ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 600 เทพสงครามตื่นตระหนก ลี่จื้อไจ้
บทที่ 600 เทพสงครามตื่นตระหนก ลี่จื้อไจ้
“เด็กคนนี้อาจกลายเป็นชนวนข้อพิพาทระหว่างพวกเรากับนิกายเหริน ท่านคิดว่าสมควรจัดการอย่างไรดี”
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรว่าพลางถามอย่างระมัดระวัง
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “พิพาทก็พิพาทสิ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ คำนึงถึงภาพรวมของมิติวัฏจักรก็พอแล้ว”
“ข้าทราบแล้ว”
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็เรื่องพูดถึงเรื่องอื่นๆ
เมื่อมิติวัฏจักรแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เผ่าพันธุ์ต่างๆ ของแดนเซียนพิภพก็เริ่มรวมตัวกันต่อต้านมิติวัฏจักร เทคโนโลยีอันทรงพลังบางอย่างเกือบจะตรวจสอบพบตัวตนของมิติวัฏจักรแล้ว เคราะห์ดีที่จักรพรรดิเซียนวัฏจักรค้นพบทันเวลา จึงปิดกั้นสัญญาณของเทคโนโลยีอย่างง่ายดาย
ผู้กลับชาติมาเกิดที่มีประสบการณ์เกินกว่าหนึ่งร้อยครั้งขึ้นไปต่างเดินทางข้ามจักรวาลอย่างอิสระได้ มิติวัฏจักรมีคำสั่งขั้นเด็ดขาด ห้ามแพร่งพรายข้อมูลใดๆ ของมิติวัฏจักร ดังนั้นเหล่าผู้กลับชาติมาเกิดจึงกระจายตัวปะปนอยู่ในทุกเผ่าพันธุ์และทุกระดับชั้นในจักรวาลอย่างยอดเยี่ยม
จะค้นหาตัวผู้กลับชาติมาเกิดได้อย่างไร กลายเป็นปัญหาชวนปวดหัวที่สุดของทุกเผ่าพันธุ์ที่มีอารยธรรมในจักรวาล
เมื่อหานเจวี๋ยฟังจบก็สิ้นสุดแดนความฝัน
เขาคิดดูเล็กน้อย จากนั้นก็ไปเข้าฝันหยางตู๋
ตอนนี้พลังของหยางตู๋เทียบเท่าระดับมหายานแล้ว หากอยู่ในแดนเซียนไม่นับว่าเป็นอันใดเลย แต่เมื่ออยู่ในแดนเซียนพิภพกลับกลายเป็นอาวุธที่มีความสำคัญด้านการศึกอย่างแน่นอน เขากลายเป็นเทพสงครามของดาวโลกแล้ว ช่วยปกป้องดาวโลกให้รอดพ้นจากการทำลายล้างของกลุ่มอารยธรรมนอกระบบสุริยจักรวาลหลายต่อหลายครั้ง
หยางตู๋ไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์ของหนุ่มน้อยอีกต่อไป แต่ยังคงดูอ่อนวัยยิ่ง คาดว่าคงเป็นเพราะใช้ยาอายุวัฒนะที่ได้จากการทำภารกิจในมิติวัฏจักร
มีการฝึกฝนรู้แจ้งในสัจธรรมแห่งแม่น้ำโชคชะตาของแดนเซียนพิภพ
เมื่อหยางตู๋เห็นหานเจวี๋ย เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ผมไม่คิดจะเข้าร่วมทีมในมิติวัฏจักรหรอกนะ”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “วิชาชุบร่างวัฏจักรดาราที่ข้ามอบให้เจ้ามีประโยชน์หรือไม่เล่า”
