ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 577 เจ็ดหมื่นปี ขวานเบิกฟ้า
บทที่ 577 เจ็ดหมื่นปี ขวานเบิกฟ้า
จอมอริยะเสวียนตูถอนสายตากลับไป หันไปหาเหล่าอริยะ เอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ “สำหรับการตายของหลี่มู่อี ข้ามีข้อสรุปแน่ชัดแล้ว ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้คือรักษาเสถียรภาพของดวงชะตามรรคาสวรรค์ ระยะนี้ดวงชะมรรคาสวรรค์ว้าวุ่นปั่นป่วน ต้องควบรวมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ให้เกิดภัยพิบัติขึ้นมาในขณะนี้อีก”
เหล่าอริยชนถอนหายใจอย่างโล่งอก วาจานี้สอดคล้องกับความคิดของพวกเขา
พวกเขาก็ไม่อยากสู้ตายกับหานเจวี๋ยเช่นกัน
พวกเขาถึงขั้นที่รู้สึกว่าหานเจวี๋ยไม่ด้อยไปกว่าจอมอริยะเสวียนตูเลยด้วยซ้ำ
ผลลัพธ์เช่นนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว จอมอริยะเสวียนตูไม่กล้าเข้าปะทะตรงๆ
จากนั้น จอมอริยะเสวียนตูก็ไม่มากพิธีอีก โบกมือสื่อให้เหล่าอริยะจากไปได้
หลังจากเหล่าอริยะออกมาจากอาณาเขตเต๋า เทพสูงสุดหนานจี๋หันไปหาจักรพรรดินีผืนพิภพ เอ่ยว่า “เจ้ามีบ่วงกรรมกับหานเจวี๋ยลึกซึ้งที่สุด เจ้าว่าหานเจวี๋ยคิดอย่างไรกับพวกเรา”
อริยะที่เหลือก็ล้อมวงเข้ามาเช่นกัน ฉิวซีไหลและเทพสูงสุดอู๋ฝ่าลอบตื่นตัว หากจักรพรรดินีผืนพิภพบังอาจดูหมิ่นหานเจวี๋ย พวกเขาก็จะหาทางจัดการจักรพรรดินีผืนพิภพ
หลังจากผ่านคุกสวรรค์อนธการมา พวกเขาล้วนภักดีต่อหานเจวี๋ยอย่างสุดหัวใจ แต่ก็มิได้สูญสิ้นสติปัญญาและนิสัยของตนไป
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก ต่อให้เป็นอริยะก็ไม่อาจรับรู้ถึงจุดนี้ได้
จักรพรรดินีผืนพิภพตอบว่า “ข้าจะทราบได้อย่างไร แต่ถ้าพวกเจ้าไม่เคยพุ่งเป้าเล่นงานเขา เขาก็คงจะไม่สนใจพวกเจ้า เด็กคนนี้จิตใจฝักใฝ่มหามรรค ไม่ว่างมาวางแผนปองร้ายพวกเจ้าหรอก การตายของหลี่มู่อีพวกเจ้าเองก็ทราบดี ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเจ้า พวกเจ้าจะทำอย่างไรเล่า”
คล้ายนางจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงพูดจาลึกซึ้งอย่างมีนัยว่า “หานเจวี๋ยมองแผนการของฉิวซีไหลและหลี่มู่อีออก พวกเจ้าก็ลองคิดให้มากหน่อยเถิด พลังวิเศษของเขาเหนือล้ำกว่าพวกเราไปไกลแล้ว”
พอพูดจบ จักรพรรดินีผืนพิภพก็หายตัวไปจากจุดเดิม
เหล่าอริยะมองหน้ากันเหลอหลา
….
หกร้อยเก้าสิบปีต่อมา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เบื้องหน้ามีข้อความเด้งขึ้นมาแถวแล้วแถวเล่า
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบเจ็ดหมื่นปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง มุ่งหน้าไปยังแดนเทพหวนปัจฉิมทันที รวมมหามรรคให้เป็นหนึ่ง จะได้รับองครักษ์อาณาเขตเต๋าระดับอริยะหนึ่งคน ชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกให้ห่างจากการแก่งแย่งชิงดี รักษาเจตจำนงเดิมไว้ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]
หานเจวี๋ยสบถในใจ ไอ้ระบบสุนัขล่อลวงเขาอีกแล้ว!
เขาเลือกตัวเลือกที่สองทันที
[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]
[ยินดีด้วยท่านได้รับพลังวิเศษ…วิชาผสานร่างจำลอง]
[วิชาผสานร่างจำลอง: พลังวิเศษเฉพาะ สามารถผสานร่างจำลองที่ตนสำแดงออกมาเข้ากับสังขารของร่างต้นได้ ผสานพลังทั้งสองร่างให้รวมกันเป็นหนึ่ง]
[ยินดีด้วยท่านได้รับยอดสมบัติฟ้าบุพกาล…ขวานเบิกฟ้า]
[ขวานเบิกฟ้า: ยอดสมบัติฟ้าบุพกาล หนึ่งในสมบัติวิเศษประจำตัวเทพมารฟ้าบุพกาลผานกู่ มีพลังกลืนกินดวงชะตาเทพมารฟ้าบุพกาล เบิกฟ้าแยกปฐพีได้]
ขวานเบิกฟ้า!
