ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 742 สู้เพื่อมรรคาสวรรค์ แม้นตายก็ไม่เสียดาย
บทที่ 742 สู้เพื่อมรรคาสวรรค์ แม้นตายก็ไม่เสียดาย
“มีดวงจิตมหามรรคนามว่านักพรตเต๋าเสินเผาได้ป่าวประกาศว่าแนวโน้มพัฒนาการของมรรคาสวรรค์จะคุกคามโลกและเผ่าพันธุ์อื่นๆ ในฟ้าบุพกาล รวมถึงมรรควิถีของเหล่าอริยะมหามรรคด้วย จงใจว่าร้ายสร้างความเสื่อมเสียให้มรรคาสวรรค์ เรื่องนี้มิใช่สัญญาณที่ดีเลย”
จอมอริยะเสวียนตูใคร่ครวญแล้วเอ่ยว่า “ถึงแม้พวกเราจะได้รับการสนับสนุนจากแดนเทพหวนปัจฉิมแล้ว แต่แม้แดนเทพหวนปัจฉิมและมรรคาสวรรค์ผนวกรวมกัน ก็ยังเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ในฟ้าบุพกาลเท่านั้น ฟ้าบุพกาลกว้างไกลไร้ขอบเขต ดูคล้ายจะอ้างว้าง แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าในส่วนลึกมีตัวตนบรรพกาลรวมถึงเผ่าพันธุ์ต่างๆ ซ่อนเร้นอยู่มากน้อยเพียงใด
“การปรากฏตัวของมิ่ง พิสูจน์ให้พวกเราเห็นแล้วว่าฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่นัก และยิ่งเส้นทางฟ้าบุพกาลทอดยาวไปไกลแค่ไหน ก็มีทางแยกย่อยมากขึ้นเท่านั้น โลกที่พวกเราได้รู้จักก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ไม่เป็นดั่งมรรคาสวรรค์และแดนเทพหวนปัจฉิม แต่อย่างน้อยๆ ก็มีตัวตนอยู่ และมีผู้ทรงพลังประจำการ”
เหล่าอริยชนต่างขมวดคิ้ว พึ่งได้พักหายใจสามแสนปี มรรคาสวรรค์จะต้องเผชิญภัยพิบัติอีกแล้วหรือ
อย่างไรก็ตามหลังจากพวกเขาเห็นสีหน้าสงบราบเรียบของหานเจวี๋ย ความกระวนกระวายในใจก็เลือนหายไป
รวมถึงอริยะหน้าใหม่อย่างหลี่ไท่กู่ด้วย
‘สมกับเป็นอริยะสวรรค์เกรียงไกร สงบเยือกเย็น ยามเผชิญภัยไม่ลนลาน’
หลี่ไท่กู่คิดเงียบๆ
ฉิวซีไหลเอ่ยถาม “นักพรตเต๋าเสินเผาคนนี้ถือกำเนิดในมรรคาสวรรค์หรือไม่”
จอมอริยะเสวียนตูส่ายหน้าตอบไปว่า “มิใช่ ผู้ทรงพลังที่ถือกำเนิดจากมรรคาสวรรค์มีน้อยมากจริงๆ แทบทั้งหมดล้วนรวมตัวอยู่ที่แดนเทพหวนปัจฉิม ในยุคสมัยของเทพยักษาผานกู่ เทพมารดับสูญไปมากมาย แต่นอกจากเทพมารทั้ง สามพันตนแล้ว อันที่จริงยังคงมีตัวตนอื่นๆ อยู่ เพียงแต่เทียบกับเทพมารสามพันตนไม่ได้ อีกทั้งเทพมารทั้งสามพันตนก็มิได้ดับสูญไปทั้งหมด วันเวลาล่วงเลยผ่านนานไป พวกเขาก็ขยายเผ่าพันธุ์เช่นกัน”
