ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 78 บรรลุจิตกระบี่ ท้องนภาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
บทที่ 78 บรรลุจิตกระบี่ ท้องนภาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
เห็นซั่งกวนฉิวเจี้ยนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตนเอง ในใจของหานเจวี๋ยพลันรู้สึกทนไม่ไหวอยู่บ้าง
บางทีอีกฝ่ายอาจจะแค่อยากแลกมือจริงๆ?
เมื่อครู่ข้าเพิ่งเปิดฉากใหญ่โดยตรง จะทำลายจิตมรรคาของเขาหรือไม่
หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าวว่า “พวกเจ้ากลับไปเถอะ ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปสู่ภายนอก ข้าเองก็จะไม่เอ่ยถึงเช่นกัน”
กล่าวจบ หานเจวี๋ยก็หมุนกายเตรียมจากไป
ซั่งกวนฉิวเจี้ยนรีบร้อนลุกขึ้น กัดฟันเอ่ยถาม “สะ…ผู้อาวุโสเป็นเทพจากที่ใดกันแน่ ขออาจหาญถามฉายาเต๋าที่แท้จริงของท่าน”
“วัฏจักร”
หลังจากทิ้งคำสองคำนี้ไว้ หานเจวี๋ยก็จากไปทันที
ซั่งกวนฉิวเจี้ยนนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม ปากของเขาพึมพำคำว่าวัฏจักรซ้ำๆ
หวงจี๋เฮ่ากล่าวปลอบใจ “ตอนนั้นข้าอนาถกว่าท่านมาก ท่านยังนับว่าดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ”
ซั่งกวนฉิวเจี้ยนกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “คิดไม่ถึงว่าต้าเยี่ยนจะซ่อนผู้ทรงพลังระดับนี้ไว้ มิน่าเล่าต้าเยี่ยนที่อ่อนแอที่สุดยังคงสุขสงบมาได้โดยตลอด ไม่มีใครกล้าล่วงล้ำ”
ตอนนี้เขาเชื่อคำพูดของหวงจี๋เฮ่าแล้ว
ผู้ทรงพลังที่บรรลุมรรคกระบี่หมื่นบรรพกาลในตอนนั้นก็มาจากต้าเยี่ยน!
กระบี่ของหานเจวี๋ยน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เมื่อเขาหวนนึกกลับ เหงื่อเย็นยังซึมขึ้นกลางหลังอย่างอดไม่ได้
“วัฏจักร…ผู้ทรงพลังที่ซ่อนตัวอยู่ในโลก ที่แท้ข้าเองที่เป็นกบในกะลา”
ซั่งกวนฉิวเจี้ยนทอดถอนใจกล่าว
พวกเขาสัมผัสได้ถึงการเหาะมาถึงของพวกหลี่ชิงจื่อ เช่นนั้นจึงรีบจากไปทันที
อีกด้านหนึ่ง
อักขระบรรทัดหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ยที่กลับถึงถ้ำเทวาฟ้าประทาน
[ซั่งกวนฉิวเจี้ยนเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]
หานเจวี๋ยอดส่ายหน้าไม่ได้
เหตุใดผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้ล้วนน่าขันเช่นนี้ ปฏิบัติอย่างโหดเหี้ยมสักหน่อยก็เกิดความประทับใจแล้ว
หานเจวี๋ยจับกลิ่นอายของพวกหลี่ชิงจื่อที่ลาดตระเวนอยู่บริเวณรอบๆ ได้
อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเองบกพร่องไปหน่อย
ทุกครั้งที่สั่นสะเทือนสยบศัตรูต้องประโคมใหญ่เช่นนี้ มันขัดแย้งกับคำว่าถ่อมตนยิ่งนัก
ไม่ได้!
ข้าจะต้องเข้าใจกระบวนท่าที่มุ่งเป้าหมายไปยังศัตรู และไม่ก่อให้เกิดอานุภาพอันยิ่งใหญ่
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก
……
ราชาปีศาจเตี่ยนซู่แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว!
