ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 646 ปรมาจารย์หญิงฝานเจวี๋ย มรรคาสวรรค์เลือกข้าง
บทที่ 646 ปรมาจารย์หญิงฝานเจวี๋ย มรรคาสวรรค์เลือกข้าง
หานเจวี๋ยพาเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเข้ามาในอารามเต๋าของตนโดยตรง เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยระเบิดตัวเอง หานเจวี๋ยใช้พลังของเทพมารเล่ห์ลวงทำให้เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยอยู่ในสภาวะเลื่อนลอย ไม่มีสติ
หานเจวี๋ยโยนเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเข้าไปในคุกสวรรค์อนธการ
แตกต่างไปจากกรณีของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าก่อนหน้านี้ หานเจวี๋ยแข็งแกร่งกว่าเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยมากนัก จึงไม่สามารถหลุดพ้นจากพลังมหามรรคของหานเจวี๋ยได้ ดังนั้นหานเจวี๋ยจึงไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูเขา
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ได้เริ่มฝึกฝนร่างจำลองเสรีสุญญตา
ชั่วพริบตาเดียว ผ่านไปสามร้อยปี
หานเจวี๋ยฝึกฝนร่างจำลองเทพมารฟ้าบุพกาลเพิ่มห้าสิบตน ใช้เวลานานกว่าที่ผ่านมา สาเหตุเป็นเพราะพลังของเทพมารต่อต้านกันเอง
ร่างจำลองเทพมารชุดใหม่แบ่งออกเป็น เทพมารงำรุ้ง เทพมารย่อส่วน เทพมารไร้ภัย เทพมารฟากฟ้า เทพมารไร้อาวรณ์ เทพมารเอกเทศ เทพมารเฝ้าระวัง เทพมารตามวิถี เทพมารหมอกเลือน เทพมารกริ่งเกรง เทพมารหลากจิต เทพมารเหนือปฐม เทพมารบิดเบี้ยว เทพมารราตรีนิรันดร์ เทพมารเบิกยุทธ์ เทพมารเผ่าพันธุ์ เทพมารระดับชั้น เทพมารร่างแยก เทพมารแสนโศกา เทพมารคุมจิต เทพมารกำหนดวิญญาณ เทพมารฟ้าประทาน เทพมารแหลกลาญ เทพมารเกื้อกูล เทพมารโครงกระดูก เทพมารจารึกทอง เทพมารเลือนราง
เทพมารหมื่นวิถีสร้างโลกา เทพมารล่องหน เทพมารยอดแกร่ง เทพมารชื่นเมฆา เทพมารสูงสุด เทพมารตามเงา เทพมารคุนถู เทพมารคุกวิวาท เทพมารต่อต้าน เทพมารล้างบาง เทพมารสำนึกบาป เทพมารคมดาบ เทพมารฐานกำเนิด เทพมารวิถีทาง เทพมารรวมแยก เทพมารเคราะห์ผันผวน เทพมารยอดตำรา เทพมารครอบงำ เทพมารภัยแล้ง เทพมารท่องโลกา เทพมารขื่นขม เทพมารสาบสูญ เทพมารล้านดัชนี
พลังของเทพมารเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีจุดพิเศษอยู่ ยกตัวอย่างเช่นเทพมารยอดแกร่ง มิใช่เทพมารที่แข็งแกร่งที่สุด นี่คือพลังแห่งมหามรรคที่แสวงหายอดผู้แข็งแกร่ง เมื่อสำแดงออกมา จะช่วยยกระดับพลังอย่างมหาศาล ถูกปลูกฝังเจตจำนงให้ไล่ตามผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้มากเท่าไร พลังแห่งมหามรรคก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น สำหรับหานเจวี๋ยแล้วไม่นับว่าดีเท่าไร เพราะจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไปได้ง่ายๆ ถ้าไม่เข้าตาจนจะไม่นำมาใช้ส่งเดช
เทพมารไร้ภัย เป็นมหามรรคป้องกันอันเลิศล้ำแขนงหนึ่ง ไม่มีทางได้รับบาดเจ็บเสียหาย ต้องให้พลังมรรคที่แข็งแกร่งกว่าโจมตีสังหารในครั้งเดียวเท่านั้น
เทพมารแสนโศกา เป็นผลสะท้อนจากอารมณ์โศกศัลย์เหลือคณาประการหนึ่ง ดูดซับความโศกเศร้าของสรรพสิ่ง เสริมพลังให้ตนแข็งแกร่งขึ้น
เทพมารรวมแยก สามารถควบรวมทุกอย่างที่มีอยู่จริงได้ และสามารถแยกส่วนให้กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยได้
เทพมารหมื่นวิถีสร้างโลกา มีความคล้ายคลึงกับต้นฝูซัง ร่างกายงอกกิ่งก้านได้นับหมื่น แต่ละกิ่งก่อกำเนิดโลก เชื่อมโยงโลกาได้ ขอเพียงมีโลกใดโลกหนึ่งที่เขาสร้างขึ้นคงเหลืออยู่ เขาจะไม่มีวันดับสูญ
เป็นไปตามนี้
หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ ปรับตัวกับพลังเทพมารชุดใหม่เหล่านี้
