ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 613 พ่อลูกพบหน้า ทางเลือก
บทที่ 613 พ่อลูกพบหน้า ทางเลือก
สำหรับคำถามของเจ้าแม่หนี่ว์วา หานเจวี๋ยแสร้งทำเหมือนเพิ่งกระจ่างแจ้งในยามนี้ “เขาเทพปู้โจวเป็นของบรรพชนเต๋าหรือ ก่อนหน้านี้ข้าออกท่องเขตฟ้าบุพกาล บังเอิญพบพานผู้อาวุโสลึกลับท่านหนึ่ง เขาบอกว่ามีวาสนาได้พบพาน จึงยกเขาเทพปู้โจวให้ข้า ไม่คิดเลยว่า…หรือว่าเขาก็คือบรรพชนเต๋า”
“บรรพชนเต๋ายังมีชีวิตอยู่หรือ”
หานเจวี๋ยผงะไปแวบหนึ่ง อุทานออกมาอีกครั้ง
ทักษะการแสดงของเขายอดเยี่ยมนัก
เจ้าแม่หนี่ว์วาฟังแล้วขมวดคิ้วนิดๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าจะนำไปหารือกับผู้ทรงพลังคนอื่น วันหน้าหากบรรพชนเต๋ามาหาเจ้าอีก จงจำไว้ว่าต้องแจ้งให้ข้าทราบ บรรพชนเต๋าไม่ธรรมดา และมิได้มีเมตตากรุณาเช่นในตำนานเล่าขาน”
พอกล่าวประโยคนี้จบ เจ้าแม่หนี่ว์วาก็รีบสลายแดนความฝันทันที
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
‘หวังว่าบรรพชนเต๋าจะสามารถหลอกคนพวกนี้ได้’ หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
บรรพชนเต๋ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ ในอดีตกาลนานมาแล้วยังเคยเกิดความประทับใจในตัวหานเจวี๋ยอีกด้วย ถึงแม้ระดับความประทับใจจะลดต่ำลง แต่ก็ยืนยันได้ว่าเขายังอยู่จริงๆ
รูปประจำตัวของบรรพชนเต๋าในรายการสหายของเขายังคงดำมืดอยู่ มองไม่เห็นใบหน้า เพียงพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าบรรพชนเต๋านั้นลึกลับมาก
ว่ากันในอีกมุมหนึ่ง แผนการของแดนเทพหวนปัจฉิมและมรรคาสวรรค์สามารถนับว่าเป็นการต่อสู้กันภายในสำนักเต๋าได้
เหตุผลที่บรรพชนเต๋าถูกเรียกขานว่าบรรพชนเต๋า เพราะเขาคือบรรพชนแห่งมหามรรค หลังจากผานกู่ทำลายล้างเทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตน บรรพชนเต๋าเป็นคนแรกที่พิสูจน์เต๋าสำเร็จ และเป็นผู้ทรงพลังที่เผยแพร่มรรคเป็นรายแรก ผู้บำเพ็ญทั้งหมดในยุคหลังล้วนนับว่าเป็นศิษย์สำนักเต๋าทั้งสิ้น
ผานกู่เป็นผู้ทรงพลังรายแรกที่บุกเบิกฟ้าดิน ส่วนบรรพชนเต๋าเป็นผู้ทรงพลังรายแรกที่เผยแพร่มรรค ต่างมีผลกุศลมหาศาลจนไม่อาจประเมินค่าได้
ในขณะที่หานเจวี๋ยกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น หานทั่วก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
เมื่อหานทั่วมองเห็นหานเจวี๋ย ก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาทันที
หานเจวี๋ยไม่ได้เปิดใช้งานหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทรา เนื่องจากสิ้นสุดการต่อสู้แล้ว แต่ร่างกายเขามีแสงเทพแห่งอริยะเสรีปกคลุมบดบัง หานทั่วจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
“ท่านคือผู้ใด”
หานทั่วถามด้วยความระแวดระวัง เขาจดจำใครคนนั้นที่เขาเห็นก่อนที่จะสลบไปได้
เขาเห็นบิดาของตน
นั่นเป็นภาพหลอนหรือ
หานเจวี๋ยเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าคือผู้ใดเล่า”
หานทั่วหน้าเปลี่ยนสี เสียงนี้…
หานเจวี๋ยใช้น้ำเสียงที่ใช้ในยามออกไปหาประสบการณ์ ไม่แฝงอำนาจแห่งอริยะ
“ท่านพ่อ…เป็นไปได้อย่างไร…”
หานทั่วทรุดฮวบลงไป คุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าปรากฏอารมณ์ตื่นตะลึงระคนยินดีปะปนกันไป
หานเจวี๋ยไม่ได้เก็บประกายแสงบนกาย เพียงจ้องมองเขาเงียบๆ เช่นนี้
ผ่านไปพักใหญ่
ในที่สุดหานทั่วก็สงบอารมณ์ลง เขากัดฟันถาม “ท่านคืออริยะหรือ”
“อืม”
“เช่นนั้นท่าน…”
ในจิตใต้สำนึกของหานทั่วต้องการซักถามหานเจวี๋ยว่าเหตุใดถึงไม่ช่วยเหลือมารดาของเขา ไม่ช่วยเหลือภรรยาของเขา
แต่เมื่อคำพูดมาจ่ออยู่ที่ปาก จู่ๆ หานทั่วก็นึกถึงตระกูลหานขึ้นมา
ตอนนั้นหานอวี้ก็เคยตั้งคำถามกับเขาแบบนี้เช่นกัน
เขานึกย้อนถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้น เพลิงโทสะในใจเขาเสมือนถูกน้ำเย็นอ่างหนึ่งราดรดจนดับมอด ท่าทางดูเซื่องซึมไร้จิตวิญญาณ
เหตุใดถึงไม่ช่วยน่ะหรือ?
