ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 62 สิบเก้าสายสำนักบุกสำนักหยกพิสุทธิ์!
บทที่ 62 สิบเก้าสายสำนักบุกสำนักหยกพิสุทธิ์!
ฝ่ายหลักร่วมมือกับฝ่ายมารเข้าโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์?
หานเจวี๋ยแสดงสีหน้าโง่งมทันที
เขาอดไม่ได้รีบถามทันที “เจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ฆ่าทุกคนที่ไม่ยินยอมเช่นนั้นหรือ”
หลี่ชิงจื่อโมโหทันควัน เอ่ยปากอย่างเดือดดาลว่า “ไอ้เลวระยำพวกนี้ ข้าอุตส่าห์ไปขอโทษถึงสำนักแล้ว พวกมันกลับลงมือกับข้าทันที เวลานั้นกระทั่งโอกาสที่จะเอ่ยปากสักแอะยังไม่มี ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักศิษย์สายหลักที่ฝักใฝ่เข้าฝ่ายอธรรมผู้นั้นด้วย นามของมันคือโม่ฟู่โฉว ดูเหมือนตัวมันเองจะไม่เต็มใจใฝ่เข้าฝ่ายอธรรม เกรงว่าคงถูกใส่ร้าย”
หานเจวี๋ยหว่างคิ้วยับย่นเอ่ย “เรื่องเป็นมาอย่างไร”
หลี่ชิงจื่อเริ่มเล่าเรื่องยาวยืดให้เขาฟัง
เขาเริ่มจากความเป็นมาของโม่ฟู่โฉว
โม่ฟู่โฉวมาจากตระกูลโม่ เดิมทีเป็นตระกูลผู้ฝึกตน ทว่ามีพบหลักฐานสมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายอธรรม จึงถูกฝ่ายธรรมมะแต่ละสำนักร่วมมือไล่สังหาร มีเพียงโม่ฟู่โฉวและโม่จู๋เท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้
เซียนเฒ่าเต้าเหลยรับโม่ฟู่โฉวเป็นลูกศิษย์ด้วยตัวเอง และมอบชื่อใหม่ให้เขา โม่ฟู่โฉวจึงกลายเป็นชื่อที่เซียนเฒ่าเต้าเหลยตั้งให้เป็นการส่วนตัว หวังว่าตัวมันนั้นจะลืมความเกลียดแค้นชิงชังในอดีตและกลายเป็นคนใหม่ได้
ครั้งหนึ่งเมื่อโม่ฟู่โฉวออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก บังเอิญพบศัตรูคู่อาฆาตในอดีต จึงสังหารศิษย์สำนักนั้นไปไม่น้อย จากนั้นค่อยๆ ทยอยตามฆ่าเหล่าลูกศิษย์ของสำนักฝ่ายธรรมะที่เกี่ยวข้องกับคดีฆ่าล้างตระกูลในปีนั้น
หลี่ชิงจื่อรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน ถึงอย่างไรเขาก็เคยพบเจอโม่ฟู่โฉวมาก่อน ตัวโม่ฟู่โฉวนั้นนับว่าเป็นคนปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างนอบน้อมถ่อมตัวมาตลอด ต่อให้ทนไม่ได้จนลงมือฆ่าศัตรูจริงๆ ครั้งแรกที่พลั้งมือฆ่าศัตรูไปแล้วนั้นเขาควรจะกลับมามิใช่หรือ แต่กลับตามแก้แค้นราวคนบ้าเช่นนั้น
เกรงว่าตอนนี้คงมีไม่น้อยกว่าห้าสำนักที่กำลังไล่สังหารโม่ฟู่โฉว เมื่อหลายปีก่อน โม่ฟู่โฉวอับจนหนทาง จำต้องแสดงพลังพิเศษประจำตระกูลออกมา แต่สุดท้ายพลังนั้นกลับเป็นพลังพิเศษของลัทธิมาร จึงทำให้เขาสู่ฝ่ายอธรรมไปโดยตรง
นับวันคนที่อาศัยพลังวิเศษนี้เพื่อฆ่าคนนั้นมีไม่น้อย โม่ฟู่โฉวกลายเป็นมารโดยสมบูรณ์แบบ ไร้ทางหวนกลับ
“เรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว สำนักเหล่านั้นไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถามข้าสักคำ กลับมุ่งไล่สังหารโม่ฟู่โฉวไม่หยุด กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา เจ้าก็น่าจะรู้ ทว่าพอข้าไปเยือนสำนักเพื่อขอโทษนั้น กลับถูกโจมตีอย่างเหี้ยมโหด”
