ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 664 ราชันอัปมงคล
บทที่ 664 ราชันอัปมงคล
หืม
เจริญรอยตามผานกู่หรือ
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว เอ่ยถาม “เขามีพลังขนาดนี้เชียวหรือ”
จอมอริยะเสวียนตูส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “อาจารย์ข้าบอกว่า เขามีขวานเบิกฟ้าอยู่ในมือ เหนือเศียรมีบัวขจีสามสิบหกฟ้าบุพกาล ไม่ว่าจะเป็นด้านการโจมตีหรือป้องกัน ต่อให้เป็นอริยะมหามรรคก็ยากจะต่อกรได้”
ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ
หานเจวี๋ยพลันนึกขึ้นได้ว่าตนก็มีขวานเบิกฟ้าด้ามหนึ่งเช่นกัน เป็นของรางวัลจากระบบ
แต่ขวานเบิกฟ้าของเขาไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น เขาเคยทดลองใช้ในแบบจำลองการทดสอบแล้ว ถึงแม้จะเป็นอาวุธสายโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเขา แต่พอใช้โจมตีปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก็ยังแหลกเป็นชิ้นๆ อยู่ดี
อีกอย่างจะมีขวานเบิกฟ้าสองอันได้อย่างไร
ในใจหานเจวี๋ยเต็มไปด้วยสงสัย
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยต่อว่า “พวกเราต้องแข่งกับเวลาเร่งยกระดับมรรคาสวรรค์ ยามนี้เผ่าสวรรค์อพยพไปที่ยมโลก ไม่เหมาะจะเป็นเผ่ามรรคาสวรรค์อีก เจ้าคิดว่าเผ่าใดเหมาะสมบ้าง”
หานเจวี๋ยตอบไปว่า “เผ่ามนุษย์”
“ตกลง เช่นนั้นก็เอาตามที่สหายเต๋าหานว่า เลือกเผ่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์”
จอมอริยะเสวียนตูเห็นด้วยทันที สีหน้าเคร่งขรึม
หานเจวี๋ยค่อนขอดอยู่ในใจ เจ้าจะเสแสร้งไปไยเล่า เจ้าก็อยากให้เผ่ามนุษย์กลายเป็นเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์อยู่แล้วมิใช่หรือ
จอมอริยะเสวียนตูก็ถือกำเนิดจากเผ่ามนุษย์ ซ้ำยังเป็นเจ้านิกายเหริน เขาจะไม่เกื้อหนุนเผ่ามนุษย์ได้อย่างไร
หลังจากนั้น จอมอริยะเสวียนตูคุยเรื่องมิติวัฏจักรต่ออีกครู่หนึ่ง เป็นเช่นเดียวกับที่ผ่านมา พูดถึงการพัฒนาของมิติวัฏจักรทั้งสิ้น
จอมอริยะเสวียนตูวางแผนจะพัฒนามิติวัฏจักรไปตามมรรคาสวรรค์น้อยแห่งอื่นๆ ถึงขั้นจะขยายไปยังโลกมนุษย์ในมรรคาสวรรค์ด้วย
หานเจวี๋ยไม่ได้คัดค้าน ถึงอย่างไรมิติวัฏจักรก็เป็นของเขาครึ่งหนึ่ง
จอมอริยะเสวียนตูอยากอาศัยจุดนี้แย่งชิงดวงชะตามรรคาสวรรค์ และไม่ส่งผลกระทบต่อหานเจวี๋ยด้วย
หากวันหนึ่งทั้งสองขัดแย้งกัน หานเจวี๋ยค่อยทำให้เขารู้ซึ้งว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นเจ้าของมรรคาสวรรค์
หลังสนทนาเสร็จสิ้น หานเจวี๋ยก็กลับไปที่เขตเซียนร้อยคีรี
เขาสอดส่องดูหานอวี้