ผ่านไปสิบปีเต็ม เขาถึงสิ้นสุดการจำลองด้วยความพึงพอใจ
จนถึงตอนนี้ เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยก็ยังอยู่ในคุกสวรรค์อนธการ
หานเจวี๋ยทอดสายตามองแดนเซียน
หลังเผ่าเพลิงกัลป์ปราชัย แดนเซียนกลับสู่สภาพเดิมเหมือนที่ผ่านมา ถึงแม้สรรพสิ่งจะมานะบำเพ็ญมากขึ้น แต่ก็ยากจะเลี่ยงการต่อสู้แย่งชิงได้
ยกตัวอย่างเช่นเผ่ามนุษย์ หากเผ่ามนุษย์อยากผงาดรุ่งเรือง ก็จำเป็นต้องขยายอาณาเขต เพิ่มฐานทรัพยากร แต่จนปัญญาที่เผ่าพันธุ์ในละแวกข้างเคียงล้วนเคยอยู่ใต้อาณัติเผ่าปีศาจ บัญชีแค้นหนี้โลหิตระหว่างมนุษย์และปีศาจหยั่งรากฝังลึก ด้วยเหตุนี้เผ่ามนุษย์จึงเผชิญกับการปิดล้อมโจมตี ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอีกครั้ง
บารมีของหลี่เต้าคงยังมีไม่มากพอ
หลังเผชิญภัยเผ่าเพลิงกัลป์ สรรพสิ่งได้กระจ่างในเรื่องหนึ่งแล้ว
นั่นก็คืออริยะไม่สามารถสอดมือเข้ายุ่งกับแดนเซียนด้วยตัวเองได้!
ข้อเท็จจริงนี้ทำให้อำนาจบารมีของอริยะลดต่ำลง
ยิ่งไปกว่านั้นคือหากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ร่วมมือกัน อริยะไม่มีทางส่งผู้ทรงพลังจะมาทำลายล้างพวกเขาทั้งหมดเพื่อเผ่ามนุษย์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางบำเพ็ญของมรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้
เนื่องด้วยเหตุนี้หานอวี้จึงตกอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าสังหารสารพัดรูปแบบ ทว่าตบะของเขากลับเพิ่มพูนขึ้นรวดเร็วยิ่ง
หานเจวี๋ยไม่สนใจเผ่ามนุษย์มานานมากแล้ว ขอแค่หานอวี้ยังปลอดภัยก็พอ
แต่หากหานอวี้สามารถนำพาเผ่ามนุษย์ไปสู่ความรุ่งเรืองได้ หานเจวี๋ยก็จะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขา อาจมอบโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ให้ ทำให้เขามีคุณสมบัติในการไล่ตามหานทั่วผู้เป็นบรรพชน
หานเจวี๋ยสอดส่องสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ต่อ สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์พัฒนาไปอย่างยอดเยี่ยม ไม่ทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับลี่เหยาหรือไม่ ศิษย์หญิงเผ่ามนุษย์ในสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ล้ำหน้าศิษย์หญิงจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ ไปแล้ว
นับตั้งแต่สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ก่อตั้งขึ้น มีนิกายเจี๋ยคอยหนุนหลัง แทบไม่เคยพบพานอุปสรรคยากลำบากเลย ช่วงก่อนที่เผ่าเพลิงกัลป์บุกโจมตี กว่าพวกนางจะได้ลงสนามรบ การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงแล้ว
หานเจวี๋ยสอดส่องโลกเขย่าพิภพที่อยู่ด้านล่างแดนเซียนต่อ
นับตั้งแต่ส่งโลกเขย่าพิภพออกไป ก็พัฒนาไปตามวิถีของตน ยามนี้เป็นรองเพียงโลกแยกนภาที่เป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น กลายเป็นโลกมนุษย์อันดับสอง
ถึงแม้หานเจวี๋ยจะไม่ได้ดูแลโลกเขย่าพิภพ แต่เผ่าสวรรค์ นิกายเจี๋ย วังเทพและสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ล้วนช่วยเกื้อหนุนโลกเขย่าพิภพ ถึงขั้นที่ส่งศิษย์ไปพำนักในระยะยาว เทศนาธรรมแก่เหล่ามนุษย์
ยามนี้พุทธะอาภรณ์ขาวอาศัยดวงชะตาของโลกเขย่าพิภพ สำเร็จเป็นต้าหลัวแล้ว นับว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงทรงอำนาจเช่นกัน
ส่วนในยมโลก ซูฉีปิดด่านฝึกบำเพ็ญมาตลอด แต่เป็นเพราะมีเขาอยู่ ฐานะของหยางเทียนตงจึงเป็นดั่งเรือลอยสูงตามน้ำ พญายมคนอื่นๆ ไม่กล้าล่วงเกิน ยอมเชื่อฟังเขา
ทุกอย่างนับว่าสงบสุขดี
