ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 579 สังหารจอมอริยะเสวียนตูในเสี้ยววินาที เผยแพร่มรรคไปทั่วปวงสวรรค์
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 579 สังหารจอมอริยะเสวียนตูในเสี้ยววินาที เผยแพร่มรรคไปทั่วปวงสวรรค์
บทที่ 579 สังหารจอมอริยะเสวียนตูในเสี้ยววินาที เผยแพร่มรรคไปทั่วปวงสวรรค์
“พลังวิเศษเช่นใด”
หานเจวี๋ยถาม สามารถทำร้ายฉิวซีไหลโดยไม่เกิดความเคลื่อนไหวได้ พลังวิเศษนี้น่าสนใจอยู่บ้าง
เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับลอบโจมตี!
ต้องทำความเข้าใจให้แน่ชัด!
ฉิวซีไหลตอบว่า “ข้าก็ไม่ทราบกระจ่างเช่นกัน พลังวิเศษนี้คล้ายกับการเข้าฝัน แต่ก็มิใช่การเข้าฝัน จะลากข้าเข้าสู่มิติแห่งหนึ่ง ดำเนินการโจมตีข้า อาการบาดเจ็บทั้งหมดที่ข้าได้รับจะถูกส่งผ่านไปยังร่างกายและวิญญาณของข้า”
หานเจวี๋ยเลิกคิ้วพลางถาม “ในมิติแห่งนั้น เจ้าสามารถตอบโต้ได้หรือไม่”
“ได้ แต่มีขีดจำกัด”
“จอมอริยะเสวียนตูพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”
“ไม่ได้พูดอะไรเลย ดูเหมือนเขาจะไม่อยากหาเรื่องท่าน จึงมิเคยเอ่ยถึงท่านเลย”
“อืม หากเกิดอะไรขึ้น รายงานข้าได้ตลอดเวลา”
“ทราบแล้ว”
หานเจวี๋ยสลายแดนความฝัน
เขาลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วนิดๆ
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพลันกระโจนออกจากเขตเซียนร้อยคีรี มาโผล่ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม หน้าอาณาเขตเต๋าของหลี่มู่อี เขาใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับตบะของจอมอริยะเสวียนตู
“สหายเต๋ามาด้วยธุระใดหรือ”
เสียงของจอมอริยะเสวียนตูแว่วออกมา น้ำเสียงสงบราบเรียบ
หานเจวี๋ยทิ้งท้ายไว้ประโยคเดียวแล้วหายตัวไปทันที “ผ่านทางมาเท่านั้น ไม่รบกวนการบำเพ็ญของผู้อาวุโสแล้ว”
เดิมทีจอมอริยะเสวียนตูตื่นตัวยิ่ง แต่คำว่าผู้อาวุโสของหานเจวี๋ยทำให้สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงอีกครั้ง
เขาไม่ชอบความกลับกลอกของหลี่มู่อีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หลังจากทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าหลี่มู่อีหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่หานเจวี๋ยลงมือกับนิกายเหริน เขาย่อมมองเป็นศัตรูตามสัญชาตญาณ แต่มองจากตอนนี้ยังไม่แน่ว่าหานเจวี๋ยจะเป็นศัตรู
แต่ว่าคนผู้นี้ผ่านทางมาจริงๆ น่ะหรือ
เป็นไปไม่ได้!
‘หรือว่าเขามาตรวจสอบตบะของข้า พบว่าสู้ข้าไม่ได้ ดังนั้นจึงล่าถอยไป’
จอมอริยะเสวียนตูขมวดคิ้วครุ่นคิด ข้อนี้มีความเป็นไปได้สูง
หวังว่าคนผู้นี้จะรู้จักเจียมตัวบ้าง จอมอริยะเสวียนตูมิได้อยากมาที่มรรคาสวรรค์เลย เขาอยากใช้เวลาไปกับการฝึกบำเพ็ญมากกว่า
อีกด้านหนึ่ง
หานเจวี๋ยกลับมาในอารามเต๋า เริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ ท้าสู้จอมอริยะเสวียนตู
ใช้เวลาถึงสิบลมหายใจกว่าเขาจะสังหารจอมอริยะเสวียนตูได้
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
พลังวิเศษของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา!