หานเจวี๋ยตาโต
ยอดสมบัติฟ้าบุพกาลเป็นระดับใดกัน
เท่าที่หานเจวี๋ยทราบมา สมบัติวิเศษต่างแบ่งแยกตามระดับพลังแบ่งออกเป็น สมบัติวิญญาณ ยอดสมบัติ
สมบัติวิญญาณต้าหลัว ยอดสมบัติต้าหลัว สมบัติวิญญาณมรรคาสวรรค์ ยอดสมบัติมรรคาสวรรค์ สมบัติวิญญาณเสรี ยอดสมบัติวิญญาณเสรี!
หรือยอดสมบัติฟ้าบุพกาลจะมีระดับสูงกว่าระดับเสรี
หานเจวี๋ยรู้สึกเหมือนโชคมหาศาลหล่นใส่หัว เช่นนี้ต่อไปก็เริ่มวางท่าองอาจไร้พ่ายได้แล้วใช่หรือไม่
พอใคร่ครวญดูให้ดี ไม่ได้มีแค่ขวานเบิกฟ้าของผานกู่เท่านั้น ยังมีแผ่นหยกนำโชคของบรรพชนเต๋าอีก หนำซ้ำพวกเขายังมียอดสมบัติเช่นนี้ก่อนที่จะพิสูจน์เต๋าอีก ไม่โกงเกินไปหน่อยหรือ
หานเจวี๋ยสงสัยอยู่ในใจ ‘ระบบ เจ้าไปรวบรวมยอดสมบัติเหล่านี้มาได้อย่างไร’
หรือว่าระบบจะถูกสร้างขึ้นโดยบรรพชนเต๋า
หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะสงสัยในที่มาของระบบ
[ระบบเป็นเพียงผู้ช่วยเท่านั้น ที่มาของระบบท่านจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งทรงพลังให้มากพอก่อนถึงจะเข้าใจได้ ตอนนี้ระบบเองก็ไม่ทราบถึงที่มาของตนเช่นกัน]
คำตอบของระบบยังคงแข็งทื่อ ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
เพียงแต่เช่นนี้กลับทำให้หานเจวี๋ยเบาใจ
หากว่าระบบมีความคิดเป็นของตัวเอง แค่คิดก็น่ากลัวมากแล้ว
แน่นอน ตอนนี้ระบบอาจจะเสแสร้งอยู่ก็ได้ แต่หานเจวี๋ยเลือกจะเชื่อใจระบบ หากไม่มีระบบ ตัวเขาไหนเลยจะมีวันนี้ได้
ถึงอย่างไรขอเพียงเขามุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญไปตลอด ไม่ถูกระบบล่อลวงออกไปวิ่งพล่านก็พอ
นอกจากขวานเบิกฟ้าแล้ว วิชาผสานร่างจำลองก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะผสานร่างจำลองได้ครั้งละกี่ตน
วิชานี้เข้าคู่กับร่างจำลองเสรีสุญญตาอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่อาจคาดคะเนระดับได้ ยิ่งพลังวิเศษของร่างจำลองที่จับคู่กันแข็งแกร่งมากเท่าไร มันก็จะแข็งแกร่งมากเท่านั้น
หานเจวี๋ยนำขวานเบิกฟ้าออกมาก่อน เริ่มทำให้มันจดจำเจ้าของ
ขวานเบิกฟ้าใหญ่โตกว่าร่างของหานเจวี๋ยเสียอีก ตัวขวานแผ่กว้าง สลักลวดลายมนุษย์ตัวเล็กๆ ไว้มากมาย อิริยาบถต่างกันไป ราวกับกำลังดำเนินศึกมหาศึกวิปโยคอยู่ หานเจวี๋ยถือขวานเบิกฟ้าไว้ รู้สึกว่าหนักอึ้งยิ่ง แทบจะถือไม่มั่นแล้ว
เขาคือเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้า ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่อาจถือให้มั่นได้!
