ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 582 บุตรแห่งมหาเคราะห์ เพื่อนเก่ามาเยี่ยมเยือน
บทที่ 582 บุตรแห่งมหาเคราะห์ เพื่อนเก่ามาเยี่ยมเยือน
ภายในวังเมฆาม่วง ฟางเหลียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สบสายตากับหานเจวี๋ยเข้าพอดี
หานเจวี๋ยนึกว่าตนถูกพบตัวเข้าแล้ว ผลคือเงาร่างหนึ่งเดินทะลุผ่านเขาเข้าไปหาฟางเหลียง
เขาเพ่งมอง นี่มิใช่จอมอริยะเสวียนตูหรอกหรือ
มองเห็นจอมอริยะเสวียนตูก้าวเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าฟางเหลียง เอ่ยว่า “คารวะบรรพชนเต๋า”
ฟางเหลียงสีหน้าเฉยชา เอ่ยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
จอมอริยะเสวียนตูตอบ “พบตัวเทพมารฟ้าบุพกาลตนนั้นแล้วขอรับ พร้อมส่งเข้าสู่มรรคาสวรรค์ไปต่อกรกับบุตรแห่งมหาเคราะห์ได้ทุกเมื่อ”
“อืม รอจนบุตรแห่งมหาเคราะห์บรรลุระดับครึ่งอริยะ ค่อยส่งเทพมารฟ้าบุพกาลไป”
“ทราบแล้วขอรับ”
หานเจวี๋ยฟังแล้วรู้สึกสงสัยยิ่งนัก
ส่งเทพมารฟ้าบุพกาลไปอย่างนั้นหรือ
แล้วบุตรแห่งมหาเคราะห์คือผู้ใดกัน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หานเจวี๋ยสังหรณ์ใจถึงหานทั่ว
หลังจากภาพลวงตาวิวัฒนาการสิ้นสุดลง หานเจวี๋ยสอบถามทันทีว่าบุตรแห่งมหาเคราะห์คนนี้คือใคร
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[อี๋เทียน: ระดับปฐมเทพขั้นสาม บุตรแห่งมรรคาสวรรค์ เทพมารฟ้าบุพกาล มรรคาสวรรค์ลิขิตให้มีดวงชะตายิ่งใหญ่ แบกรับภารกิจลิขิตฟ้ารวมแดนเซียนให้เป็นหนึ่ง]
หานเจวี๋ยโล่งอก
ค่อยยังชั่ว ไม่ใช่ลูกชายเขา
เมื่อมองจากรูปการณ์นี้ อย่างน้อยฟางเหลียงก็ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่สำนักซ่อนเร้น
ดียิ่ง
หานเจวี๋ยส่ายหน้า สลัดความคิดไร้สาระออกจากสมอง จากนั้นเริ่มฝึกบำเพ็ญ
….
วันเวลาไม่คอยท่า แดนเซียนเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน มีผู้ทรงพลังปรากฏตัวขึ้นเนืองๆ ใต้หล้าแห่งแดนเซียนมีสีสันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตำนานแห่งอริยะพร่าเลือนคลุมเครือขึ้นเรื่อยๆ ความสนใจของสรรพสิ่งเริ่มหันเหไปยังเรื่องอื่น
หลี่เต้าคง สือตู๋เต้า จี้เซียนเสิน เจียงตู๋กู จักรพรรดิปีศาจอีกาทอง ราชามังกรทะเลบูรพาและเหล่าบรรพชนพุทธกลายเป็นผู้ทรงพลังชั้นแนวหน้าและมีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดของแดนเซียน
ส่วนหานทั่ว ถึงแม้จะสนิทสนมกับอี๋เทียน แต่เขาเก็บตัวยิ่ง ชื่อเสียงไม่โด่งดัง
ในวันนี้เอง
โจวฝานกลับมา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เคลื่อนย้ายเขาเข้ามาในเขตเซียนร้อยคีรี เขาเรียกหน้าต่างค่าสถานะขึ้นมาตรวจดูไปด้วย เวลาผ่านไปหนึ่งพันเจ็ดร้อยยี่สิบปีแล้ว
การกลับมาของโจวฝานดึงดูดให้เหล่าศิษย์สืบทอดมาชุมนุมกัน ใต้ต้นฝูซังพลันครึกครื้นขึ้นมา
หานเจวี๋ยมิได้ให้ความสนใจกับโจวฝาน แต่เลือกตรวจดูจดหมาย
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านผสานรวมกับต้นกำเนิดมรรคาสวรรค์ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[เทพสูงสุดอู๋ฝ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]
[มหาจักรพรรดิเซียวสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]
[หวงจุนเทียนสหายของท่านเปิดรับศิษย์มหาศาล ดวงชะตานิกายเจี๋ยเพิ่มพูน พลังมรรคของเขาเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันเพราะเหตุนี้]
[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเจ้าแห่งมหาเคราะห์โบราณ]
[สือตู๋เต้าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เต้าคงสหายของท่าน]
[หลี่เสวียนเอ้าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเจียงตู๋กูสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
….