ไม่น่าเชื่อว่าจะลากจิตรับรู้ของหานเจวี๋ยออกมาแล้วดึงเข้าสู่มิติอื่นได้ โชคดีที่หานเจวี๋ยใช้พลังของเทพมารเสื่อมสูญทลายมิติลึกลับนั้นออกมาตรงๆ ใช้ขวานเบิกฟ้าฟันสังหารจอมอริยะเสวียนตู
ไม่ได้การแล้ว!
สิบลมหายใจนานเกินไป!
หากว่าจอมอริยะเสวียนตูมีผู้ช่วยอีก เป็นไปได้สูงว่าร่างจริงของหานเจวี๋ยจะถูกสังหาร
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบต่อ หาวิธีสังหารจอมอริยะเสวียนตูให้ได้ในเสี้ยววินาที
จอมอริยะเสวียนตูสมกับที่เป็นอริยะมรรคาสวรรค์ระยะสมบูรณ์ แข็งแกร่งจริงๆ ถึงขั้นที่หานเจวี๋ยสงสัยว่าเขาจะถูกสะกดระดับพลังเอาไว้ เช่นเดียวกับเทพสูงสุดอู๋ฝ่า เดิมทีเป็นอริยะระดับเสรี แต่เพื่อเข้าสู่มรรคาสวรรค์ ตบะจึงถูกสะกดให้อยู่ในระดับอริยะมรรคาสวรรค์
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้จอมอริยะเสวียนตูคืออริยะมรรคาสวรรค์!
หลังจากใช้แบบจำลองการทดสอบไปเจ็ดครั้ง หานเจวี๋ยก็พบวิธีการ
เปิดฉากมาให้ใช้วิชาผสานร่างจำลองผสานรวมกับเทพมารพิทักษ์และเทพมารกีดกันก่อน ปิดกั้นมิติลึกลับของจอมอริยะเสวียนตูโดยตรง แล้วค่อยสังหารจอมอริยะเสวียนตูในเสี้ยววินาที
ตัวตนระดับอริยะ เพียงชั่วพริบตาก็มากพอให้ลงมือได้มากมายยิ่ง
หลังจากค้นพบวิธีสังหารจอมอริยะเสวียนตูในเสี้ยววินาที หานเจวี๋ยอารมณ์แช่มชื่น ผ่อนคลายลง
เขาไม่คิดจะจัดการจอมอริยะเสวียนตู ขอเพียงคนผู้นี้ไม่มาหาเรื่องก่อน
หากสังหารจอมอริยะเสวียนตู ต้องดึงดูดตัวตนที่ทรงพลังกว่ามาแน่นอน จะเผลอไปล่วงเกินผู้ทรงพลังน่าหวาดหวั่นเข้าในไม่ช้าก็เร็ว
หานเจวี๋ยไม่อยากสังหารศัตรูข้ามขั้น มันเหนื่อยเกินไป
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังจะฝึกบำเพ็ญ
หานตั้วเทียนมาขอเข้าพบพอดี
เขาจับแนวทางการปิดด่านของหานเจวี๋ยอย่างแน่ชัดได้แล้ว ส่วนใหญ่จะสิ้นสุดการปิดด่านหนึ่งครั้งในระยะเวลาหนึ่งพันปี
หานเจวี๋ยให้เขาเข้ามาในอารามเต๋า เช่นเดียวกับที่ผ่านมา เขามารายงานถึงสิ่งมีชีวิตที่คุณสมบัติถึงขีดกำจัดอีกเช่นเคย ครั้งนี้มีจักรพรรดิเซียนจำนวนแปดพันราย ตบะไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป
บรรลุจักรพรรดิเซียนได้ในระยะเวลาไม่กี่หมื่นปี คุณสมบัติคล้ายจะยอดเยี่ยม แต่ต้องพิจารณาถึงพลังวิญญาณในอาณาเขตเต๋า ผนวกกับมีหานเจวี๋ยแสดงธรรมอยู่เป็นระยะด้วย
“อาจารย์ปู่เทียด ครั้งนี้ยังจะส่งพวกเขาไปเสริมกำลังให้เผ่าสวรรค์อีกหรือไม่ขอรับ” หานตั้วเทียนถาม
หานเจวี๋ยย้อนถาม “เจ้ามีความคิดเช่นไร”
ในเมื่อเด็กคนนี้ถามเช่นนี้ จะต้องมีความคิดอื่นอยู่แน่
