ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 603 หนี่ว์วา นักพรตมิ่งอวิ้น
บทที่ 603 หนี่ว์วา นักพรตมิ่งอวิ้น
สำหรับการจัดการของจอมอริยะเสวียนตู หานเจวี๋ยไม่มีความเห็นเช่นกัน เป็นความจริงที่ว่าหากมิติวัฏจักรพัตนาเร็วเกินไปก็ไม่ดี
ตอนนี้หานเจวี๋ยต้องเร่งพิสูจน์อริยะเสรีให้ได้ จอมอริยะเสวียนตูถูกผู้ทรงพลังลึกลับทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสอีกแล้ว ไม่มีเวลาว่างมาต่อกรกับเทพมารลึกลับแห่งแดนเซียนพิภพ
หานเจวี๋ยให้จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดทำตามที่อริยะนิกายเหรินบอก ยามปกติให้ใส่ใจผู้กลับชาติมาเกิดมากๆ หน่อย ดูว่าคนไหนมีศักยภาพยอดเยี่ยมบ้าง
เขาวางแผนว่าจะคัดเลือกเทพมารฟ้าบุพกาลจากแดนเซียนพิภพ ในหมู่อริยะมรรคาสวรรค์มีเพียงจอมอริยะเสวียนตูที่สนใจแดนเซียนพิภพ แต่เนื่องจากอยู่ห่างไกลเกินไป จึงไม่ได้ให้ความสนใจอย่างละเอียดนัก
จำนวนผู้สืบทอดเทพมารฟ้าบุพกาลมีจำกัด เป็นไปไม่ได้ที่หานเจวี๋ยจะนำเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งสามพันตนมาผสานรวมเข้ากับสิ่งมีชีวิตทั้งหมด จำเป็นต้องคัดเลือกเอาส่วนหนึ่งตามที่ตนพอใจถึงจะถูก
พูดคุยกันอยู่หลายชั่วยาม หานเจวี๋ยสิ้นสุดแดนความฝัน ผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิดต่อ
อีกหมื่นปีข้างหน้า เขาต้องพิสูจน์อริยะเสรีให้ได้!
….
แดนเซียน ณ แดนลับหวนกำเนิด
หานทั่วและอี๋เทียนเดินเคียงข้างกัน ทั้งสองมีสีหน้าผ่อนคลาย พูดคุยยิ้มหัว
ตอนนี้พวกเขาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพแล้ว อี๋เทียนยิ่งเข้าใกล้ระดับเซียนทองต้าหลัวแล้ว
“สามารถคืนชีพคนตายได้จริงๆ น่ะหรือ ผ่านมานานขนาดนี้ เกรงว่าบิดามารดาเจ้าคงไปเกิดใหม่เกินหมื่นรอบแล้ว” อี๋เทียนส่ายหน้าพลางเอ่ยวาจา น้ำเสียงจนใจอยู่บ้าง
บิดามารดาและภรรยากลายเป็นความยึดติดของหานทั่วไปแล้ว ถึงขั้นที่ส่งผลต่อการบำเพ็ญของเขาด้วย ดังนั้นอี๋เทียนถึงได้มาเป็นเพื่อนเขา
แดนลับหวนกำเนิดมีผู้ทรงพลังลึกลับตนหนึ่งอยู่ ครั้งอดีตหานทั่วเคยมาเยือน เกือบต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
วิญญาณดวงหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของหานทั่ว เป็นภูตพยาบาท ในอดีตเขาคิดจะยึดร่างหานทั่ว ผลคือถูกหานเจวี๋ยสยบ ตอนนี้มีหานทั่วเป็นนาย เวลาผ่านมาหลายหมื่นปี ทั้งสองผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันก่อเกิดเป็นมิตรภาพ มิใช่ความสัมพันธ์เยี่ยงนายบ่าวอีกต่อไป
ภูตพยาบาทมีสีหน้าตื่นตัว เอ่ยขึ้นว่า “ที่นี่ผิดปกติ ระวังหน่อย”
อี๋เทียนยังคงให้ความเคารพนับถือภูตพยาบาทยิ่งนัก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเซียนทองต้าหลัว ซ้ำยังมีความทรงจำของวิญญาณร้ายมากมายจากมหาเคราะห์ครั้งก่อนด้วย อีกฝ่ายมักจะคอยเล่าประวัติศาสตร์ให้พวกเขาฟังเสมอ เปิดโลกทัศน์ให้กับทั้งสอง
หานทั่วเอ่ยว่า “พวกเราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว น่าจะไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก”
ทั้งสามมุ่งหน้าต่อไป
หานทั่วมุ่งหน้าไปตามความทรงจำ มาถึงสถานที่ที่เคยมาเยือนในครั้งอดีตเมื่อนานมาแล้ว เขาตะโกนเรียกเจ้าแดนลับหวนกำเนิด
ไม่นานนัก เสียงของเจ้าแดนลับก็แว่วขึ้นมา “เจ้าอีกแล้ว”
หลายหมื่นปีผ่านไป อีกฝ่ายยังคงจดจำเขาได้ จุดนี้ทำให้หานทั่วขมวดคิ้วนิดๆ
ยามนั้น เจ้าแดนลับมอบบทเรียนอย่างหนึ่งให้หานทั่ว
“ช้าก่อน เขาผิดปกติ!”