“เรื่องของผู้เยาว์ไหนเลยที่ระดับเจ้าสำนักจะต้องยื่นมือเข้ามาพัวพัน เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นฉวยโอกาสคิดต่อสู้”
หลี่ชิงจื่อยิ่งพูดยิ่งโกรธแค้น ราวอยากร้องไห้ออกมาเต็มแก่
แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนกลับไป
เขาถอนหายใจเอื้อนเอ่ย “ตอนนี้ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมเข้าโอบล้อมพวกเราแล้ว พวกเราคงต้านไม่ไหวเป็นแน่ หรือจะใช้วิธีของเจ้า แอบหลบหนีไปซะ! ”
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งจากไป กวนโยวกังก็บาดเจ็บสาหัส
หากจะหวังพึ่งเพียงหานเจวี๋ย เขาเพียงคนเดียวไหนเลยจะสามารถต้านฝ่ายหลักและฝ่ายมารได้
ถึงอย่างไรสำนักที่ใหญ่บางสำนักย่อมมีผู้บำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณอยู่ด้วย ดังเช่นสำนักกระบี่วิหคชาดที่มีผู้บำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณถึงสองคน เมื่อทุกสำนักร่วมมือกันลงมือแล้ว แน่นอนว่าหานเจวี๋ยเพียงคนเดียวคงต้านไม่ไหว
หานเจวี๋ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมมีผู้บำเพ็ญระดับสุญตาหรือระดับรวมกายาด้วยหรือไม่”
หลี่ชิงจื่อดวงตาเบิกกว้างกล่าวออกมาว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร! ก่อนหน้าที่มีหวงจุนเทียนผู้มีตบะเพียงระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นที่เก้าพวกมันก็วางอำนาจบาตรใหญ่กันแล้ว หากพวกมันมีผู้บำเพ็ญระดับสุญตา ไหนเลยจะถูกรังแกอยู่เช่นนี้”
“ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีระดับปรมาจารย์ออกไปฝึกตนข้างนอก เพื่อแสวงหาโชควาสนาเฉกเช่นสำหนักหยกพิสุทธิ์ของเรา”
“ย่อมต้องมีแน่นอน แต่ทว่าข้าไม่เคยได้ยินถึงการดำรงอยู่ของระดับสุญตา เดิมทีแล้วระดับปฐมาจารย์นั้นมักจะออกจากสำนักไปตามลำดับ พวกมันล้วนไม่ต่างจากศิษย์หลานแล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว หลี่ชิงจื่อพลันลอบถอนหายใจ
หากว่านักพรตเต๋าจิ่วติ่งยังมิจากไปก็คงดีไม่น้อย
ประสบความลำบากมาไม่น้อยกว่าสำนักหยกพิสุทธิ์จะเป็นสำนักที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ เป็นที่นับหน้าถือตาได้เพียงนี้ หากไม่จำเป็นต้องต่อสู้ อยู่อย่างเงียบสงบอีกร้อยปี ย่อมเพียงพอให้กลายเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าเยี่ยนได้เป็นแน่
จะทำอย่างไรได้เล่า เมื่อช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้พลันเกิดเรื่องขึ้นขึ้นมาก่อน
หลี่ชิงจื่อไร้เรี่ยวแรง
ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักมา เขาทุ่มเทกายใจมาตลอด ทั้งพบเจอความลำบากมาก็มิใช่น้อย
ทว่าสุดท้ายแล้วกลับเห็นเพียงความว่างเปล่า!