ระดับของเหล่าสหายเพิ่มสูงขึ้นแล้ว น้อยนักที่จะพบเห็นสถานการณ์ถูกโจมตีเกินหมื่นครั้ง ผู้ทรงพลังต่อสู้กัน แทบจะเป็นการท้าดวลตัวต่อตัวทั้งสิ้น อย่างไรเสียบุคคลระดับนั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาผู้ช่วยจำนวนมากแล้ว
ต้าหลัวหลายสิบคนจะรุมโจมตีต้าหลัวตัวคนเดียวเช่นนั้นหรือ
เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง
หานเจวี๋ยถูกสถานการณ์ล่าสุดของหวงจุนเทียนดึงดูดความสนใจ คนผู้นี้เริ่มพัฒนานิกายเจี๋ย ซ้ำดวงชะตายังเพิ่มพูนเพราะเหตุนี้ด้วย มีฝีมืออยู่บ้าง
นิกายเจี๋ยซวยแล้ว!
เท่าที่หานเจวี๋ยรู้จักหวงจุนเทียนมา คนผู้นี้เหมาะสำหรับการต่อสู้แข่งขันเป็นการภายในเท่านั้น ไม่เหมาะดูแลจัดการ
แรกเริ่มเดิมทีสำนักของหวงจุนเทียนถูกหานเจวี๋ยบดขยี้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางยืนยงไร้พ่ายของหานเจวี๋ย
อย่างไรก็ตามถึงนิกายเจี๋ยจะซวยก็ไม่เกี่ยวข้องกับหานเจวี๋ย
หลายวันต่อมา
โจวฝานมาขอเข้าพบหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยให้เขาเข้ามา
หลังจากคารวะเรียบร้อย โจวฝานเปิดปากกล่าวว่า “อาจารย์ เมืองฟ้าบุพกาลปรากฏค่ายกลแห่งหนึ่งขึ้น เดินทางสู่แดนเทพหวนปัจฉิมได้ สำนักนิกายอื่นๆ ล้วนส่งศิษย์ไปศึกษาร่ำเรียนที่แดนเทพหวนปัจฉิม สำนักซ่อนเร้นไม่มีผู้หนุนหลังในแดนเทพหวนปัจฉิม แต่เหล่าอริยะต่างเชื้อเชิญข้า บอกว่าอาณาเขตเต๋าในแดนเทพหวนปัจฉิมของพวกเขายินดีรับรองศิษย์สำนักซ่อนเร้นไปตระหนักมหามรรคได้”
“เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ข้าไม่กล้าหุนหันตัดสินใจ ดังนั้นจึงกลับมาถามท่านขอรับ”
หานเจวี๋ยถาม “ไยไม่แจ้งเรื่องมาทางหมื่นโลกาฉายชัด”
โจวฝานหัวเราะแหะๆ “ข้าคิดจะถือโอกาสกลับมาพักผ่อนสักหน่อยด้วยขอรับ เมืองฟ้าบุพกาลน่าเบื่อจริงๆ ศิษย์ของสำนักต่างๆ ดูคล้ายจะกลมเกลียวกัน แต่ที่จริงต่างก็เขม่นหวาดระแวงกัน ช่างน่าเบื่อนัก”
หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “เรื่องเมืองฟ้าบุพกาลสำคัญมาก เจ้าพักผ่อนสักระยะแล้วค่อยกลับไปเถิด”
“ศิษย์ทราบแล้วขอรับ เช่นนั้นเรื่องอาณาเขตเต๋าที่แดนเทพหวนปัจฉิมล่ะขอรับ”
“ไม่ไป ปฏิเสธความหวังดีของเหล่าอริยะอย่างละมุนละม่อม สำนักซ่อนเร้นของพวกเราจะอยู่แค่ในมรรคาสวรรค์ ไม่เหยียบย่างไปยังแดนเทพหวนปัจฉิม”
“จะทำให้เหินห่างกันไปหรือไม่ขอรับ”
“เฮอะ หากเรียบง่ายเช่นนั้นจริงๆ เหตุใดผู้หนุนหลังในแดนเทพหวนปัจฉิมไม่ลงมือช่วยเหลือยามพวกเขามีภัยเล่า”
“ความหมายของท่านคือ…”
“ออกไปเถอะ”
“ขอรับ”
โจวฝานลุกขึ้นจากไป
หลังออกจากอารามเต๋า เขายังคงครุ่นคิดเรื่องแดนเทพหวนปัจฉิมอยู่
ทันใดนั้นเขาเหลือบไปเห็นจางเจี่ยว
“ข้าคงเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ แม้กระทั่งพื้นเพเบื้องหลังของอาจารย์เอง ข้ายังไม่กระจ่างแจ้งเลย ไยต้องเก็บมากังวลด้วยเล่า”
โจวฝานส่ายหน้าหลุดขำออกมา ติดตามหานเจวี๋ยไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน!
