ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 609 หากไม่สำเร็จเป็นอริยะ ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย
บทที่ 609 หากไม่สำเร็จเป็นอริยะ ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย
สังหารจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ!
แทนที่เขาอย่างนั้นหรือ!
หานทั่วฟังคำพูดของคนชุดขาวแล้ว ตกอยู่ในห้วงความคิด
อีกฝ่ายต้องมีข้อเรียกร้องแน่ มิเช่นนั้นคงไม่หมายตาเขา
เสียงของคนชุดขาวแว่วขึ้นอีกครั้ง “จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการเทศนาธรรมแก่พวกเจ้า เพียงเพราะจะหลอกใช้พวกเจ้าเท่านั้น ทว่าข้ามอบโอกาสพลิกสถานการณ์ให้พวกเจ้าได้”
แววตาหานทั่ววูบไหว ถามในใจ “เจ้าต้องการให้ข้าทำอันใด”
“ให้ข้าครอบครองร่างเจ้า!”
“ไม่มีทาง!”
หานทั่วปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลย
เขาไม่มีทางมอบร่างของตนให้คนที่ไม่รู้จักกัน ทำเช่นนั้นแล้วจะต่างอันใดกับสถานะเชลยในตอนนี้เล่า
“ข้าจะใช้ร่างของเจ้าเพียงชั่วคราวเท่านั้น อาศัยร่างนี้ไปต่อกรกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ”
“ไม่มีทาง เจ้าไปหาคนอื่นเถอะ”
หานทั่วปฏิเสธอีกครั้ง จากนั้นก็ไม่สนใจคนชุดขาวอีก
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร เขาก็ไม่มีทางยกร่างนี้ให้เหมือนคนโง่เด็ดขาด
อี๋เทียนสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาผิดปกติ จึงสอบถามว่ามีเรื่องใด
หานทั่วถ่ายทอดเสียงเล่าเรื่องคนชุดขาวให้เขาฟัง อี๋เทียนได้ฟังก็เดือดดาลขึ้นมา
“อย่าไปสนใจเขา ต่อให้ยกร่างให้ แล้วร่างเจ้าจะไปสังหารจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอริยะได้อย่างไร”
อี๋เทียนถ่ายทอดเสียงมา หานทั่วได้ฟังก็พยักหน้ารับ
หลังจากนั้น คนชุดขาวก็ไม่มารบกวนหานทั่วอีกเลย
….
ในส่วนลึกของความมืดมิด จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเหาะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เขาร่อนลงบนเกาะลอยฟ้าลูกหนึ่ง เกาะนี้ใหญ่โตกว้างขวาง มีซากโครงกระดูกตั้งอยู่เต็มเกาะ ดูราวกับกลุ่มภูตผีปีศาจที่แยกเขี้ยวกางเล็บอยู่ ดุร้ายน่าหวาดผวา
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายร่อนลงด้านหน้าป้ายศิลาขนาดใหญ่ยักษ์ชิ้นหนึ่ง เปิดปากเอ่ย “เรียกหาข้าด้วยเรื่องใด”
ไอดำพัวพันอยู่บนป้ายศิลา เสียงหนึ่งแว่วขึ้นมา “อริยะมรรคาสวรรค์บุกมาโจมตีอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าจะสังหารอริยะมรรคาสวรรค์ เจ้าจะได้รับปราณม่วงอนธการหนึ่งสาย”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นมา เอ่ยด้วยความตกตะลึงและปรีดา “จริงหรือ”
“อืม เจ้ารอดูเถิดว่าข้าจะสังหารอริยะอย่างไร”
เสียงที่ดังออกมาจากป้ายศิลาคือเสียงของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ จักรพรรดิผู้มาจากแดนต้องห้ามอันธการ
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไม่นึกสงสัยในคำพูดของเขาเลย
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการช่างน่าหวาดกลัวจริงๆ!
หลี่มู่อีอดีตอริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในมรรคาสวรรค์ก็ยังสู้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการไม่ได้
เพียงแต่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายรู้สึกแปลกใจยิ่ง อริยะเหล่านี้ทำได้แค่หดหัวอยู่ในมรรคาสวรรค์ชัดๆ เหตุใดจู่ๆ ถึงมาหาเรื่องจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการก่อนเล่า
รนหาที่ตายกันทั้งหมด!
หลังออกจากมรรคาสวรรค์ พลังของอริยะมรรคาสวรรค์จะอ่อนด้อยลง!
“แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากถ่ายทอดมรรคให้แก่เจ้า เจ้ายินดีรับไว้หรือไม่” เสียงของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการแว่วขึ้นอีกครั้ง
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายตะลึงงัน หัวใจพลันบีบตัว
ที่แท้ก็รอคอยจังหวะนี้อยู่!