พอหยางตู๋ได้ยิน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เขาไม่เคยบอกเรื่องวิชาชุบร่างวัฏจักรดารากับใครหน้าไหนเลย มีแค่ตัวเขาที่รู้
หยางตู๋รู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันใด จึงถามอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณความเมตตาของผู้อาวุโส ทำไมผู้อาวุโสถึงเลือกผมเหรอครับ”
ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างมหาศาลในด้านภพภูมิและภาษา แต่หานเจวี๋ยสามารถปรับคลื่นความถี่ให้ทั้งสองคนสามารถสื่อสารกันได้อย่างง่ายดาย
หานเจวี๋ยตอบว่า “เพราะเจ้าโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ทว่าจิตใจเจ้าเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก”
หยางตู๋ไม่ใช่คนโง่ ฟังความนัยที่แฝงอยู่ออก หานเจวี๋ยบ่งชี้ให้เห็นว่าวางแผนกับตัวเขาไว้
เขาไม่มีทางลืมเลือนความโดดเดี่ยวอ้างว้างในช่วงก่อนอายุครบสิบสี่ปีของตนลง หากไม่มีวิชาชุบร่างวัฏจักรดารา เขาจะมีวันนี้ได้อย่างไร
เขารู้สึกซาบซึ้งตื้นตันในตัวหานเจวี๋ยยิ่งนัก
แต่เพราะไม่เข้าใจหานเจวี๋ย เขาจึงค่อนข้างกระวนกระวาย
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “วางใจเถอะ ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการให้เจ้ามาทำงานรับใช้ข้า อย่างน้อยก็ในระยะเวลาอันสั้นนี้”
“ระยะเวลาอันสั้นที่ว่ายาวนานแค่ไหนครับ”
“ร้อยล้านปีกระมัง”
“ร้อยล้าน…”
หยางตู๋ตกใจ ตัวสั่นเทิ้มไปหมด
หานเจวี๋ยอธิบายว่า “วิชาชุบร่างวัฏจักรดาราเป็นวิชาที่สามารถฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นตัวตนที่อยู่ในจุดสูงสุดเหนือกว่าสังสารวัฏ แต่คุณสมบัติร่างกายเจ้าธรรมดาสามัญ อีกไม่นานจะต้องเผชิญปัญหาคอขวด จำเป็นต้องฝึกฝนวิชายุทธ์อย่างอื่นด้วย สักวันหนึ่ง ข้าจะมอบคุณสมบัติร่างกายอันแข็งแกร่งให้เจ้า”
“ก่อนจะถึงวันนั้น เจ้าจงเลือกเข้าร่วมกับจักรพรรดิเซียนวัฏจักรแห่งมิติวัฏจักรซะ แต่เจ้าห้ามเอ่ยถึงข้า”
ตัวตนที่อยู่ในจุดสูงสุดเหนือกว่าสังสารวัฏ!
หยางตู๋ใจเต้นระรัว ตอนนี้เขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมิติวัฏจักรก็ยังคงรู้สึกว่าตนนั้นเล็กกะจ้อยร่อยอยู่
ตัวตนลึกลับเบื้องหน้าที่มีแสงเทพโอบคลุมอยู่ผู้นี้เป็นใครกันแน่?