หานตั้วเทียนกล่าวว่า “ข้าทราบผ่านหมื่นโลกาฉายชัดว่าเผ่าสวรรค์ครอบครองแดนเซียนแต่เพียงผู้เดียวแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุนจากสำนักซ่อนเร้นอีก หากว่าช่วยเหลือให้เผ่าสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นไปอีก เกรงว่าคงมิใช่เรื่องดี เมื่อเผ่าสวรรค์แข็งแกร่งเกินไป จะต้องเผชิญกับการร่วมมือต่อต้านจากกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ อีกอย่าง เกรงว่าภายในเผ่าสวรรค์อาจจะเกิดความโอหังลำพองตัว ศิษย์ในนามที่พวกเราส่งไปอาจจะเปลี่ยนใจแปรพักตร์”
หานเจวี๋ยอารมณ์ดีนัก
เด็กคนนี้อยู่ในสำนักซ่อนเร้นมาโดยตลอด ทว่ามองจิตใจคนออก หรือจะเป็นพรสวรรค์กัน?
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร”
“ทำเช่นเดียวกับศิษย์ในนามกลุ่มแรกสุด ส่งออกไปแทรกซึมในโลกอื่นๆ อีกอย่าง พวกเราสามารถคัดเลือกผู้นำกลุ่มสักคน ดึงเข้าสู่หมื่นโลกาฉายชัด เพื่อสะดวกต่อการติดต่อสื่อสาร”
“อืม เจ้าจัดการได้เลย”
“ขอบพระคุณอาจารย์ปู่เทียด!”
หานตั้วเทียนปรีดา รีบคารวะขอบคุณ
แค่คำพูดประโยคเดียวจากหานเจวี๋ยเทียบได้กับการยกสถานะของเขาให้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับศิษย์คนอื่นๆ ที่รู้จักแต่มานะบำเพ็ญแล้ว เขาช่วยเป็นธุระให้หานเจวี๋ยได้ ย่อมมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
หลายวันต่อมา
จักรพรรดิเซียนแปดพันรายคัดเลือกเฉพาะหัวกะทิออกมาแปดคน ยกระดับให้เป็นศิษย์สายใน นับว่ากลายเป็นศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นอย่างเป็นทางการแล้ว หานเจวี๋ยลากพวกเขาเข้าสู่หมื่นโลกาฉายชัด จากนั้นแบ่งพวกเขาออกเป็นแปดกลุ่ม แยกย้ายส่งตัวไปตามโลกต่างๆ ผ่านทางต้นฝูซัง
ด้วยเหตุนี้ สำนักซ่อนเร้นจึงมีสาขาย่อยนอกมรรคาสวรรค์เก้าแห่งแล้ว
จักรพรรดิเซียนกลุ่มแรกสุดที่ส่งตัวออกไปลงหลักปักฐานสำเร็จ ถึงขั้นที่กลายเป็นสำนักใหญ่ทรงอำนาจแห่งหนึ่ง ดวงชะตารุ่งโรจน์
ระยะนี้ต้นฝูซังก็เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์บางส่วนแล้ว เพียงแต่หานเจวี๋ยไม่มีความคิดจะเข้ายึดครองโลกมนุษย์เลย
โลกนอกมรรคาสวรรค์เกิดขึ้นจากการบุกเบิกของอริยะ ครึ่งอริยะ และตัวตนระดับต้าหลัว ระดับความแข็งแกร่งของโลกเชื่อมโยงกับตบะของผู้บุกเบิก และมีโลกบางแห่งที่วิวัฒนาการขึ้นมาตามธรรมชาติ เพียงแต่ยังห่างไกลจากมรรคาสวรรค์ก็เท่านั้น
จนถึงตอนนี้ หานเจวี๋ยก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสรุปแล้วนอกมรรคาสวรรค์มีโลกซุกซ่อนอยู่อีกมากน้อยเพียงใด
รู้ให้มากเข้าไว้ย่อมดีกว่าเสมอ
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย หานเจวี๋ยเริ่มปิดด่านฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
ต้องบรรลุระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะสมบูรณ์ให้ได้ก่อนอายุครบหนึ่งแสนปี!