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็สังเกตเห็นคนผู้หนึ่ง เป็นคนคุ้นเคยเก่า
โม่จู๋
แรกเริ่มเดิมทีหลี่มู่อีรับโม่จู๋เป็นศิษย์ คิดจะอาศัยนางวางแผนต่อกรกับหานเจวี๋ย อย่างไรก็ตามโม่จู๋ได้กลับไปที่แดนเซียนตั้งแต่หลี่มู่อียังไม่สิ้นชีพแล้ว กาลเวลาผันผ่าน นางและหานเจวี๋ยกลายเป็นคนแปลกหน้าไม่คุ้ยเคยไปเสียแล้ว ยามปกติหานเจวี๋ยก็ไม่นึกถึงนางเลยเช่นกัน
ถึงอย่างไรหานเจวี๋ยก็เคยรั้งตัวโม่จู๋ไว้ แต่นางยืนกรานว่าจะไป ต้องการสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ตระกูลโม่
กาลเวลาผันแปร โม่ฟู่โฉวดับสูญ ตระกูลโม่สูญสิ้นไปนานแล้ว ยามนี้โม่จู๋เปลี่ยนชื่อแซ่ กลายเป็นปรมาจารย์หญิงฝานเจวี๋ยปลีกวิเวกอยู่ในมุมหนึ่งของแดนเซียน
นามนี้เห็นได้ชัดยิ่งว่ามีการแยกตัวอักษรในนามของหานเจวี๋ยไปประกอบไว้ในชื่อ
โม่จู๋บรรลุระดับเทพแล้ว ต้องขอบคุณมรรควิถีของนิกายเหรินยิ่งนัก
หานเจวี๋ยมองโม่จู๋ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงเวลาในโลกมนุษย์ ทอดถอนใจอยู่ภายใน
กาลครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้ว เขาเฝ้าฝันใฝ่ถึงแดนเซียน
หานเจวี๋ยไม่ได้ไปหาโม่จู๋ โม่จู๋ก็เติบโตขึ้นแล้ว มีพลังพอปกป้องตัวเอง หากนางต้องการมาหาหานเจวี๋ย ก็มาที่สำนักซ่อนเร้นได้ หานเจวี๋ยทำนายดูแล้ว โม่จู๋เคยพบโจวฝาน ซึ่งโจวฝานมิได้ปิดบังร่องรอยของหานเจวี๋ยเลย แต่โม่จู๋ไม่เคยกลับมาเลย
เหตุใดถึงไม่กลับมาน่ะหรือ คงเพราะรู้สึกว่าสูงส่งจนเอื้อมไม่ถึง
คนเรามีปณิธานต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นหานเจวี๋ย หรือว่าโม่จู๋ ล้วนไม่คิดจะเสี่ยงชีวิตให้สิ่งที่เรียกว่าความรัก
หานเจวี๋ยปลงอนิจจังอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
….
ห้าร้อยปีต่อมา
[คุกสวรรค์อนธการสยบทาสสำเร็จ]
[เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้เต็มขั้นดาว]
หานเจวี๋ยเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมาตรวจดูรูปประจำตัวของเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยทันที
[เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย: อริยะมรรคาสวรรค์ยุคหลัง เจ้านิกายเจี๋ย มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต ระดับความประทับใจในตัวท่านเต็มขั้นดาว]
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธีไป วันหน้าพวกเราจะเป็นเช่นที่ผ่านมา แสดงออกเช่นนี้ให้น้อยที่สุด เจ้ากลับไปเถอะ หากผู้ใดถาม เจ้าคงรู้กระมังว่าควรทำอย่างไร”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยตอบอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยทราบแล้ว”
หานเจวี๋ยโบกมือส่งเขากลับสู่ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยกลับมาถึงหน้าอาณาเขตเต๋าตามความทรงจำของตน เวลานี้เอง เทพสูงสุดหนานจี๋ปรากฏตัวขึ้น ตามเขาเข้าไปในตำหนัก
หลังจากประตูใหญ่ปิดลง
เทพสูงสุดหนานจี๋ก็ถามด้วยความสงสัย “หานเจวี๋ยมาพบเจ้าด้วยเรื่องใด”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยตอบไปว่า “พูดคุยถึงสายสัมพันธ์ระหว่างสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์และนิกายเจี๋ย นับว่าเป็นพันธมิตรได้แล้วกระมัง”
เทพสูงสุดหนานจี๋ร้องจุ๊ๆ กล่าวอย่างแปลกใจ “ถ้าเป็นเช่นนี้ เห็นทีว่านิกายฉ่านก็ควรไปสร้างสายสัมพันธ์กับสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์บ้างเสียแล้ว”
“ย่อมได้ ไม่ช้าก็เร็วมรรคาสวรรค์จะต้องเลือกข้าง พวกเราตัดสัมพันธ์กับแดนเทพหวนปัจฉิมแล้ว มิสู้เลือกข้างสหายเต๋าหานดีกว่า”
“ก็ถูก เทียนเจวี๋ย ข้าเชื่อเจ้า พวกเราว่ากันตามนี้เถิด”
“อืม”
………………………………………………………………