หยางตู๋ถามด้วยความระมัดระวัง “จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเป็นใคร”
หานเจวี๋ยเงียบไป
เขานับนิ้วทำนาย ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง จักรพรรดิเซียนวัฏจักรไม่ได้มาหาหยางตู๋ด้วยตัวเอง แต่ส่งสิบสองจอมเทพใต้สังกัดมาหาหยางตู๋
“นายของสิบสองจอมเทพ”
หยางตู๋ตกตะลึงอีกครา
สิบสองจอมเทพเป็นตัวตันที่อยู่เหนือกว่ามิติวัฏจักร ลือกันว่าสามารถกวาดล้างจักรวาลได้ง่ายๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวตนระดับนี้ก็ยังมีเจ้านายอีก
หรือเจตนาของอีกฝ่ายคือให้เขาไปแฝงตัวอยู่ในสังกัดของจักรพรรดิเวียนวัฏจักร วันหน้าจะมีประโยชน์มหาศาลใช่หรือไม่
หยางตู๋หาจุดยืนให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว
ยิ่งอยู่สูงเท่าไร ยิ่งรู้มากเท่าไร ก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้สิ่งที่หยางตู๋กลัวที่สุดคือการที่ตนไม่อาจก้าวหน้าต่อไปได้
จากนั้นหานเจวี๋ยก็ถ่ายทอดพลังวิเศษเล็กๆ น้อยๆ บางส่วนให้หยางตู๋ สำหรับตัวเขานับว่าเป็นพลังวิเศษเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับหยางตู๋นับว่าเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
หลังจากแดนความฝันสิ้นสุดลง หานเจวี๋ยก็ไม่สนใจแดนเซียนพิภพอีก
รอจนเขาสำเร็จเป็นอริยะเสรีแล้วค่อยคัดเลือกคนที่มีศักยภาพเพิ่มอีกสองสามคน
….
ผ่านไปอีกหนึ่งพันปี
เกาะสำนักซ่อนเร้นพ้นจากเขตแดนต้องห้ามอันธการแล้ว มาถึงส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาล หานเจวี๋ยชะลอความเร็วของเกาะสำนักซ่อนเร้นลง
เขตฟ้าบุพกาลวุ่นวายดูแปลกประหลาดพิสดาร ไม่มีดาวเคราะห์ มีเพียงกลุ่มแสงและไอหมอกหลากสีสัน
ทันใดนั้นหานเจวี๋ยมองเห็นซากศพขนาดใหญ่ยักษ์ร่างหนึ่ง ใหญ่โตยิ่งกว่าเขาเทพปู้โจว ใหญ่โตกว่าระบบสุริยจักรวาล ครอบคลุมพื้นที่บริเวณหนึ่งไว้ ราวกับภูเขาเนื้อลูกหนึ่ง มองไม่เห็นส่วนหัว คราบโลหิตแดงฉานแห้งกรัง น่าตระหนกหวาดผวา
ร่างนี้สิ้นชีพแล้ว ไม่มีปราณชีพเลยสักนิด
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับดู ตรวจไม่พบอะไร
เขาแผ่จิตศักดิ์สิทธิ์ออกไป ตอนที่ร่างนี้ยังมีชีวิตอยู่น่าจะเป็นระดับครึ่งอริยะ
ครึ่งอริยะผู้ยิ่งใหญ่มาสิ้นชีพอยู่ที่นี่ ไม่มีผู้ใดรับรู้ ช่างน่าเวทนาชวนสะท้อนใจ
เกาะสำนักซ่อนเร้นเคลื่อนที่ต่อไป
สามสิบเจ็ดปีต่อมา เขาหลุดพ้นจากดินแดนอันน่าตื่นตาตื่นใจแห่งนั้น มาถึงห้วงอวกาศที่เต็มไปด้วยความมืดมิด หานเจวี๋ยนึกว่าเข้าสู่แดนต้องห้ามอันธการแล้ว แต่ที่นี่มีจุดแตกต่างไปจากแดนต้องห้ามอันธการมากมายยิ่งนัก
สงบสุขร่มเย็น!
ไม่มีความน่าหวาดหวั่นขวัญผวาแบบแดนต้องห้ามอันธการ
หานเจวี๋ยเข้าใกล้มหามรรคต้นกำเนิดเข้าไปเรื่อยๆ เขาใช้ความสามารถตรวจจับของแบบจำลองการทดสอบอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปหนึ่งร้อยปีเต็ม
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็มองเห็นมหามรรคต้นกำเนิดแล้ว
ในห้วงอวกาศที่มืดสนิท มหามรรคต้นกำเนิดเป็นก้อนแสงกลุ่มหนึ่ง สะดุดตาเหลือเกิน
หานเจวี๋ยประหม่าเป็นอย่างยิ่ง
เขาต้องการผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิด แสงสว่างพลันเลือนหาย จะเป็นการรบกวนตัวตนบางอย่างที่เร้นกายอยู่ในส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาลหรือเปล่านะ
ทันใดนั้นหานเจวี๋ยมองเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของมหามรรคต้นกำเนิด เมื่อเปรียบเทียบกับมหามรรคต้นกำเนิด เขาดูราวกับหิ่งห้อยที่อยู่ข้างพระอาทิตย์ เล็กจิ๋วยิ่งนัก ทว่ากลิ่นอายนั้นกลับกล้าแกร่งอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับดูอีกครั้ง
[ลี่จื้อไจ้: ระดับอริยะเสรีระยะกลาง]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เป็นเขา!