ตั้งแต่อาการบาดเจ็บสาหัสแปลกประหลาดในครั้งนั้นเริ่มขึ้น ทุกๆ สามปีเขาจะต้องพบเจอกับฝันร้ายเช่นนั้นหนึ่งครั้ง
เขาไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้วปัญหามันเกิดขึ้นจากตรงไหน
หากเป็นท่านเซียนจริงๆ เหตุใดถึงไม่ฆ่าเขาให้ตายทันที
ยามนี้ราชาปีศาจเตี่ยนซู่ไม่มีความทะเยอทะยานแล้ว ในสมองคิดเพียงจะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้
วันนี้ หยางเทียนตงบุตรบุญธรรมของเขามาเยี่ยมเยียน
หยางเทียนตงมาสืบข่าวคราวว่าราชาปีศาจเตี่ยนซู่จะบุกโจมตีเผ่ามนุษย์เมื่อใด
เขายังไม่ทันได้ถาม ราชาปีศาจก็เริ่มเล่าความทุกข์ตรมของตนเอง
ราชาปีศาจเตี่ยนซู่ทนไม่ไหวเข้าจริงๆ แล้ว หยางเทียนตงเป็นบุตรบุญธรรมของเขา เขารู้สึกว่าสามารถไว้ใจได้
หลังจากได้ฟังสถานการณ์ในช่วงนี้ของราชาปีศาจเตี่ยนซู่ หยางเทียนตงก็นิ่งเงียบ สีหน้าเคร่งขรึม
ในใจเขารู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น!
โอกาสในการครองบัลลังก์ของเขาใกล้มาถึงแล้วหรือ
“บิดาบุญธรรม เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับแผนที่ท่านพุ่งเป้าไปยังเผ่ามนุษย์” หยางเทียนตงเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง
ราชาปีศาจเตี่ยนซู่นั่งราวกับเป็นอัมพาตอยู่บนเตียงน้ำแข็ง เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้คิดเกี่ยวกับแผนการนี้มานานแล้ว หรือจะต้องให้ข้ากล่าวสาบานต่อสวรรค์?”
เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา ราชาปีศาจเตี่ยนซู่ก็ได้สติในทันที
ใช่!
สาบานต่อสวรรค์ เช่นนี้เซียนท่านนั้นถึงจะมองเห็น!
ราชาปีศาจเตี่ยนซู่พลันลุกยืนขึ้น ยกฝ่ามือขวาขึ้นทันที “ข้าเตี่ยนซู่ขอสาบานต่อสวรรค์ จะไม่พุ่งเป้าไปยังเผ่ามนุษย์ในต้าเยี่ยนอย่างเด็ดขาด เทพเซียนโปรดอภัยให้กับความโง่เขลาของปีศาจน้อย!”
หลังกล่าวคำพูดเหล่านี้จบ ราชาปีศาจเตี่ยนซู่ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
บางทีอาจเป็นแค่การปลอบโยนทางจิตใจ แต่ราชาปีศาจเตี่ยนซู่รู้สึกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
หยางเทียนตงแสดงสีหน้ายินดี แต่แอบเหยียดหยามอยู่ในใจ
แค่นี้ก็คิดจะเป็นราชาแห่งต้าเยี่ยนหรือ
เจ้าสมควรหรืออย่างไร
……
ครึ่งปีหลังจากนั้น
ซั่งกวนฉิวเจี้ยนกับหวงจี๋เฮ่ากลับถึงลัทธิสัจจะยุทธ์
หลังจากถูกหานเจวี๋ยโจมตีจนพ่ายแพ้ในกระบี่เดียว มรรคจิตของซั่งกวนฉิวเจี้ยนก็เกือบถูกทำลายลง เพื่อที่จะทำให้มรรคจิตแข็งแกร่ง ระหว่างที่เดินทางกลับลัทธิ เขาท้าสู้กับสำนักบำเพ็ญเพียรต่างๆ อยู่ไม่หยุดหย่อน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา
หลังจากแยกกับหวงจี๋เฮ่าแล้ว ซั่งกวนฉิวเจี้ยนก็กลับมาถึงหน้าหอของตนเอง เขากำลังจะผลักประตูเข้าไป
ในตอนนั้นเอง ท้องนภาเกิดการแปรปรวนอย่างรุนแรง บังเกิดแสงสีม่วงออกมาเป็นแถบ
กระบี่ที่เอวของซั่งกวนฉิวเจี้ยนเริ่มส่งเสียงสั่นสะท้านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ได้หลุดออกจากฝักเอง
ไม่ใช่แค่เพียงเขา ผู้ฝึกสายกระบี่ทั่วทั้งลัทธิสัจจะยุทธ์ล้วนเป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างจ้องมองกระบี่ของตนด้วยสีหน้าตกตะลึง
อีกแล้ว!