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการบอกว่าต้องการถ่ายทอดมรรคให้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายหลายครั้งแล้ว ทั้งสองมิใช่ศิษย์อาจารย์กันเลยชัดๆ กลับต้องการถ่ายทอดมรรคให้ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายรู้สึกว่าเป็นกับดัก จึงปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ
ทว่าครั้งนี้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการนำปราณม่วงอนธการมาล่อลวงเขา เขาทราบดีว่าหากตนปฏิเสธ เกรงว่าปราณม่วงอนธการคงตกมาไม่ถึงมือเขา
“หากไม่สำเร็จเป็นอริยะ ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย…”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเงยหน้าขึ้น เอ่ยว่า “เรา…ข้ายินดีรับ!”
….
ออกจากแดนเซียนมาหกปีแล้ว
หานเจวี๋ยและเหล่าอริยะยังคงเดินทางอยู่ในแดนต้องห้ามอันธการ
เทพสูงสุดหนานจี๋ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ทำไมยังหาตัวเขาไม่เจออีก”
อริยะรายอื่นก็ขมวดคิ้วเช่นกัน รู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกๆ ต่างคาดหวังให้จอมอริยะเสวียนตูพูดอะไรสักอย่าง
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน กลิ่นอายเคลื่อนที่อยู่ตลอด ไม่สามารถจับพิกัดอย่างแม่นยำได้ เป็นไปได้ว่าเขาจะสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา ถึงอย่างไรทางแดนเทพหวนปัจฉิมก็มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน”
หานเจวี๋ยเองก็ขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน
แค่ตัวคนยังหาไม่เจอเลย แล้วจะสู้อย่างไร
หกปีมานี้จิตใจของเขาหวาดระแวงยิ่ง รู้สึกอยู่เสมอว่าอาจจะมีผู้ทรงพลังลึกลับกระโจนออกมาจากส่วนลึกในความมืดมิดเพื่อเอาชีวิตเขา
จู่ๆ จอมอริยะเสวียนตูก็หยุดนิ่ง จากนั้นหลับตาลง
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายทรงพลังอย่างหนึ่งร่วงหล่นลงบนกายเขา ทำให้เขาหวาดระแวงอยู่ในใจ
กลิ่นอายทรงพลังเช่นนี้…
ดวงจิตมหามรรค!
หรือจะเป็นนักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น!
หานเจวี๋ยเคยท้าสู้กับปรมาจารย์ลัญจกรสรวงในแบบจำลองการทดสอบเป็นประจำ ย่อมมีความเข้าใจในกลิ่นอายเช่นนี้ดี
เหล่าอริยะต่างหยุดชะงัก มิใช่แค่หานเจวี๋ย อริยะรายอื่นก็วิตกยิ่งนักเช่นกัน
ความวิตกของพวกเขามาจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ การต่อสู้ครั้งก่อนส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขา
ผ่านไปสักพักหนึ่ง
จอมอริยะเสวียนตูลืมตาขึ้น เอ่ยว่า “หาพบแล้ว!”
เขาพุ่งออกไปทันที เหล่าอริยะรีบตามหลังไป
เหล่าอริยะแหวกผ่าห้วงมิติอย่างต่อเนื่อง มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ
แดนต้องห้ามอันธการมิใช่แค่มืดมิดไปหมดเท่านั้น ห้วงอวกาศนี้ยังกว้างไกลยิ่งนักด้วย ท่ามกลางความมืดมิดซุกซ่อนห้วงมิติเอาไว้มากมาย ตั้งอยู่โดดเดี่ยวหรือไม่ก็ทับซ้อนกัน สลับซับซ้อน
ผ่านไปหลายชั่วยาม
เหล่าอริยะหยุดลง ห้วงมิติแห่งนี้มืดมิดอย่างยิ่ง ด้านหน้ามีเพียงเกาะโดดเดี่ยวขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ในเกาะมีป้ายศิลาขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งที่แผ่แสงสีม่วงออกมา กะพริบวิบวับต่อเนื่อง
หานเจวี๋ยแผ่จิตศักดิ์สิทธิ์ออกไป แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
ในเกาะมีกลิ่นอายอยู่สองสาย
คนหนึ่งเป็นอริยะเสรี กลิ่นอายทรงพลัง ส่วนอีกคนเป็นครึ่งอริยะ กลิ่นอายคล้ายคลึงกับอริยะเสรีคนแรกอย่างยิ่ง คล้ายจะเป็นร่างแยก
ครึ่งอริยะคนนี้คือจักรพรรดิสวรรค์ที่หานเจวี๋ยรู้จักดี ยามนี้สมควรเรียกว่าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย
“จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการอยู่ด้านหน้า ตั้งขบวนเตรียมออกศึก!”