หานอวี้ก็เข้าร่วมศึกที่ยมโลกเช่นกัน ตบะเพิ่มพูนมหาศาล ปัจจุบันนี้ตำแหน่งในเผ่ามนุษย์เป็นรองเพียงจักรพรรดิมวลมนุษย์เท่านั้น ถึงขั้นที่เรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับจักรพรรดิมวลมนุษย์แล้ว
เมื่อเผ่ามนุษย์หวนคืนตำแหน่งเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์ หานอวี้ก็นับว่าพลิกฐานะขึ้นมาเช่นกัน
หานเจวี๋ยสอดส่องยมโลกต่อ ภายใต้คำสั่งอันเผด็จการของมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ เผ่าหายนะไม่กล้าเป็นปรปักษ์กับเทพผีและเทพเซียนอีก จักรพรรดินีผืนพิภพและจี้เซียนเสินก็ย่อมไม่อาศัยจุดนี้ทำเกินเลยไปเช่นกัน ยมโลกกลับมาสงบสุขเช่นในวันวาน
‘ต้องปรองดองกันไว้ถึงจะดี ขอให้ทุกคนตั้งใจฝึกบำเพ็ญ วันเวลาดำเนินไปอย่างสงบสุข’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ ขอเพียงให้เวลาเขา รอให้เขาไร้พ่ายอย่างแท้จริง เขาจะบ้าระห่ำยิ่งกว่าผู้ใดแน่นอน!
….
ณ แดนต้องห้ามอันธการ
นาวาทองสัมฤทธิ์ลำยักษ์ล่องลอยไป บนนาวาลำยักษ์ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต แต่เรือกลับสะอาดสะอ้าน ไม่คล้ายว่าร้างผู้คนเลย
หานทั่วและอี๋เทียนปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้านาวาทองสัมฤทธิ์
อี๋เทียนขมวดคิ้ว “ใช่มันหรือ เหตุใดถึงมิมีสิ่งใดเลย”
หานทั่วตอบ “ก็เพราะไม่มีอะไรอยู่เลย ถึงได้เป็นมันอย่างไรเล่า คาดว่าบนเรือคงมีสิ่งอัปมงคลนับไม่ถ้วนที่อยากเขมือบกลืนกินพวกเรา”
เมื่อเอ่ยถึงสิ่งอัปมงคล อี๋เทียนอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจขึ้นมา
สำหรับตัวตนทุกอย่างที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวทั้งสิ้น
หานทั่วเหาะเข้าไป ประสานมือพลางตะโกนขึ้นว่า “ข้าน้อยคือแม่ทัพเทพหานใต้สังกัดจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย มาขอเข้าพบเทพจักรพรรดิอัปมงคล!”
อี๋เทียนก็ทำความเคารพด้วยเช่นกัน
นาวาทองสัมฤทธิ์พลันหยุดนิ่ง ห้วงมิติมืดมิดรอบข้างพลันกระเพื่อมไหว ราวกับผิวน้ำที่มีสายลมพัดผ่าน
เสียงแหบเครือเสียงหนึ่งแว่วออกมาจากนาวาทองสัมฤทธิ์ “ฝ่าบาทของพวกเจ้าล่ะ”
หานทั่วตอบ “ฝ่าบาทกำลังออกตามหยกเทพหวนปัจฉิมให้ท่านขอรับ”
เทพจักรพรรดิอัปมงคลเงียบไป
หนังศีรษะหานทั่วชาหนึบ เอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาทให้พวกเรามาเชิญท่านไปจับตัวจอมเทพข่งเซวี่ยขอรับ เขาบอกว่าขอเพียงท่านทำได้ เขาจะคิดหาวิธีรวบรวมหยกเทพหวนปัจฉิมทั้งสามชิ้นให้ท่าน ให้เผ่าพันธุ์ของท่านได้ครองนภาแห่งแดนเทพหวนปัจฉิม”
คลื่นจิตสังหารรุนแรงสุดขีดพุ่งออกมา หานทั่วหน้าซีดทันที อี๋เทียนที่อยู่ด้านหลังหยิบสมบัติวิเศษออกมาเตรียมต่อสู้
อี๋เทียนตึงเครียดอย่างยิ่ง เขาไม่ทราบเลยว่าเทพจักรพรรดิอัปมงคลอยู่ที่ใด
“ฮึ่ม นำทางไป!”