ครั้งก่อนมีคนบรรลุมรรคกระบี่หมื่นบรรพกาล ครั้งนี้เล่า
แวบแรกซั่งกวนฉิวเจี้ยนนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมาทันที
หรือผู้อาวุโสเข้าใจมรรคกระบี่อีกแล้ว
ซั่งกวนฉิวเจี้ยนเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
เทียบกับผู้อาวุโสวัฏจักรแล้ว เขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาจริงๆ
ไม่ใช่แค่ลัทธิสัจจะยุทธ์ กระบี่ทุกสำนักในใต้หล้าล้วนส่งเสียงสั่นสะท้าน
อีกด้านหนึ่ง
บนปลายยอดเขาที่สูงเสียดเมฆลูกหนึ่ง บุรุษชุดดำนั่งขัดสมาธิหันหน้าไปทางตะวันออกเพื่อทำการฝึกฝน รอบด้านล้วนเป็นทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตา
เขาลืมตาขึ้นมาโดยพลัน เห็นเพียงกระบี่สี่เล่มที่อยู่ทางซ้ายและขวาล้วนส่งเสียงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
บุรุษชุดดำขมวดคิ้ว กล่าวพึมพำ “มีคนบรรลุจิตกระบี่…อย่างน้อยก็เป็นจิตกระบี่หมื่นบรรพกาล…”
เขาหยิบยันต์กระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง วางไว้บนพื้นตรงหน้า มือทั้งสองเริ่มร่ายวิชา กระบี่ทั้งสี่ทยอยกันตกลงบนยันต์กระดาษ เมื่อสัมผัสโดนยันต์แล้วยกตัวขึ้น
สิบอึดใจต่อมา
บนยันต์กระดาษค่อยๆ ปรากฏให้เห็นลายมือ สุดท้ายก็ก่อตัวเป็นอักขระขนาดใหญ่ที่ดูทรงพลังสองตัว
วัฏจักร!
บุรุษชุดดำมีสีหน้าเคร่งครึม เอ่ยพึมพำเบาๆ “หมายความว่าอย่างไร วัฏจักรหมายถึงกฎแห่งฟ้าดิน…หรือหมายถึงผู้บำเพ็ญบางท่าน?”
……
สำนักหยกพิสุทธิ์
กระบี่ของระดับผู้อาวุโสจนถึงระดับศิษย์สายนอกต่างก็ส่งเสียงสั่นสะท้าน
เรื่องนี้ทำให้ผู้คนทั้งหลายรู้สึกหวั่นวิตก พากันมารวมตัววิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้
“นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ไม่แน่ใจนัก กระทั่งท้องฟ้ายังเปลี่ยนสีเลย”
“หรือมีผู้ทรงพลังปรากฏตัวบนโลก?”
“ข้าว่าเป็นเทพเซียนมาจุติยังโลกมนุษย์!”
