ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 570 โอกาสวาสนาของโจวฝาน ต้นกำเนิดฟ้าดิน
บทที่ 570 โอกาสวาสนาของโจวฝาน ต้นกำเนิดฟ้าดิน
เมื่อฟังจิตวิญญาณมรรคาสวรรค์จบ สีหน้าฉิวซีไหลราบเรียบ ในใจดูแคลนอย่างยิ่ง
คิดว่าเขาเป็นเด็กสามขวบหรือ
หลอกได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
ในสายตาฉิวซีไหล กลอุบายเหล่านี้ของจิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ช่างน่าขันโดยแท้ จุดประสงค์เด่นชัดเกินไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดาเลยด้วยซ้ำ
จิตวิญญาณมรรคาสวรรค์กล่าวว่า “พลังมรรคของบุตรชายหานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไล่ตามอี๋เทียนทันแล้ว วันหน้าต้องกลายเป็นอุปสรรคใหญ่แน่ หากเจ้าไม่กล้าจัดการหานเจวี๋ย เจ้าต้องหาทางกำจัดบุตรชายของหานเจวี๋ยให้ได้ก่อนที่จะได้ร่างแยกของบรรพชนเต๋ามา”
“ข้าจะพิจารณาดู”
ฉิวซีไหลตอบรับสั้นๆ จากนั้นก็หลับตาลง ผสานมรรคต่อ
จิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ก็ไม่พูดมากอีก เลือนหายไปจากตำหนัก
….
หลังจากได้ป้ายคำสั่งพิฆาตมรรคามา หานเจวี๋ยก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่ได้ออกไปแสดงธรรมนอกอารามเต๋าเลย แต่ทุ่มสมาธิฝึกบำเพ็ญ
เวลาผ่านไปว่องไวนัก ผ่านไปอีกสองพันปีแล้ว
ในวันนี้ หานเจวี๋ยตรวจดูจดหมาย
[โจวฝานศิษย์ของท่านหวนคืนสู่แดนเซียน]
เขาอดโล่งใจไม่ได้ ลูกพี่ใหญ่ยังคงแน่จริงยิ่ง ส่งร่างจำลองของตนมาเกิดใหม่แล้ว
เขาไล่อ่านย้อนขึ้นไป มองเห็นจดหมายฉบับอื่นๆ ของโจวฝาน นอกจากจะสิ้นชีพและฟื้นคืนชีพอย่างต่อเนื่อง ยังมีโอกาสวาสนาด้วย!
[โจวฝานศิษย์ของท่านผสานรวมกับดวงชะตาแดนชำระบาปสุขาวดี พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[โจวฝานศิษย์ของท่านทำความเข้าใจพลังวิเศษมหามรรค]
เยี่ยมจริงๆ!
สมกับที่เป็นต้นฉบับของพระเอก!
หานเจวี๋ยเงยหน้ามองขึ้นไปเห็นโจวฝานกลับมาที่เมืองฟ้าบุพกาลแล้ว
ตบะของเด็กคนนี้บรรลุถึงระดับเซียนทองต้าหลัวระยะกลางแล้ว เป็นวาสนาในคราเคราะห์ พลอยก้าวหน้าสูงส่ง
หานเจวี๋ยสอดส่องดูเต้าจื้อจุนต่อ
หลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากซูฉี เต้าจื้อจุนปิดด่านมาตลอด ฝึกบำเพ็ญอย่างบ้าคลั่ง เข้าใกล้ระดับเซียนทองต้าหลัวระยะปลายเข้าไปเรื่อยๆ
ในจุดนี้หานเจวี๋ยพอใจยิ่ง ในอดีตเต้าจื้อจุนบ้าระห่ำกว่าโจวฝานเสียอีก ยามนี้มีความมุ่งมั่นได้ถึงขนาดนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดี
หานเจวี๋ยสอดส่องเหล่าศิษย์ใต้ต้นฝูซังต่อ สีหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยน รีบลุกขึ้นหายตัวไปจากจุดเดิมทันที
เขามาโผล่ใต้ต้นฝูซัง
เมื่อเหล่าศิษย์เห็นเขาปรากฏตัวขึ้น ก็พากันลุกขึ้นทำความเคารพ
หานเจวี๋ยเมินฉยต่อพวกเขา มองไปที่ต้นฝูซัง
ต้นฝูซังยังคงยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ดูสงบมั่นคงยิ่ง ไม่มีความผิดปกติ แต่หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าต้นฝูซังกำลังดูดซับพลังงานแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง พลังงานนี้มาจากวังวนมิติหลายร้อยแห่งที่มันเปิดขึ้น
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงถาม “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
“หา?”