จากนั้นก็ตั้งเป้าไว้ที่ระดับอริยะเสรี!
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ตำหนักเอกอนันต์
ที่นี่แตกต่างจากอาณาเขตเต๋าอริยะรายอื่น รอบตำหนักเอกอนันต์มีหมอกหนาปกคลุม ผลุบๆ โผล่ๆ ดูลึกลับอย่างยิ่ง
ภายในตำหนัก
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง อริยะเจ็ดวิถี อวี้ผูถี และตี้จวินมารวมตัวกันอีกครั้ง
ตี้จวินเอ่ยกระเซ้า “ข้ารับมหามรรคนิพพานของพวกเจ้าไว้แล้ว ต่อไปอาจจะมีอริยะที่พิสูจน์มรรคด้วยพลังเพิ่มขึ้นอีกหลายคนก็ได้นะ”
อริยะเจ็ดวิถีแค่นเสียง “เจ้าหนุ่มหานเจวี๋ยคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าสงสัยว่าเขาจะมีผู้ทรงพลังเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลัง”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงส่ายหน้า
“ขอเพียงเขามิใช่เทพมารอนธการก็พอแล้ว” อวี้ผูถีหัวเราะร่า
อริยะเจ็ดวิถีย้อนถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่”
อวี้ผูถีเอ่ยว่า “เทพมารอนธการจะนำทัพเทพมารฟ้าบุพกาลเข้าทำลายล้าง บรรพชนเต๋าเคยทำนายไว้ เทพมารอนธการจะนำพาเทพมารฟ้าบุพกาลผงาดขึ้นมา แต่เจ้าหนุ่มหานเจวี๋ยเก็บตัวปิดด่านมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ลงมือล้วนเป็นเพราะถูกบีบคั้นหมดทางเลือก เหมือนเทพมารอนธการเสียที่ไหน ข้ารู้สึกว่าเขาคล้ายเทพมารฟ้าบุพกาลมากกว่า ก่อนหน้านี้สหายเต๋าลัญจกรสรวงก็เคยกล่าวไว้มิใช่หรือ บอกว่าเขาสามารถสำแดงร่างจำลองเทพมารฟ้าบุพกาลออกมาได้”
อริยะเจ็ดวิถีเงียบไป
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเปิดปากกล่าวว่า “ระยะนี้เจ้าพวกนั้นที่อยู่ในแดนต้องห้ามอันธการเคลื่อนไหวเพ่นพ่าน ยามปกติพวกเจ้าก็เดินทางกันให้น้อยลงหน่อยเถิด คอยปกป้องแดนเทพหวนปัจฉิมไว้ให้ดี อวี้ผูถี เจ้าจงใส่ใจสอดส่องแดนต้องห้ามอันธการให้มากขึ้น อย่าได้เอาแต่จับตามองแดนเซียนและแดนเทพหวนปัจฉิม สำนักพุทธแข็งแกร่งมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดวางแผนอีก”
………………………………………………………………