ภูตพยาบาทตะโกนขึ้นมาทันที น้ำเสียงตื่นตระหนัก
อี๋เทียนถามด้วยความแปลกใจ “ผิดปกติอย่างไร”
“กลิ่นอายเขามิใช่สิ่งมีชีวิตแห่งมรรคาสวรรค์!”
ภูตพยาบาทเอ่ยเสียงเข้ม เสียงสั่นไปหมด
เจ้าแดนลับหัวเราะเบาๆ “จิตพยาบาทแปรผันอย่างนั้นหรือ น่าสนใจอยู่บ้าง ในเมื่อเจ้ามองทะลุตัวตนของข้าได้ เช่นนั้นก็อย่าหวังจะได้จากไป”
รอยแยกสีดำพลันปรากฏขึ้นมาในทันใด ขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว ลูกตาใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่งปรากฏขึ้น จ้องพวกเขาทั้งสามเขม็ง
อี๋เทียนหยิบพลองยาวสีทองเล่มหนึ่งออกมาเตรียมต่อสู้
….
ในส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาล ณ มหามรรคต้นกำเนิด
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นอีกครั้ง เวลาผ่านไปห้าพันปีแล้ว
เขาเข้าใกล้ความสำเร็จในการผสานมรรคเข้าไปเรื่อยๆ
หานเจวี๋ยพบว่ามีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านนอกมหามรรคต้นกำเนิดอีกแล้ว กำลังจ้องมองมหามรรคต้นกำเนิดอย่างเงียบงัน
เขารีบใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจดู
[เจ้าแม่หนี่ว์วา: อริยะมหามรรค มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต ผู้ก่อกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์]
นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
เจ้าแม่หนี่ว์วาถูกแสงเจิดจ้าห่อหุ้มไว้ ดังนั้นหานเจวี๋ยจึงจำไม่ได้
แม้ว่าจะเป็นสหายกัน แต่หานเจวี๋ยก็ไม่คิดจะออกไปทักทาย เขามีความระแวงในตัวเจ้าแม่หนี่ว์วามาโดยตลอด
หานเจวี๋ยเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ เปิดศึกใหญ่กับเจ้าแม่หนี่ว์วา
ท้ายที่สุด เขาถูกเจ้าแม่หนี่ว์วาสังหาร
อริยะมหามรรคร้ายกายจริงๆ
หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจ
เหตุใดเจ้าแม่หนี่ว์วาถึงหลุดพ้นจากตำแหน่งอริยะมรรคาสวรรค์ข้ามไปสู่อริยะมหามรรคโดยตรงเลยเล่า
ไม่จำเป็นต้องฝ่าระดับอริยะเสรีหรือไร
หรือว่าเจ้าแม่หนี่ว์วาจะบรรลุอริยะเสรีมานานแล้ว แต่อยู่ในกระบวนการเดียวกันกับจอมอริยะเสวียนตูและเทพสูงสุดอู๋ฝ่าที่ลดระดับตบะลงเพื่อเป็นอริยะมรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยสงสัยอยู่ในใจ เขาไม่ได้ใช้ความสามารถวิวัฒนาการ แค่ปฏิบัติต่อเจ้าแม่หนี่ว์วาในฐานะอริยะมหามรรคเสียก็พอ
ผ่านไปสักพัก
ขณะที่หานเจวี๋ยเตรียมจะผสานมรรคต่อ มีเงาร่างปรากฏเพิ่มขึ้นมา ยืนอยู่อีกด้านของมหามรรคต้นกำเนิด เว้นระยะห่างกับเจ้าแม่หนี่ว์วา
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าแม่หนี่ว์วาก็หมายตามหามรรคนี้ด้วย พอจะมีวาสนาหรือไม่”
เสียงหยอกเย้าแว่วขึ้น สองผู้ทรงพลังต่างไม่สังเกตเห็นเลยว่ามีคนอยู่ในมหามรรคต้นกำเนิดแล้ว
เจ้าแม่หนี่ว์วาตอบอย่างสงบนิ่ง “ข้ามิมีวาสนากับมหามรรคนี้ ข้าเพียงสงสัยว่าการถือกำเนิดขึ้นของมหามรรคนี้จะเกี่ยวข้องกับมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่หรือไม่”
“ฮ่าๆ เจ้าแม่ช่างมีใจเมตตานัก นึกห่วงเขตฟ้าบุพกาลหรือ”
“แล้วเจ้าล่ะ นักพรตมิ่งอวิ้น อริยะมิ่งจีที่เจ้าให้การสนับสนุนดับสูญแล้ว เจ้ากลับไม่นึกถึงเลยสักนิด แต่กลับมาให้ความสนใจมหามรรคกำเนิดใหม่เช่นนั้นหรือ”
“ศิษย์เลวทรามก็ปล่อยให้ตายไปเถิด แต่มหามรรคนี้มีวาสนากับข้า ขอแนะนำให้เจ้าแม่ตัดใจเสียเถิด อย่าได้แย่งชิงกับข้าเลย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าศิษย์สืบทอดของบรรพชนเต๋า”
เจ้าแม่หนี่ว์วาไม่โต้ตอบอีก ส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาลตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง
หานเจวี๋ยตกใจ ที่แท้อริยะมิ่งจีมีเบื้องหลังเช่นนี้เองหรือ
เขาใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบทันที
[นักพรตมิ่งอวิ้น: ดวงจิตมหามรรค เทพมารฟ้าบุพกาล]
มีเพียงสองฉายา แต่ดูน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
แถมยังเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลด้วย!