ต้นฝูซังตระหนกอยู่บ้าง
หานเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อ เคลื่อนย้ายเหล่าศิษย์ที่อยู่ในละแวกนี้ออกไปให้ห่าง กางเขตอาคมไว้รอบๆ ไต่สวนต้นฝูซังตามลำพัง
การกระทำนี้ของต้นฝูซังเป็นการเปิดเผยตำแหน่งของมันต่อโลกหลายร้อยแห่ง ประเด็นสำคัญที่สุดคือมันไม่เคยถามความเห็นหานเจวี๋ยเลย
ต้นฝูซังตกใจ รีบเอ่ยว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่าข้าสามารถดูดซับพลังของพวกมันเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้นได้ ดังนั้นถึงได้ทำเช่นนี้…ผิดตรงไหนหรือ”
“ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือ ห้ามมิให้เปิดเผยตำแหน่งของเจ้า”
“เป็นไปไม่ได้ ข้าเพียงดูดซับพลังงานเท่านั้น”
“พลังงานฟ้าดินหลั่งไหลเข้ามาหาเจ้า ผู้บำเพ็ญทรงพลังจะจับทิศทางความเคลื่อนไหวของคลื่นพลังงานมิได้เชียวหรือ”
“ข้า…”
“เหตุใดเจ้าถึงไม่แจ้งข้า”
“ข้าอยากแปลงกาย…แต่ดูเหมือนท่านจะไม่อยากให้ข้าแปลงกาย…”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว กล่าวไปว่า “ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่เจ้าคือต้นไม้เทพมรรคาสวรรค์ ตอนนี้ยังไร้ซึ่งหนทางแปลงกาย”
วาจานี้มิใช่ความเท็จ ตอนนี้อาณาเขตเต๋าเปี่ยมด้วยพลังวิญญาณ ต้นฝูซังจึงมีบทบาทไม่มากแล้ว
ต้นฝูซังเอ่ยด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “เช่นนั้นข้าจะหยุด”
หานเจวี๋ยแทรกจิตศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในต้นฝูซัง ตรวจสอบพลังงานที่มันดูดซับ
คล้ายดวงชะตา และคล้ายผลกุศล ยากจะวิเคราะห์ได้
เป็นครั้งแรกที่หานเจวี๋ยได้พบพลังงานเช่นนี้ แกร่งกร้าวทว่าไม่ดุร้าย เหมือนน้ำอุ่นที่ไหลเวียนอยู่ในต้นฝูซังอย่างไม่สิ้นสุด
‘นี่คือพลังงานอะไร’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ต้นกำเนิดฟ้าดิน: มีเพียงโลกที่ก่อเกิดกฎเกณฑ์ของตนแล้วถึงจะมีพลังงานต้นกำเนิดบังเกิดขึ้น หากต้นกำเนิดฟ้าดินถูกดูดซับจนหมดสิ้น โลกแห่งนั้นจะล่มสลาย]
น่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ
หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าต้นฝูซังมิใช่ต้นไม้เทพ แต่เป็นต้นไม้ปีศาจ!
หากปล่อยให้มันดูดซับไปจนหลายร้อยโลกาล่มสลายลง จะมีสิ่งมีชีวิตตายตกไปมากเพียงใดกัน
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “หากเจ้าดูดซับต่อไป สรรพสิ่งในโลกเหล่านั้นอาจต้องตายทั้งหมด”
ต้นฝูซังเอ่ยอย่างไม่แยแสยิ่ง “ข้าไม่ดูดซับพวกมันจนหมดสิ้นก็ได้ อีกอย่าง ไอวิญญาณที่ข้าสร้างขึ้นก็ถูกสิ่งมีชีวิตดูดซับไปเช่นกัน เหตุใดคนอื่นดูดซับจากข้าได้ แต่ข้าดูดซับจากคนอื่นไม่ได้เล่า”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว คำพูดนี้มีเหตุผลนัก แต่ก็รู้สึกว่ามีที่ตรงไหนที่แปลกพิกลอยู่
ภายใต้แสงเทพจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทรา ต้นฝูซังมองไม่เห็นสีหน้าอารมณ์ของหานเจวี๋ย แต่พอหานเจวี๋ยเงียบไป มันก็กระวนกระวายยิ่ง
มันหวาดกลัวหานเจวี๋ยเป็นที่สุด
หานเจวี๋ยเห็นต้นฝูซังสั่นเทาเล็กน้อย ใบไม้เสียดสีดังซู่ซู่ อดใจอ่อนไม่ได้
บางทีเขาอาจจะระแวงเกินไป เข้มงวดกับต้นฝูซังเกินไป
“นอกจากโลกพันอนันต์แล้ว พลังงานจากโลกอื่นๆ ที่เหลือเจ้าสามารถดูดซับได้ แต่อย่าให้เกินไปนัก ยิ่งมันคงอยู่นานเท่าไร ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเจ้ามากเท่านั้น” หานเจวี๋ยเอ่ยผ่อนผัน