เป็นเพราะระดับและสถานะแตกต่างกันมากเหลือเกิน แสวงหาคนละเส้นทางกัน!
หานทั่วให้กำเนิดบุตรเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์เท่านั้น เขาไม่ได้มองภรรยาในแดนมนุษย์และบุตรธิดาเป็นคนในครอบครัวแต่แรก เพียงอยากลองใช้ชีวิตอย่างที่มนุษย์ธรรมดาใฝ่ฝันกันเท่านั้น
สุดท้ายเขาก็ใจอ่อนขึ้นมา จึงถ่ายทอดเคล็ดฝึกบำเพ็ญให้บุตรธิดา ก่อให้เกิดเป็นตระกูลหานขึ้นมา สุดท้ายก็เผชิญกับการทำลายล้างล่มสลายทั้งตระกูล
ตอนนั้นหานเจวี๋ยก็ให้กำเนิดเขาเพราะเหตุนี้เช่นกันกระมัง
พอนึกมาถึงตรงนี้ ในใจหานทั่วเต็มไปด้วยความสับสน
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างที่ทำไปไม่มีความหมายเลย
เขาไม่กล้าขุ่นเคืองหานเจวี๋ย เนื่องจากเขาก็เป็นเช่นเดียวกับหานเจวี๋ย
แต่เขาไม่สามารถทำใจยอมรับสถานการณ์เช่นนี้ได้
สรุปแล้วเขาไล่ตามสิ่งใดอยู่กันแน่
หากเขาคู่ควรจะมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นตระกูลหานก็คู่ควรเช่นเดียวกับตนมิใช่หรือ
หานทั่วเงยหน้ามองหานเจวี๋ย นึกถึงหานอวี้ขึ้นมา ในใจตระหนกว้าวุ่น คำพูดทั้งหมดล้วนกลายเป็นความว่างเปล่า
หานเจวี๋ยค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนเจ้าจะขบคิดได้กระจ่างแล้ว”
หานทั่วกำสองมือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อแน่น กัดฟันไว้
ความยินดีปรีดาที่ถูกช่วยเหลือและได้พานพบหลังจากกันไปนานถูกความขุ่นเคืองของตัวเขาเองเข้าครอบงำ
“อันที่จริงมารดาของเจ้ายังอยู่ ข้าสามารถคืนชีพให้นางได้ตลอดเวลา”
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็เอ่ยขึ้นมา หานทั่วได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้าฉายแววตื่นตะลึงระคนปรีดา
“ส่วนภรรยาของเจ้า เจ้าต้องจัดการเอาเอง”
ประโยคต่อมาของหานเจวี๋ยทำให้อารมณ์ของหานทั่วดิ่งวูบลงอีกครั้ง
หานทั่วพลันรู้สึกละอายใจยิ่ง
เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
ที่เขามีวันนี้ได้ไหนเลยจะใช่เพราะความบังเอิญ เพราะเหตุใดพญายมแห่งยมโลกถึงช่วยเขา
เหตุใดเจ้านิกายเจี๋ยถึงไม่สังหารเขา
เหตุใดพอผู้ทรงพลังมากมายพบพานเขาเพียงแวบเดียวก็ให้ความสนิทสนมเป็นกันเองกับเขา
ที่แท้ล้วนเป็นเพราะทุกคนเห็นแก่หน้าหานเจวี๋ยถึงได้เป็นมิตรกับเขา
หานเจวี๋ยยังคงเมตตาช่วยเหลือภรรยาในแดนมนุษย์ที่ตนไปหาประสบการณ์ไว้ แต่ตัวเขาหานทั่วกลับลืมเลือนภรรยาในแดนมนุษย์ไปนานแล้ว
เมื่อเทียบกับหานเจวี๋ยแล้ว หานทั่วรู้สึกว่าตนสู้บิดาไม่ได้เลยสักอย่าง พลันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง
วินาทีนี้ หานทั่วไม่กล้าเรียกร้องสิ่งใดอีกต่อไป ถึงขั้นที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรด้วยซ้ำ
ขอบคุณ
กล่าวโทษ
ล้วนไม่มีความหมายทั้งนั้น
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “เดิมทีข้าคิดจะรอให้เจ้าสำเร็จเป็นครึ่งอริยะแล้วค่อยมาพบเจ้าอีกครั้ง จนใจที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการจับตัวเจ้าไป”
หานทั่วก้มหน้าลง กัดฟันเอ่ย “ขออภัยด้วย”
เขาอยากจะแทรกแผ่นดินใจแทบขาดแล้ว