“ขอบพระคุณผู้อาวุโส!”
หานทั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันหลังกลับทันที เริ่มนำทางไป
อี๋เทียนตามหลังเขาไป ถ่ายทอดเสียงถาม “หยกเทพหวนปัจฉิมคือสิ่งใดกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เจ้าสิ่งนี้ยอมตอบตกลง”
“ห้ามพูดซี้ซั้ว ให้เกียรติผู้อาวุโสด้วย ส่วนหยกเทพหวนปัจฉิม ฝ่าบาทเคยบอกข้าว่า หากได้ครอบครองหยกเทพหวนปัจฉิมก็จะได้รับดวงชะตาแห่งแดนเทพหวนปัจฉิม ถึงขั้นที่ได้ควบคุมแดนเทพหวนปัจฉิมด้วย ในอดีตกาลนานมาแล้ว หยกเทพหวนปัจฉิมเป็นยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง”
“อะไรกัน ยอดสมบัติหรือ มียอดสมบัติที่ทรงพลังปานนั้นด้วยหรือ”
“ข้าก็แค่ฟังมาเท่านั้น กลับไปเจ้าก็ลองถามฝ่าบาทเองสิ”
“จุ๊ๆ”
….
เวลาไหลผ่านไป เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามพันปีแล้ว
ในสามพันปีมานี้ แดนเซียนเกิดความเปลี่ยนแปลงมหันต์ สิ่งที่ควรค่าให้กล่าวถึงที่สุดคือเผ่ามนุษย์ผงาดขึ้นมา นิกายเหริน นิกายฉ่าน นิกายเจี๋ย สำนักพุทธ วังเทพ สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ตลอดจนถึงสำนักแยกนภา รวมถึงสำนักนิกายดวงชะตามากมายล้วนแทรกซึมเข้าสู่เผ่ามนุษย์ เผยแผ่มรรควิถี ช่วยให้เผ่ามนุษย์ผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ความสามารถในการขยายเผ่าพันธุ์ของเผ่ามนุษย์แข็งแกร่งอยู่แล้ว ยามนี้พอได้รับการเกื้อหนุนจากสำนักนิกายแห่งอริยะ ก็เรียกได้ว่าโบยบินถึงสวรรค์เลยทีเดียว
เผ่าพันธุ์ต่างๆ ในแดนเซียนล้วนกระสับกระส่าย พวกเขามิได้โง่ มองออกว่าอริยะจะสนับสนุนเผ่ามนุษย์ให้ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง
ในอดีตที่ผ่านมา พวกเขาเคยข่มเหงเผ่ามนุษย์ พวกเขาจึงกังวลว่าถ้าเผ่ามนุษย์ผงาดขึ้นมาแล้วจะเอาคืนพวกเขา
เผ่าที่เป็นสุขที่สุดย่อมเป็นเผ่ามังกร หลงเฮ่าได้หน้ายิ่งนัก ผู้อาวุโสทั้งหมดในเผ่ามังกรล้วนเคารพเลื่อมใสเขายิ่ง หากมิใช่เพราะหลงเฮ่า เผ่ามังกรคงกลายเป็นหนึ่งในศัตรูคู่แค้นของเผ่ามนุษย์
นอกจากนี้ ยังมีโลกมนุษย์หลายสิบโลกเพิ่มขึ้นมาในพรมแดนระหว่างยมโลกและโลกคนเป็น
ณ ชายขอบแดนเซียน ศิษย์ของสำนักนิกายต่างๆ ยังคงก่อสร้างเมืองฟ้าบุพกาลขึ้น ช่วยขยายดวงชะตามรรคาสวรรค์ กลั่นสร้างเป็นผืนแผ่นดิน เชื่อมต่อเข้ากับแดนเซียน กระบวนการนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง จำเป็นต้องบ่มเพาะสั่งสมกันเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ในแดนเซียน สิ่งที่มีเหลือเฟือที่สุดก็คือเวลา