หรือว่าจำแลงมาจากมหามรรคดวงชะตา
หานเจวี๋ยครุ่นคิดเงียบๆ
เจ้าแม่หนี่ว์วาและนักพรตมิ่งอวิ้นไม่สนทนากันอีก ผ่านไปนานนักกว่าพวกเขาจะต่างคนต่างจากไป
หานเจวี๋ยถึงได้ผสานมรรคต่อ
ต้องกล่าวเลยว่า ส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาลช่างเปิดโลกทัศน์ให้เขาจริงๆ ถึงแม้จะไม่มีอะไรเลย ทว่าเป็นแหล่งรวมผู้ทรงพลัง
ต้องผสานมรรคให้เร็วขึ้นหน่อย จะได้ออกจากพื้นที่ระดับสูงแห่งนี้เร็วๆ
อาศัยอยู่ที่แดนเซียนยังคงสบายกว่าอยู่ดี
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ตำหนักเอกภพ เหล่าอริยะมาชุมนุมกัน
จอมอริยะเสวียนตู เทพสูงสุดหนานจี๋ เทพสูงสุดอู๋ฝ่า ฉิวซีไหล เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย ฝูซีเทียนและมหาจักรพรรดิเซียวมีสีหน้ามืดครึ้ม จักรพรรดินีผืนพิภพพิจารณาดูสีหน้าของพวกเขา พลันตระหนักได้ในใจ
จักรพรรดินีผืนพิภพกล่าวว่า “ในเมื่อสู้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็สงบใจเฝ้าระวังอยู่ในแดนเซียนเถอะ เมื่อไม่นานมานี้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการอาศัยแดนลับหวนกำเนิดเป็นช่องทางจับตัวสิ่งมีชีวิตในแดนเซียนไปอีกแล้ว บุตรแห่งมรรคาสวรรค์และบุตรชายของหานเจวี๋ยก็ถูกจับตัวไปด้วย”
เทพสูงสุดหนานจี๋ได้ฟังก็ตาลุกวาว เอ่ยว่า “บุตรชายของหานเจวี๋ยถูกจับตัวไป เช่นนั้นหานเจวี๋ยก็คงจะออกโรงกระมัง”
ฉิวซีไหลส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ก็ไม่แน่ หานเจวี๋ยไม่ใส่ใจบุตรชายเลย มิเช่นนั้นคงรับตัวเข้าเขตเซียนร้อยคีรีนานแล้ว”
“หากว่าหานเจวี๋ยใส่ใจ จะต้องรับรู้ได้แน่ ทว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาเลย แสดงว่ากริ่งเกรงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการมากกว่าห่วงใยบุตรชาย”
“เฮ้อ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการที่สมควรตาย เหตุใดถึงแข็งแกร่งขนาดนี้กันนะ”
“ข้าติดต่อไปหาเหล่าปรมาจารย์ที่แดนเทพหวนปัจฉิมแล้ว ล้วนกล่าวว่าไม่ว่างมาจัดการจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ แดนเทพหวนปัจฉิมก็กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่อยู่เช่นกัน”
“ดูเหมือนจะมีกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่คอยบงการอยู่เบื้องหลังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ เข้าโจมตีแดนเทพหวนปัจฉิมและแดนเซียนพร้อมกัน”
“ต้องเป็นเช่นนี้แน่ แต่พวกเราไม่รู้เลยว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลใด ห่างชั้นกันเกินไป คอยจัดการแดนเซียนให้ดีเถอะ”
เหล่าอริยะทอดถอนใจ
ในแดนเซียน พวกเขาคือตัวตนระดับสูงอยู่เหนือสรรพสิ่ง เทียบเคียงกับมรรคาสวรรค์ เป็นยอดผู้แข็งแกร่ง
แต่หากอยู่นอกมรรคาสวรรค์ พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากสรรพสิ่งแห่งมรรคาสวรรค์เลย ล้วนเป็นตัวหมากทั้งสิ้น ทำอะไรก็ต้องคอยมองสีหน้าของผู้อาวุโสฝ่ายตน
………………………………………………………………