เวลานี้เอง จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งวางลงบนศีรษะเขา
เขาเงยหน้ามองตามสัญชาตญาณ พบว่าหานเจวี๋ยเก็บแสงเทพแล้ว กำลังลูบศีรษะเขาพลางมองเขาไปด้วย
ถึงแม้สีหน้าของหานเจวี๋ยจะเรียบเฉย แต่การกระทำนี้ของเขาทำให้ความรู้สึกที่หานทั่วสะกดกลั้นไว้ระเบิดออกมาทันที
ขอบตาหานทั่วพลันแดงก่ำ
ท่านพ่อ…
“ข้า…”
หานทั่วอยากเรียกท่านพ่ออีกครั้งยิ่งนัก แต่กลับรู้สึกว่าตนไม่มีคุณสมบัติพอ
“อย่าคิดมากมายถึงเพียงนั้นเลย ตอนนี้เจ้าต้องใคร่ครวญแล้วว่านับจากนี้จะก้าวเดินไปในเส้นทางไหน!”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างสงบ
หานทั่วสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ปรับสภาวะอารมณ์ เอ่ยถามความเห็น “ท่านคิดว่าอย่างไรขอรับ”
เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ไม่สามารถโถมตัวเข้าไปออดอ้อนในอ้อมกอดของหานเจวี๋ยได้อีก ความผูกพันทางสายเลือดก็ไม่อาจสกัดกั้นความประดักประเดิดจากการหวนกลับมาพบกันอีกครั้งหลังที่จากกันไปนานได้
“เจ้าเลือกเองเถอะ”
หานเจวี๋ยผลักภาระกลับมาให้อีกครั้ง ทำให้หานทั่วจำเป็นต้องใคร่ครวญดู
เขาทราบว่านี่คือการกำหนดเส้นทางบำเพ็ญในอนาคตของเขา
หานเจวี๋ยช่วยเหลือเขา เขาสามารถเลือกฝึกบำเพ็ญภายใต้ความคุ้มครองของหานเจวี๋ยได้
แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ เขาก็นึกถึงหานอวี้ขึ้นมา
ตอนนั้นเขาต้องการคุ้มครองหานอวี้ ผลคือถูกหานอวี้ปฏิเสธ หานอวี้ยังบอกด้วยว่าจะเหนือกว่าเขาให้ได้ ตอนนั้นเขาเพียงรู้สึกขบขันเท่านั้น
หานทั่วยิ้มเยาะตัวเองแวบหนึ่ง
หานเจวี๋ยกับเขา เขากับหานอวี้ ดูแลกันรุ่นต่อรุ่นจริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองรุ่นเหมือนคันฉ่องที่ส่องสะท้อน
ช้าก่อน
หรือว่าที่หานอวี้รอดชีวิตมาได้เพราะหานเจวี๋ยช่วยไว้
เขาเคยได้ยินท่านพญายมกล่าวว่า มีผู้ทรงพลังท่านหนึ่งช่วยเหลือตระกูลหาน
หานทั่วเบิกตากว้าง ดวงตาฉายแววซับซ้อนอีกครั้ง
ท่านพ่อทำเช่นนี้ เพราะคิดจะใช้หานอวี้มาสั่งสอนมอบบทเรียนให้เขากระมัง
หานทั่วเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้น แววตาเด็ดเดี่ยว เอ่ยว่า “ข้าจะเดินไปตามทางของตน ให้ข้าก้าวเดินไปเองเถิด ข้าจะบุกเบิกนภาของข้าเอง รอจนข้าพิสูจน์มรรคสำเร็จแล้วจะกลับมาทดแทนบุญคุณที่ท่านให้กำเนิดชุบเลี้ยงและมอบโอกาสให้”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “อยู่ภายใต้การดูแลของข้าก็สำเร็จเป็นอริยะได้เช่นกัน เพียงแต่เจ้าต้องอดทนกับความเงียบเหงาอ้างว้างอันไร้ที่สิ้นสุด”
“ไม่จำเป็นขอรับ ในฐานะบุตรชายของท่าน หากข้าต้องการให้ทุกคนยอมรับ ข้าก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้”
“ได้สิ”
หานเจวี๋ยก็ไม่พูดไร้สาระอีก เขาชี้นิ้วออกไป แตะลงบนหน้าผากหานทั่ว
ตูม!
หานทั่วรับรู้เพียงว่าสมองระเบิดตูม จิตรับรู้ตกอยู่ในภวังค์เลื่อนลอย
หานเจวี๋ยชักนำมหามรรคกต้นกำเนิดเข้าสู่สมองเขา เทศนาธรรมแก่เขา
ตอนนี้เขาผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากเทศนาอีก เนื่องจากตัวเขาก็คือมหามรรคต้นกำเนิด
………………………………………………………………