เผ่าหายนะก็ไม่ได้นิ่งเฉยเช่นกัน ภายใต้การจัดแจงของมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ สิ่งมีชีวิตของเผ่าหายนะเข้าสู่วัฏจักรกลับชาติมาเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วยให้เผ่าหายนะหลอมรวมเข้ากับมรรคาสวรรค์
สิ่งมีชีวิตเผ่าหายนะที่ผ่านการกลับชาติมาเกิดจะมุ่งหน้าสู่แดนเซียนไม่ก็โลกมนุษย์ ช่วยขยายขอบเขตมรรคาสวรรค์ ท่าทีของเผ่าหายนะทำให้เหล่าอริยชนพอใจยิ่ง
อย่างน้อยเท่าที่สังเกตมา เผ่าหายนะต้องการเข้าร่วมกับมรรคาสวรรค์จริงๆ
กล่าวโดยสรุปคือ ทั้งแดนเซียนก้าวหน้ารุ่งโรจน์
ในวันนี้เอง
จู่ๆ ดวงจิตประหลาดก็มาหาหานเจวี๋ย ท่าทางดูตื่นเต้นยิ่งนัก
จากการสื่อสารผ่านกระแสจิต หานเจวี๋ยถึงได้ทราบว่ามันหวาดผวายิ่ง ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
“เจ้ากำลังจะบอกว่าดวงจิตอัปมงคลที่แข็งแกร่งที่สุดดวงหนึ่งกำลังเข้าใกล้มรรคาสวรรค์อย่างนั้นหรือ”
ในขณะที่หานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดวงจิตประหลาดที่ผสานรวมกับเขามาตั้งแต่แรกก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ถึงแม้จะไม่เท่าหานเจวี๋ย แต่พลังของมันก็เทียบเท่ากับอริยะแล้ว ย่อมสัมผัสรับรู้ได้ครอบคลุมเขตมรรคาสวรรค์
ดวงจิตประหลาดพยักหน้ารับ ตื่นตระหนกสุดขีด
หานเจวี๋ยเงยหน้ามองออกไป นอกเขตฟ้าบุพกาลเงียบสงัด ไม่มีความผิดปกติ
แต่สิ่งอัปมงคลก็เป็นสิ่งที่ยากจะมองเห็นอยู่แล้ว
หืม
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็พบว่าจอมเทพข่งเซวี่ยหายไปแล้ว ก่อนหน้านี้คนผู้นี้ยังปิดด่านรอเขาในเมืองของเผ่าหายนะอยู่เลย
หรือว่าจะเบี้ยวนัดเสียแล้ว
ไม่สิ!
หานเจวี๋ยเรียกดูกล่องจดหมายออกมาตรวจสอบทันที
[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสิ่งอัปมงคล] x90293021
[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
เห…
นี่สิ่งอัปมงคลมากันทั้งรังเลยหรือ
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ทำร้ายจอมเทพข่งเซวี่ยจนบาดเจ็บสาหัสได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นตัวตนที่เทียบเทียมอริยะมหามรรค
อย่างไรก็ตามสิ่งอัปมงคลมากมายขนาดนี้ ต้องส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ในบริเวณชายแดนมรรคาสวรรค์ เหตุใดจึงไม่มีความเคลื่อนไหวเลยล่ะ
หรือว่าสิ่งอัปมงคลพุ่งเป้ามาที่จอมเทพข่งเซวี่ยโดยเฉพาะกัน
………………………………………………………………