หลี่ชิงจื่อเข้าใจความในใจของหานเจวี๋ย ถอนหายใจออกมาแล้ว ค่อยๆ ลุกขึ้น
“เจ้าจงเตรียมพร้อมให้เรียบร้อย ไม่เกินสามวัน สำนักหยกพิสุทธิ์จำต้องหาเส้นทางหลบหนี เร่งมุ่งไปต่างแดน บากหน้าไปขอพึ่งปฐมาจารย์”
หานเจวี๋ยกล่าวโดยไม่รอช้า “หลบหนีทำไม! ข้าไม่คิดจะหนีหรอกนะ แล้วเจ้าจะหนีทำไม”
หลี่ชิงจื่อชะงักงัน
เขาถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าหมายความว่าอะไร”
หานเจวี๋ยตอบอย่างไม่ยี่หระ “ให้พวกมันเข้ามา จะได้เข้าใจกันอย่างถ่องแท้ว่า สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในสำนักหยกพิสุทธิ์หาใช่ปฐมาจารย์”
แต่ไหนแต่ไร ศัตรูในห้วงจินตนาการของหานเจวี๋ยนั้นคือลัทธิมาร!
แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนนั้นนับเป็นสิ่งใดหรือ?
ให้พวกมันบุกเข้ามา!
ในเมื่อกล้ารบกวนเวลาฝึกฝนของข้า ก็อย่าหวังว่าข้าจะให้พวกเจ้าได้กลับไป!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่ชิงจื่อดีใจจนเนื้อเต้น
เขารู้จักนิสัยของหานเจวี๋ยดี
เจ้าขี้ขลาดหานเจวี๋ยยังกล้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นย่อมแสดงว่ามั่นใจอย่างที่สุด!
“ตอนนี้เจ้าบรรลุระดับใดแล้วหรือ” หลี่ชิงจื่อเอ่ยถามอย่างลังเล
หานเจวี๋ยหัวเราะพร้อมตอบว่า “อย่างน้อยก็ไม่ด้อยไปกว่าระดับปฐมาจารย์”
หา
ไม่ด้อยกว่าหรือ!
กระทั่งสังหารนักพรตเต๋าจิ่วติ่ง เขายังใช้เวลาพริบตาเดียวเท่านั้น!
ท่าร่างของตาแก่นั่นเชื่องช้านัก!
เป็นเวลาเนิ่นนาน
เมื่อหลี่ชิงจื่อเคลื่อนคล้อยจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน ทว่าเขายังคงงุนงง
มาพร้อมความความเศร้าโศก กังวล แต่กลับไปพร้อมความปิติยินดี ประหนึ่งว่าเขากำลังฝันไป
หลังจากหลี่ชิงจื่อกลับไปแล้ว หานเจวี๋ยรีบพินิจอย่างละเอียดอีกครั้ง ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งในสำนักหยกพิสุทธิ์นั้น นอกจากตัวเขาแล้วยังมีใครอื่นหรือไม่
มีเพียงกวนโยวกังเท่านั้น
ไม่มีผู้มีฝีมือเทียบเคียงได้แล้ว
หานเจวี๋ยรู้สึกเสียใจอย่างอธิบายไม่ถูก
หลี่เฉียนหลง?
คงจะไม่ถูกเขาสาปแช่งตายหรอกใช่ไหม?
หานเจวี๋ยยังรอรับประลองฝีมือกับหลี่เฉียนหลง
หากแต่คนผู้นี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
น่าเสียดาย
หานเจวี๋ยส่ายศีรษะ หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายขึ้นมา เริ่มสาปแช่งเซียวเอ้อร์ราวสองสามวัน ระบายออกมาสักครู่จึงเริ่มจะฝึกฝนต่อไป
……
เวลาหนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนเกิดกระแสคลื่นพัดกระพือฮือโหม
โม่ฟู่โฉวทำลายชื่อเสียงของตัวเอง ฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมร่วมมือกลายเป็นพันธมิตร เตรียมพร้อมโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์ สำนักที่สนับสนุนนั้นมีมากถึงสิบเก้ากลุ่ม
เรื่องนี้ได้แพร่กระจายทั่วทั้งแดนบำเพ็ญพรตแล้ว
ขอแค่ที่ไหนมีนักบำเพ็ญก็ล้วนแล้วแต่พูดคุยเรื่องนี้ทั้งนั้น
สิบเก้าสายสำนักบุกสำนักหยกพิสุทธิ์!