เทพสูงสุดอู๋ฝ่ากล่าวว่า “ถูกต้อง ข้าก็เคยได้ยินชื่อนักพรตเต๋าเสินเผา นับเป็นหนึ่งในดวงจิตมหามรรคโบราณ ดวงจิตมหามรรคก็แบ่งแยกระดับชั้นเช่นกัน ดวงจิตมหามรรคหน้าใหม่ล้วนจะค่อนข้างต่ำต้อยเก็บตัว แต่ดวงจิตมหามรรคเช่นนักพรตเต๋าเสินเผาและดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังล้วนเป็นระดับโบราณ เพื่อรวมอำนาจและสถานะของตนให้มั่นคง ทุกครั้งเมื่อผ่านไปสักระยะจะก่อพายุฝนคาวโลหิตขึ้น แสดงอำนาจสั่นสะเทือนฟ้าบุพกาล ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังเพิ่งดับสูญไป ชื่อเสียงอำนาจของดวงจิตมหามรรคได้รับความเสียหาย นักพรตเต๋าเสินเผาคิดจะใช้มรรคาสวรรค์ประกาศศักดาอีกครั้ง นี่เป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง เขาต้องเข้าโจมตีมรรคาสวรรค์แน่นอน”
เหล่าอริยชนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
บรรยากาศกดดันอยู่บ้าง
หลี่ไท่กู่แค่นเสียงกล่าว “จะกลัวอันใด! พวกเราเหล่าอริยะมีกันมากมายขนาดนี้ หากดวงจิตมหามรรคมาสังหารทิ้งเสียก็พอ!”
หลังจากสำเร็จเป็นอริยะ อยู่ในมรรคาสวรรค์เขาเป็นอมตะมิวางวาย ดังนั้นจึงหลงลำพองอยู่บ้าง
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยพบเห็นดวงจิตมหามรรคมาก่อน ถึงขั้นที่ยังมิเคยประมือกับอริยะเสรีเลยด้วย
จอมอริยะเสวียนตูถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง กล่าวว่า “อย่าพูดเหลวไหล ดวงจิตมหามรรคไหนเลยจะสังหารได้ง่ายๆ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ดับสูญ…”
เอ่ยยังไม่ทันจบ จอมอริยะเสวียนตูก็ชะงักไป
จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังก็ตายด้วยน้ำมือหานเจวี๋ย
เขามองไปที่หานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “พวกเจ้าคุยต่อได้เลย อธิบายเรื่องดวงจิตมหามรรคต่ออริยะหน้าใหม่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี อริยะมรรคาสวรรค์ไม่อาจเอาแต่หมกตัวฝึกบำเพ็ญอยู่แต่ในมรรคาสวรรค์ได้ ต้องพัฒนาความรู้ด้วย”
จอมอริยะเสวียนตูถึงได้พูดต่อ อธิบายถึงความแข็งแกร่งของดวงจิตมหามรรคและอริยะมหามรรค
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ข้าสามารถสังหารนักพรตเต๋าเสินเผาในเสี้ยววินาทีได้หรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่ได้]
หานเจวี๋ยใจเต้นแรงเล็กน้อย
ไม่ได้เช่นนั้นหรือ!
