าถามด้วยความฉงน “ผิดปกติตรงไหนหรือ”
“ดูเหมือนมันจะขยายใหญ่ขึ้น”
เมื่อชายในชุดนักพรตเต๋าได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังกลุ่มแสงสีแดงในส่วนลึกของอาณาเขตฟ้าบุพกาล จากนั้นเขาพลันขมวดคิ้ว
ขยายใหญ่ขึ้นจริงๆ ด้วย แม้จะเล็กน้อยยิ่ง แต่ด้วยตบะของพวกเขาหากสังเกตให้ละเอียดก็ยังสามารถแยกแยะออก
“ต้องไปรายงานท่านเจ้าเมืองหรือไม่” ชายในชุดนักพรตเต๋าถาม
โจวฝานพยักหน้า
ชายในชุดนักพรตเต๋าเลือนหายไปจากจุดเดิมทันที
โจวฝานยังคงจ้องมองส่วนลึกของอาณาเขตฟ้าบุพกาล ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันแว่วขึ้นข้างหูเขา “โจวฝาน มาเถิด ข้ารอเจ้าอยู่”
เสียงนี้มีมนต์สะกดอย่างยิ่ง โจวฝานเหม่อลอยไปในชั่วพริบตา
เขาสะบัดหัว ต้องการรักษาสติไว้ ผลคือเสียงลึกลับนั้นยังคงแว่วดังขึ้นอีกครั้ง
ในไม่ช้า โจวฝานก็ตกอยู่ในความตะลึงเลื่อนลอย
เขาย่อตัวกระโจนออกไปดั่งเทพดลผีบันดาล เหาะเข้าหากลุ่มแสงสีแดงด้วยความเร็วสูง หายลับไปในส่วนลึกของอาณาเขตฟ้าบุพกาลอย่างรวดเร็ว
….
เวลาเคลื่อนคล้อย ผ่านไปเจ็ดร้อยปีแล้ว
หานเจวี๋ยใช้เวลานานหลายปีกว่าจะสิ้นสุดการปิดด่าน เขาลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย กวาดจิตศักดิ์สิทธิ์ไปทั่วเขตเซียนร้อยคีรี
ซูฉีและเต้าจื้อจุนต่างฝึกบำเพ็ญของตนไป นับว่าสงบปรองดอง
ตอนนี้ ซูฉีอาศัยอยู่ในละแวกต้นฝูซัง สร้างอารามเต๋าเรียบง่ายหลังหนึ่งขึ้น
หานเจวี๋ยเก็บจิตศักดิ์สิทธิ์กลับมา เริ่มตรวจดูจดหมาย
[โจวฝานศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสิ่งอัปมงคล] x283
[โจวฝานสหายของท่านได้รับการคุ้มครองจากอริยะเจ็ดวิถีสหายของท่าน ฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ]
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเบิกฟ้าแยกปฐพี ได้รับกุศลมหามรรค]
[ฉิวซีไหลสหายของท่านเริ่มผสานรวม หลอมรวมเข้ากับมรรคาสวรรค์]
[สือตู๋เต้าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เต้าคงสหายของท่าน]
[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับการสะกดข่มจากเจ้าแห่งมหาเคราะห์โบราณ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[เจ้าแม่หนี่ว์วาสหายของท่านก่อตั้งแดนมายามหามรรค พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[โจวฝานศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ตัวตายมรรคผลสลาย]
[โจวฝานศิษย์ของท่านได้รับความช่วยเหลือจากอริยะเจ็ดวิถีสหายของท่าน ก่อร่างสร้างวิญญาณอีกครั้ง]
….
หืม?
เกิดอะไรขึ้นกับโจวฝาน
หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่อยู่
ไม่น่าเชื่อว่าโจวฝานจะไม่ได้อยู่ชั้นฟ้าที่สามสิบสามแล้ว และมิได้อยู่ขอบเขตมรรคาสวรรค์ด้วย
เขาออกจากมรรคาสวรรค์ไปตอนไหน?
หานเจวี๋ยเลื่อนขึ้นไปอ่านจดหมายด้านบน พบว่าโจวฝานออกจากมรรคาสวรรค์ไปเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน
ช่วงหลายร้อยปีมานี้ เขาเผชิญกับความทรมานอยู่ตลอด สิ้นชีพอย่างต่อเนื่อง ฟื้นคืนชีพอย่างต่อเนื่อง
ต้องกล่าวเลยว่าอริยะเจ็ดวิถีเก่งกาจโดยแท้ อยู่ไกลถึงแดนเทพหวนปัจฉิมก็ยังฟื้นคืนชีพให้โจวฝานผ่านทางไกลได้ พลังวิเศษระดับนี้เหนือชั้นอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยถามเงียบๆ ในใจ ‘โจวฝานอยู่ที่ไหน’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ราคาในระดับอริยะ คาดว่าคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่โจวฝานอยู่ด้วย
หานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อ!
………………………………………………………………