หลายเดือนต่อมา เขตเซียนร้อยคีรีได้ต้อนรับแขกอีกครั้ง
“หานเจวี๋ยอยู่หรือไม่”
ผู้มายืนอยู่บนยอดเขาสูง ร้องเรียงเสียงดังก้อง
เมื่อหานเจวี๋ยได้ยิน เขาอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมา
สหายเก่าผู้หนึ่ง
จั้งกูซิง
อดีตบุตรแห่งสวรรค์ของวังเทพ ต่อมาได้กลายเป็นผู้พิทักษ์แม่น้ำมรรคกระบี่ ในอดีตหานเจวี๋ยเคยนับถือเขาเป็นพี่ใหญ่
หานเจวี๋ยคิดเล็กน้อย จากนั้นก็เคลื่อนย้ายจั้งกูซิงเข้ามาในอารามเต๋าของตน
ตบะของจั้งกูซิงเพิ่งบรรลุระดับปฐมเทพขั้นหนึ่ง ในสายตาหานเจวี๋ยแล้วไม่ต่างไปจากมดปลวกตัวหนึ่งเลย จุดแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือในอดีตเขาเคยคบหามดปลวกตัวนี้มาก่อน
ย้อนนึกถึงอดีต หานเจวี๋ยได้สาปแช่งศัตรูของจั้งกูซิงจนตายไปเพื่อช่วยเหลือจั้งกูซิง
ทั้งสองสิ้นบุญคุณต่อกันแล้ว
เหตุผลที่หานเจวี๋ยยอมพบเขา เป็นเพราะเห็นแก่ที่เขาช่วยดูแลหานทั่ว
เมื่อจั้งกูซิงเห็นหานเจวี๋ย พลันเหม่อลอยไปพักหนึ่ง
หานเจวี๋ยก็มองสำรวจเขาเช่นกัน ไม่ได้พบกันหลายหมื่นปี จั้งกูซิงดูเจนโลกยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้หานเจวี๋ยไม่มีทางเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อีก และเขาเองก็คงรับไม่ไหวเช่นกัน
จั้งกูซิงดึงสติกลับมา ดวงตาฉายแววซับซ้อนขณะเอ่ยทักทาย “คารวะอริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศล”
หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ “ระหว่างพวกเราไยต้องมากพิธีเช่นนี้เล่า ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”
เขาสามารถทำนายสิ่งที่จั้งกูซิงประสบในระยะนี้ดูได้ แต่เขารู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นเลย
บางเรื่องก็ทำได้ง่ายๆ แต่บางครั้งการรู้ไปเสียทุกอย่างก็ดูน่าเบื่อเกินไป
จั้งกูซิงยิ้มขมขื่นตอบว่า “ไม่ดีเลย ดังนั้นถึงได้มาหาท่าน พูดกันตามตรง ข้าไม่อยากอาศัยมิตรภาพเก่าก่อนของพวกเราเลย แต่ข้าอับจนหนทางแล้ว จำต้องบากหน้ามาหาท่าน”
หานเจวี๋ยโบกมือ เบาะกลมใบหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังจั้งกูซิง
จั้งกูซิงนั่งลงไป เริ่มบอกเล่าถึงความทุกข์ของตน
ที่แท้จั้งกูซิงอยากก่อตั้งวังเทพขึ้นมาใหม่ เขาได้เชิญชวนหานทั่ว จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดและบรรดาบุตรแห่งสวรรค์ผู้มีความสามารถไปแล้ว จนปัญญาตรงที่พอเริ่มก่อตั้งสำนักดวงชะตาขึ้นล้วนถูกอริยะมรรคาสวรรค์ปิดกั้นดวงชะตามรรคาสวรรค์เสียทุกครั้ง จึงล้มเหลวมาโดยตลอด
ส่วนเรื่องหานทั่ว จั้งกูซิงก็มิได้ปิดบังอำพราง เขาเดาออกว่าหานทั่วคือบุตรชายของหานเจวี๋ย ดังนั้นจึงเคยถ่ายทอดพลังวิเศษมรรคกระบี่ให้หานทั่ว ซ้ำยังเคยช่วยเหลือหานทั่วไว้ หลังจากทราบถึงความเข้าใจที่หานทั่วมีต่อบิดา เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่เปิดโปงเรื่องราว
หานเจวี๋ยไม่คิดเลยว่าจักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดก็เข้าร่วมวังเทพด้วย แต่พอคิดดูให้ดี คาดว่าคงเป็นเพราะหานทั่ว
จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดเฝ้ามองหานเจวี๋ยเติบโตขึ้นมา แม้แต่จั้งกูซิงยังคาดเดาตัวตนของหานทั่วได้ ไยจักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดจะเดาไม่ได้เล่า
จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดน่าจะอยากอาศัยวังเทพเป็นสะพานเพื่อก้าวเข้าสู่เวทีแห่งแดนเซียนอย่างเป็นทางการ ต่อสู้แย่งชิงดวงชะตา
หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย ทำนายได้ว่าอริยะที่ขัดขวางการก่อตั้งวังเทพของจั้งกูซิงคือเทพสูงสุดหนานจี๋
………………………………………………………………