‘ข้าจะสังหารเขาได้หรือไม่’
[ได้]
ครั้งนี้ไม่ถูกหักอายุขัย ถึงอย่างไรทั้งสองคำถามก็เกี่ยวข้องกับพลังของนักพรตเต๋าเสินเผาทั้งสิ้น
หานเจวี๋ยโล่งอก
แต่ถ้าไม่สามารถสังหารในเสี้ยววินาทีได้ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่
‘หากข้าสังหารนักพรตเต๋าเสินเผา จะกระตุ้นโทสะจอมเทวาฟ้าบุพกาลหรือไม่’
ถึงอย่างไรนักพรตเต๋าเสินเผาก็อ้างชื่อระเบียบฟ้าบุพกาลมาจัดการดำเนินเรื่อง
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่]
หานเจวี๋ยรู้สึกสบายใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว
น่าสนใจ
ดวงจิตมหามรรคเหล่านี้ล้วนอ้างชื่อของจอมเทวาฟ้าบุพกาล ผลคือจอมเทวาฟ้าบุพกาลไม่สนใจพวกเขาเลย
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยว่า “อันที่จริงหากสามารถฝ่าเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ มรรคาสวรรค์จะโดดเด่นรุ่งโรจน์ขึ้นมาอย่างแท้จริง ถึงอย่างไรก็กำจัดดวงจิตมหามรรคอย่างต่อเนื่องถึงสองราย ผู้ใดยังจะกล้ามาหาเรื่องเล่า ในสมัยที่มรรคาสวรรค์เกิดมหาเคราะห์ครั้งที่สี่ขึ้น อีกด้านหนึ่งของฟ้าบุพกาลก็มีโลกที่คล้ายคลึงกับมรรคาสวรรค์อยู่ แข็งแกร่งอย่างยิ่ง กระตุ้นความหวาดระแวงของดวงจิตมหามรรค ถึงแม้ในช่วงเวลานั้นดวงจิตมหามรรคจะยังไม่แข็งแกร่งเช่นในปัจจุบันนี้ แต่โลกแห่งนั้นก็ต้านทานการโจมตีของดวงจิตมหามรรคได้ถึงสองครั้ง สุดท้ายก็หยั่งรากในฟ้าบุพกาลได้อย่างมั่นคง”
ซูฉีอดถามไม่ได้ “เช่นนั้นยามนี้พวกเขาไม่แข็งแกร่งกว่ามรรคาสวรรค์แล้วหรอกหรือ”
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเบา “ไม่หรอก ถูกบรรพชนเต๋าทำลายล้างไปแล้ว”
เหล่าอริยชนเงียบงัน
หานเจวี๋ยก็ค่อนข้างตกใจเช่นกัน
บรรพชนเต๋าเผด็จการขนาดนี้เชียวหรือ
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยว่า “บรรพชนเต๋าคิดว่าสิ่งมีชีวิตของโลกนั้นชมชอบการเข่นฆ่าสังหารเกินไป หลังจากปักหลักได้มั่นคง มักจะกวาดล้างโลกฟ้าบุพกาลแห่งอื่นเสมอ เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ หลังจากทำลายโลกแห่งนั้น บรรพชนเต๋าก็ได้รับแรงกุศลมรรคาสวรรค์ ก้าวกระโดดจากขั้นผสานมรรคสำเร็จเป็นอริยะมหามรรคได้ ตำนานนี้แพร่หลายอยู่ในฟ้าบุพกาลมานานเหลือเกิน ไม่มีสิ่งมีชีวิตนำมาเล่าขานแล้ว ข้าก็ได้ทราบมาจากปากผู้อาวุโสยุคบรรพกาลท่านหนึ่งเช่นกัน”
เมื่อได้ยินเรื่องแรงกุศลมรรคาสวรรค์ เหล่าอริยชนต่างก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง
ในใจของพวกเขา บรรพชนเต๋าเป็นคนดีมีเมตตา
“สหายเต๋าหาน เจ้าคิดเห็นอย่างไร” จอมอริยะเสวียนตูมองไปทางหานเจวี๋ยแล้วเอ่ยถาม อริยะรายอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน
อริยะที่มีความหวังว่าจะต่อกรกับดวงจิตมหามรรคอย่างแท้จริงได้มีเพียงหานเจวี๋ยเท่านั้น
หานเจวี๋ยใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า “ว่ากันตามจริง ข้าไม่มีความมั่นใจเลย แต่หากมรรคาสวรรค์มีภัย ก็จำเป็นต้องต้องสู้ ต่อให้พวกเรารอดพ้นเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ อย่างไรในอนาคตก็ยังคงมีตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามารุกรานมรรคาสวรรค์เป็นแน่ พวกเราจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างแน่วแน่เพื่อปกป้องมรรคาสวรรค์ และต้องประกาศการตัดสินใจนี้ให้สรรพสิ่งทราบ
“สู้เพื่อมรรคาสวรรค์ ปกป้องมาตุภูมิ แม้นตายก็ไม่เสียดาย”
เหล่าอริยะพลอยซึมซับไปด้วย ต่างเห็นชอบคล้อยตาม
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “สู้เพื่อมรรคาสวรรค์ แม้นตายก็ไม่เสียดาย ดี! จะต้องถ่ายทอดถ้อยคำนี้ต่อแดนเซียนและปวงสวรรค์หมื่นโลกา! นี่คือคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของผู้บำเพ็ญแห่งมรรคาสวรรค์!”