ทว่า
แทนที่สำนักหยกพิสุทธิ์จะตื่นตระหนก แต่กลับทำให้ทั้งสิบเก้าสายสำนักเป็นฝ่ายร้อนรนเองเสียด้วยซ้ำ
สิบเก้าสายสำนักยังไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ เพราะหวาดระแวงนักพรตเต๋าจิ่วติ่งจะหวนมากลับมา
ในวันเดียวกันนั้นเอง
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ พลันลืมตาขึ้นอย่างตื่นตะลึง
เขาสัมผัสได้ถึงลมปราณที่คุ้นเคยสายหนึ่ง
เขารีบส่งพลังจิตออกไปทันที
หวงจี๋เฮ่าจากสำนักกระบี่วิหคชาด!
ชั่วขณะนั้น หวงจี๋เฮ่ายืนอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำสายหนึ่ง สายตาทอดยาวไปยังยอดเขาทั้งสิบแปดยอดของสำนักหยกพิสุธ์
สีหน้าเย็นชา นิ่งขรึม ยืดตัวตรงลู่ลม
มองจากภายนอก เขาสงบเยือกเย็น แต่ภายในใจนั้นกลับกระวีกระวาด ร้อนรน
“เหตุใดเจ้าจึงกลับมาที่นี่อีก”
หวงจี๋เฮ่าร่างสั่นงันงก กล่าวอย่างรีบร้อนว่า “สหายเซียนโปรดอย่าได้ลงมือ ข้าเพียงมาเยี่ยนเยียนเจ้าเท่านั้น มิได้มีเจตนาร้ายอันใด!”
มาเยี่ยมเยียนข้า?
หานเจวี๋ยงุนงง
เขาลังเลใจว่าควรจะลงมือหรือไม่
หวงจี๋เฮ่าไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา จิตใจยิ่งกระเจิดกระเจิง
เขาจึงกล่าวต่อว่า “เวลานี้มีผู้นำบางคน ต้องการจะร่วมมือกับฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมเพื่อจัดการสำนักหยกพิสุทธิ์ เจ้าสำนักของพวกเราส่งข้ามาสืบข่าว ไม่ทราบว่าสำนักหยกพิสุทธิ์ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”
หานเจวี๋ยที่นั่งอยู่ภายในถ้ำเทวาหว่างคิ้วกระตุก
สำนักกระบี่วิหคชาดคิดจะหักหลังพันธมิตรอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยวางแผนในใจ พร้อมถ่ายทอดเสียงไปว่า “สำนักหยกพิสุทธิ์ไม่ต้องการความช่วยเหลือใด ข้าจะรออยู่ที่นี่จนกว่าพวกเจ้าจะมารวมกันทุกคน ไม่ว่าจะมามากน้อยเพียงใด ก็ล้วนต้องตาย”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ในใจของหานเจวี๋ยแทบเต้นผิดจังหวะ
น้ำเสียงช่างเย่อหยิ่ง อวดดียิ่งนัก!
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ หวงจี๋เฮ่าคงหัวเราะเยาะเย้ยเป็นแน่ ทว่าหากเป็นหานเจวี๋ยที่กล่าวออกมาเช่นนี้ เขาย่อมเชื่อโดยไร้ข้อกังขา
“แต่ว่า…เรื่องนี้มีลับลมคมนัยอยู่ไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจมีผู้ชักไยอยู่เบื้องหลังก็เป็นได้ หากสำนักกระบี่วิหคชาดของพวกเจ้าสามารถตามหาผู้บงการอยู่หลังม่านออกมาได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะให้เจ้าสำนักเราร่วมมือกับพวกเจ้า”
คำพูดของหานเจวี๋ยทำให้หวงจี๋เฮ่าตัวค้างแข็ง
[หวงจี๋เฮ่าเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้ 4 ดาว]
หานเจวี๋ยเห็นตัวอักษรเหล่านี้แล้วถึงกับพูดไม่ออก
หือ?
คนผู้นี้…
……………………………………….