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยเสียงขรึม เหล่าอริยะกระจายตัวออกไปทันที โอบล้อมเกาะใหญ่ยักษ์ไว้ ป้องกันไม่ให้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการหลบหนีไปได้
หานเจวี๋ยเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ มองไปที่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย
แสงเทพที่แผ่ออกมาจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราห่อหุ้มร่างเขาอยู่ ทำให้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจำเขาไม่ได้
จักรพรรดิสวรรค์อยู่หน้าป้ายศิลา ลืมตาขึ้นแล้วมองออกไป เงาร่างของเหล่าอริยะปรากฏสู่สายตาของเขา สองเนตรของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงสุดขีด
หากเหล่าอริยะมิได้วางแผนเล่นงานเขา เขาจะถูกเนรเทศขับไล่ได้อย่างไร จะตกอยู่ในสภาพน่าอดสูเช่นนี้หรือ
“ไม่คิดเลยว่ามรรคาสวรรค์จะเปลี่ยนยุคแล้ว มีอริยะหน้าใหม่มากมายถึงเพียงนี้”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายหัวเราะหยัน น้ำเสียงแผ่วต่ำ แต่เขาเชื่อว่าเหล่าอริยะล้วนได้ยินทั้งสิ้น
ทันทีที่เทพสูงสุดหนานจี๋มองเห็นเขา พลันขมวดคิ้วด้วยความโกรธ ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด พลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นพลันปะทุขึ้นมา
“จุ๊ๆ พวกเจ้าช่างไม่กลัวตายกันเลยจริงๆ!”
เสียงเยาะเย้ยแว่วดังขึ้นมา มองเห็นไอดำบนป้ายศิลาก่อตัวเป็นเงาร่างหนึ่งอย่างรวดเร็ว เป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ
มีไอดำพัวพันอยู่รอบกายเขา เสมือนทรราชผู้ชั่วร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดถึงขีดสุด แววตาเยียบเย็น เจือกลิ่นอายที่ทำให้อริยะอกสั่นขวัญแขวนได้
หานเจวี๋ยใช้ความสามารถปกปิดของระบบปรับตบะให้อยู่ในระดับอริยะมรรคาสวรรค์ ดังนั้นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการจึงไม่รับรู้ถึงภัยคุกคาม คิดเพียงว่าอริยะเหล่านี้มารนหาที่ตาย
“จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ รีบปล่อยตัวสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์เสีย”
ฝูซีเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการหัวเราะดังลั่น “ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าพวกเจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะให้สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ได้เห็นว่าพวกเจ้าจะมีจุดจบอย่างไร!”
ทันทีที่เขาเอ่ยออกมา
หานทั่ว อี๋เทียน และบรรพชนพุทธเบิกนภาที่อยู่ไกลออกไปในคุกนรกอันธการต่างได้ยินเสียงเขา พากันลืมตาขึ้น มองเห็นสถานการณ์ฉายอยู่กลางอากาศภายในคุกนรกอันธการ แสดงฉากการเผชิญหน้าระหว่างเหล่าอริยะและจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ
อี๋เทียนขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “อริยะจริงๆ ด้วย”
อริยะบางคนเคยเปิดอาณาเขตเต๋า ให้ผู้แสวงมรรคเข้าไปฟังเทศนาธรรม หานทั่วและอี๋เทียนต่างเคยไปฟังเทศนาธรรม จดจำอริยะจากในกลุ่มนั้นได้สองคน
จอมอริยะเสวียนตูชักกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ สัญลักษณ์หยินหยางที่สอดประสานส่องแสงเรืองรองไร้สิ้นสุดลอยขึ้นมาจากด้านหลัง ส่องสว่างไปทั่งห้วงอวกาศอันมืดมิด
“จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ ในเมื่อเจ้าหลงงมงายไม่ยอมตระหนัก เช่นนั้นก็อย่าได้หาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”
“จัดการเขา!”
จอมอริยะเสวียนตูตะโกนขึ้นมา อริยะที่เหลือพากันหยิบสมบัติวิเศษของตนออกมา สำแดงพลังวิเศษโจมตีใส่เกาะลอยฟ้า
หานเจวี๋ยก็แสร้งทำทีเป็นชักกระบี่พิพากษาอนธการออกมา
แผนการที่แท้จริงของเขาคืออาศัยช่วงชุลมุนเข้าสังหารจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการในเสี้ยววินาที!
ไม่อาจพัวพันกันนานๆ ได้!
ต้องจัดการอย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบเผ่นหนี!
………………………………………………………………