เหล่าอริยะต่างมองหานเจวี๋ยด้วยความเลื่อมใสชื่นชม โดยเฉพาะหลี่ไท่กู่ มิได้ดูเย่อหยิ่งเยือกเย็นเช่นตอนที่พบกันครั้งแรกแล้ว
หานเจวี๋ยแอบรู้สึกละอายอยู่ในใจ ข้าแค่ต้องการให้พวกเจ้าทุ่มเททำงานหนักยิ่งขึ้น หากมรรคาสวรรค์ล่มสลายจริงๆ ข้าอาจจะเผ่นหนีเป็นคนแรก
ครึ่งชั่วยามต่อมา บรรดาอริยะแยกย้ายกัน พวกเขาต้องไปเตรียมตัวสำหรับต่อสู้เพื่อปกป้องมรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยกลับไปที่อารามเต๋า เขาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญต่อ แต่สอดส่องดูแดนเซียน
เขาพบว่าอู้เต้าเจี้ยน หลงเฮ่า เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและหานอวี้ล้วนไม่อยู่ในแดนเซียน
สังเกตได้ว่าฟ้าบุพกาลดึงดูดใจเหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญพอสมควร
หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนายถึงอู้เต้าเจี้ยน หลังจากสาวน้อยคนนี้ออกไปก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ต่อมาถูกถูหลิงเอ๋อร์และลี่เหยาผลักภาระให้ กลายเป็นเจ้าสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ เวลาผ่านไปนานถึงเพียงนี้ ต้องเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแน่
หืม
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็ทำนายได้ว่าอู้เต้าเจี้ยนบาดเจ็บสาหัส กำลังซ่อนตัวอยู่ในดินแดนลึกลับแห่งหนึ่ง
เมื่อสืบสาวย้อนไปตามบ่วงกรรม พบว่านางและศิษย์ในสำนักถูกตามล่ามาหลายร้อยปีแล้ว
หานเจวี๋ยจึงทำนายดูว่าคนที่ตามล่าพวกนางคือใคร
หากว่าตบะต่างกันไม่มากนัก เขาก็คร้านจะสนใจ
หานเจวี๋ยหรี่ตาลง
เป็นการชี้นำจากอริยะ…
มิใช่อริยะมรรคาสวรรค์ แต่เป็นอริยะฟ้าบุพกาล
เขาทำนายต่อ หากตัวตนที่มีตบะต่ำกว่าเขา ขอเพียงไม่มีสมบัติวิเศษ เขาไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถวิวัฒนาการของระบบก็สามารถทำนายถึงได้
เขาพบว่าอริยะฟ้าบุพกาลคนนี้ไม่เพียงแต่พุ่งเป้าไปที่สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังพุ่งเป้าไปยังสำนักดวงชะตาอื่นๆ ของมรรคาสวรรค์ด้วย ส่งลูกศิษย์ที่อยู่ใต้สังกัดกระจายตัวออกไปหลายสิบกลุ่ม ไล่ล่าสังหารศิษย์ของสำนักดวงชะตาแห่งมรรคาสวรรค์โดยเฉพาะ
………………………………………………………………