บรรพบุรุษของลี่เหยา
คนผู้นี้มีร่างแยกต้นกำเนิดมากมายมหาศาลท่องอยู่ทั่วมรรคาสวรรค์ มีประสบการณ์ในโลกธุลีแดงอย่างโชกโชน ร่างจริงฝึกบำเพ็ญจนบรรลุมรรคผลระดับต้าหลัวเบิกฟ้า กลายเป็นอริยะเสรี หนึ่งในบรรดาร่างแยกคือบรรพบุรุษของตระกูลลี่
เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบกับลี่จื้อไจ้ทันที
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
คนผู้นี้แข็งแกร่งอยู่บ้าง หานเจวี๋ยต้องทุ่มสุดตัวถึงจะสามารถสังหารเขาได้
ไม่ควรเสี่ยง
ถ้าหากสู้กันขึ้นมา ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถสังหารในเสี้ยววินาทีได้มีความเป็นไปได้สูงที่จะไปรบกวนตัวตนลึกลับอื่นๆ เข้า
หานเจวี๋ยเริ่มลำบากใจแล้ว
เขาเริ่มเฝ้าคอย
การรอคอยครั้งนี้ดำเนินไปถึงพันปี
ในหนึ่งพันปีนี้ ลี่จื้อไจ้คิดจะบังคับครอบครองมหามรรคต้นกำเนิดอยู่หลายครั้ง แต่ถูกดีดสะท้อนออกมา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยด้วย
ครั้งนั้น หานเจวี๋ยอดใจไม่อยู่เกือบลงมือไปเสียแล้ว
สถานการณ์คับขัน เขายังคงต้องอดทนไว้!
นิ่งไว้!
รอดูต่อไปอีกสักหน่อย
มหามรรคต้นกำเนิดที่ตนสร้างขึ้นอยู่ตรงหน้า ทว่าเอามาไม่ได้ ความรู้สึกนี้ช่างน่าอึดอัดจริงๆ
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังกระวนกระวายอยู่นั้น กลิ่นอายอันน่าหวาดผวาสุดขีดอย่างหนึ่งก็โถมทับลงมา หานเจวี๋ยใจเต้นแรงอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก
เขาอยู่ในอาณาเขตเต๋ายังนับว่าปลอดภัย ลี่จื้อไจ้ที่อยู่ด้านนอกราวกับพบพานศัตรูตัวฉกาจ ใบหน้าซีดเผือด
รูปโฉมของลี่จื้อไจ้ก็นับว่าหล่อเหลา ทว่ายามนี้ราวกับมนุษย์ธรรมดาพบเจอภูตผี ตัวแข็งทื่อไปหมด
“เทพบุพกาล…”
ลี่จื้อไจ้ทำความเคารพอย่างระมัดระวัง ห้วงอวกาศเบื้องหน้าเขามืดสนิทไปหมด มองไม่เห็นตัวตนใดๆ
ท่ามกลางความมืด ในส่วนลึกของความมืดมิดเสมือนมีเงาร่างอันน่าพรั่นพรึงที่ใหญ่โตมโหฬารอย่างยิ่งร่างหนึ่งแฝงตัวอยู่
………………………………………………………………