หานเจวี๋ยเริ่มทำให้มันจดจำเจ้าของ
เวลาผ่านไปหนึ่งปีเต็ม ขวานเบิกฟ้าถึงยอมรับเจ้านายสำเร็จ ยากเย็นยิ่งกว่าป้ายคำสั่งพิฆาตมรรคาเสียอีก
หานเจวี๋ยรับสืบทอดวิชาผสานร่างจำลองต่อ
หลายวันต่อมา เขาครอบครองวิชานี้สำเร็จ จากนั้นก็เข้าใช้แบบจำลองการทดสอบ เริ่มทดลองดู
เขาผสานรวมเข้ากับร่างจำลองเทพมารขุนพลสวรรค์โดยตรง มือถือขวานเบิกฟ้า ฟันเทพสูงสุดอู๋ฝ่าตายในครั้งเดียว
เขาใช้แบบจำลองการทดสอบอีกครั้ง ครั้งนี้หลอมรวมเข้ากับเทพมารขุนพลสวรรค์ เทพมารฤทธา พลังกล้าแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก สังหารเทพสูงสูดอู๋ฝ่าได้สบายๆ
หานเจวี๋ยทดลองไปเรื่อยๆ
เขาพบว่าผลลัพธ์ของการผสานรวมเข้ากับร่างจำลองเทพมารมิใช่การซ้อนรวมกันอย่างสมบูรณ์ พลังมหาศาลของเทพมารฟ้าบุพกาลมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป วิชาผสานร่างจำลองจะผสานรวมเพียงจุดเด่นเท่านั้น พลังของเทพมารประเภทเดียวกันหลังจากหลอมรวมกันแล้วผลลัพธ์จะมิใช่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง อย่างเช่นเทพมารขุนพลสวรรค์และเทพมารฤทธา เมื่อรวมเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์จะกลายเป็นหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับหนึ่งจุดห้า
แต่แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว!
หานเจวี๋ยพอใจยิ่ง เขาสามารถผสานรวมร่างจำลองเทพมารได้มากที่สุดห้าตน ควบคุมพลังเทพมารได้เท่านี้ หากมากไปกว่านี้ร่างกายของเขาก็รับไม่ไหว
หานเจวี๋ยดื่มด่ำกับการต่อสู้ไปเรื่อยๆ ต้องการจะควบคุมวิชาผสานร่างจำลองอย่างสมบูรณ์แบบ ถือโอกาสทดลองผลลัพธ์จากการผสานรวมร่างจำลองเทพมารต่างๆ เข้าด้วยกัน
….
ในมิติลับแห่งหนึ่ง
เงาร่างที่เปล่งแสงพราวระยับแตกต่างกันปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าทีละร่างๆ
พวกเขาทั้งหมดต่างมองไปยังทิศทางหนึ่ง นั่นคือจุดแสงที่ดูคล้ายกับดวงดาวดวงหนึ่ง ส่องวูบวาบเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างอยู่ในความมืดมิด
“มหามรรคนี้แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ความเร็วในการเติบโตระดับนี้ไม่ธรรมดาเลย”
“สรุปแล้วมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือว่าเป็นมหามรรคที่มีเจ้าของกันแน่”
“ไม่ทราบแน่ชัด มองไม่กระจ่างเลย”
“รอดูกันต่อไปเถอะ ข้าสังหรณ์ใจว่ามหามรรคนี้จะส่งผลกระทบต่อฟ้าบุพกาล”
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
เงาร่างเหล่านี้ซุบซิบพูดคุย ผ่านไปสักพัก พวกเขาต่างเลือนหายไป
ท่ามกลางความมืดมิด จุดแสงนั้นส่งประกายอยู่ตามลำพัง พัฒนาตัวเองไปอย่างไม่ย่อท้อ
….
วันเวลาไหลผ่านไป ผ่านพ้นไปอีกแปดร้อยสามสิบสี่ปี
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่พลันได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญแว่วมา มิได้มาจากเขตเซียนร้อยคีรี แต่มาจากโลกมนุษย์อันไกลโพ้น
“บรรพชนหานทั่ว ลูกหลานขออ้อนวอนให้ท่านเร่งสำแดงฤทธิ์ด้วยเถิด ตระกูลหานของพวกเราจะถูกล้างบางแล้ว ท่านแข็งใจอยู่เฉยไม่ช่วยเหลือได้จริงๆ น่ะหรือ”
“เพราะเหตุใดกันหนอตระกูลของผู้อื่นสามารถอัญเชิญเทพเซียนจากโลกเบื้องบนมาได้ ตระกูลหานของข้ามีเทพเซียนเป็นบรรพชน ทว่าไม่สนใจไยดีตระกูลหานของข้าเลยหรือ”
“เพราะอะไร! เพราะอะไร!”
“ตระกูลหานของข้าจากบ้านพลัดถิ่นมานับพันปี เอาชีวิตรอดไปวันๆ เหตุใดสวรรค์ถึงไม่ยอมละเว้นพวกเราบ้าง!”
เสียงนี้เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แหบเครือไร้พลัง
หานเจวี๋ยทอดสายตามองออกไป เขามองเห็นว่าในป่าเขารกร้างกันดารแห่งหนึ่ง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องตะโกนใส่ฟ้า น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย รอบตัวเขามีซากศพกองอยู่มากมาย
หานเจวี๋ยมองแวบเดียวก็ทำนายได้แล้วว่าศพเหล่านั้นล้วนเป็นเชื้อสายของตระกูลหาน
เขาตัดภาพมองไปที่หานทั่ว
เวลานี้ หานทั่วถูกกักขังไว้ในแดนชำระบาปเก้าขุม กำลังฝืนอดทนต่อเพลิงเก้าขุมที่เผาผลาญอยู่ เจ็บปวดทรมานเหลือคณา
………………………………………………………………