โลกพันอนันต์มีจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการอยู่ เสี่ยงถูกติดตามเบาะแสจนมาพบอาณาเขตเต๋าของเขาได้ง่ายๆ
ต้นฝูซังเอ่ยด้วยความยินดี “วางใจเถิด ข้าสัมผัสได้ว่าที่ใดอันตราย ที่ใดไม่อันตราย ที่ผ่านมาข้าไม่เคยดูดซับพลังงานจากโลกพันอนันต์เลย”
หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ ปลดเขตอาคม หันหลังจากไป
เมื่อกลับถึงอารามเต๋า หานเจวี๋ยสะท้อนใจอย่างยิ่ง
เหล่าศิษย์ที่ก่อนหน้านี้เคยเชื่อฟังเขาล้วนเติบใหญ่กันหมดแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง มีวิจารณญาณเป็นของตนเอง เวลาผ่านไปรวดเร็วจริงๆ แม้แต่ต้นฝูซังก็มีวิจารณญาณเป็นของตัวเองแล้ว
หานเจวี๋ยเรียกหน้าต่างค่าสถานะออกมาตรวจสอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าค่าความประทับใจที่เหล่าศิษย์มีต่อตนไม่ได้ลดลง เขาถึงได้วางใจ
ขณะที่เขากำลังจะฝึกบำเพ็ญ แจ้งเตือนแถวหนึ่งพลันเด้งขึ้นมาตรงหน้าเขา
[หลี่มู่อีต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
คนผู้นี้คิดจะทำอะไร
มาขอความช่วยเหลืออีกแล้วหรือ
เดิมทีหานเจวี๋ยคิดจะปฏิเสธ แต่พอไตร่ตรองดู ลองฟังหลี่มู่อีพูดสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร
หากว่ามีรายงานสำคัญเล่า
หานเจวี๋ยเลือกยอมรับ จากนั้นก็เข้าสู่แดนความฝัน
อาณาเขตอริยะ สว่างไสวดั่งแดนเซียน
หลี่มู่อีเข้ามาหาหานเจวี๋ย เอ่ยว่า “สหายเต๋าหาน ไม่ได้พบกันเสียนาน การบำเพ็ญราบรื่นดีหรือไม่”
หานเจวี๋ยตอบไปตามมารยาท “พอใช้ได้ ไม่ทราบว่าอริยท่านมาหาด้วยธุระใด”
“มรรคาสวรรค์ก่อจิตวิญญาณ ปรากฏเค้าลางแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่แล้ว”
หลี่มู่อีถอนหายใจ แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
หานเจวี๋ยรู้เรื่องนี้นานแล้ว ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลย
หลี่มู่อีเอ่ยต่อว่า “มรรคาสวรรค์เที่ยงธรรม เพราะมรรคาสวรรค์ไร้ความรู้สึก เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน สรรพสิ่งล้วนเสมอภาค ยามนี้มรรคาสวรรค์กำเนิดปัญญา อาจจะเกิดความละโมบเห็นแก่ตัว เคราะห์ภัยเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในมรรคาสวรรค์มาก่อน เคราะห์ภัยในอดีตที่ผ่านมา พวกเราเหล่าอริยชนร่วมมือกันกำราบยับยั้งได้ แต่คราวนี้พวกเราไม่อาจต่อกรกับมรรคาสวรรค์ได้ สถานการณ์ตึงมือนัก”
หานเจวี๋ยถามขึ้น “ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด”
“เจ้าอาศัยพลังพิสูจน์มรรค ไม่ถูกมรรคาสวรรค์ควบคุม พอจะมีหนทางทำลายจิตวิญญาณมรรคาสวรรค์โดยไม่ทำร้ายมรรคาสวรรค์หรือไม่”
“เกินความสามารถไปแล้ว มรรคาสวรรค์ถูกก่อตั้งขึ้นโดยมหาเทพผานกู่ ซ้ำยังได้รับการเสริมพลังจากบรรพชนเต๋า ไม่ว่าผู้ใดก็มิใช่คู่ต่อสู้ของมรรคาสวรรค์ทั้งสิ้น”
“เช่นนั้นเจ้าไปเยี่ยมเยือนปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ขอให้ผู้อาวุโสอย่างเขาช่วยลงมือทีเถิด”
“ปรมาจารย์กลับมาแล้วหรือ”
“ใช่”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยความลังเล “ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและปรมาจารย์นั้นผิวเผิน จะโน้มน้าวได้อย่างไร เรื่องนี้หาทางอื่นกันเถิด”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงแข็งแกร่งเกินไปหานเจวี๋ยไม่อยากเผชิญหน้าด้วย
………………………………………………………………