“ว่ากันว่าเมื่อสิบปีก่อนก็เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้”
“สำนักหยกพิสุทธิ์จะเผชิญกับเคราะห์ใหญ่หรือ”
……
ขณะที่เหล่าลูกศิษย์กำลังกังวลอยู่นั้น บรรดาผู้อาวุโสก็ได้รับข่าวว่า ท้องฟ้าทั่วทั้งต้าเยี่ยนล้วนเป็นเช่นนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
เพียงแค่ไม่พุ่งเป้ามาที่สำนักหยกพิสุทธิ์ก็พอแล้ว
ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของหลี่ชิงจื่อคืออยากไปหาหานเจวี๋ย แต่พอขบคิดดูอีกที ยังไม่ทันรู้เรื่องราวอย่างชัดแจ้งก็ปรี่ไปรบกวนหานเจวี๋ยเช่นนี้ก็ไม่ดีนัก
หลี่ชิงจื่อแหงนหน้ามองท้องนภาสีม่วงแล้วเอ่ยพึมพำ “โชคร้ายเสียจริง! เหตุใดพอมาถึงยุคข้า สำนักหยกพิสุทธิ์ถึงเผชิญกับภัยพิบัติมากมายเช่นนี้”
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่
เขาได้แต่อธิษฐานให้ครั้งนี้ไม่ใช่มหันตภัย
ขณะเดียวกัน
ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
หานเจวี๋ยที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงถูกพายุอันทรงพลังโอบล้อมรอบกาย นี่ก็คือพายุที่ก่อตัวขึ้นจากปราณกระบี่
หว่างคิ้วของเขาปรากฏภาพลายกระบี่เล็กๆ เล่มหนึ่งออกมาอย่างเลือนราง
หานเจวี๋ยกำลังทำความเข้าใจจิตกระบี่ จิตกระบี่ในรูปแบบของเขาโดยเฉพาะ
ท่ามกลางความมืดมิด เขารับรู้ได้ถึงสายธารมรรคกระบี่สายหนึ่งที่ไหลทะลักโดยไม่หยุดพัก บริเวณรอบๆ ล้วนเป็นเงากระบี่ที่พุ่งไปทางทิศเดียวกันอย่างรวดเร็ว ลำแสงเจ็ดสีหมุนวนและก่อตัวเป็นช่องว่างแปลกประหลาดประดุจดังอุโมงค์แห่งกาลเวลา
ร่างของหานเจวี๋ยเดินไปด้านหน้าโดยที่ไม่อาจควบคุม เขาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนท่ามกลางเงากระบี่
ด้านหน้าปรากฏเงาร่างมนุษย์ทีละสาย มันเกิดจากแสงกระบี่ที่พร่ามัวไม่ชัดเจน คนเหล่านี้เดินเนิบช้ายิ่งนัก ถูกหานเจวี๋ยเดินแซงหน้าคนแล้วคนเล่า
หานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะที่มืดมิดและมืดมิดมากขึ้นเรื่อยๆ
เขากำลังเกาะตัวจิตกระบี่ของตนเองอยู่
จิตกระบี่ของเขาก้าวรุดไปด้านหน้าอย่างอาจหาญ ทอดตัวยาวเหยียดติดต่อกัน ปรารถนาจะม้วนเวไนยสัตว์เข้าไปในนั้น ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น ก็เหมือนกับวิชาวัฏจักรหกวิถี!
เขาจะสร้างจิตกระบี่เช่นนี้!
มุมานะฝึกฝนมาโดยตลอดเพื่อสิ่งใด
เพื่ออยู่เป็นอมตะนิรันดร์!
เพื่อเป็นเทพธรรมบาลที่ไร้ศัตรู!
เพื่อสามารถสังหารเทพธรรมบาลและเวไนยสัตว์ทั้งมวลได้ภายในกระบี่เดียว นอกจากข้าแล้วจะยังมีผู้ใดอีก!
ที่เขาต้องการไม่ใช่ความเหี้ยมโหดเช่นนี้ แต่มีพลังที่สามารถทำเช่นนี้ได้ การไม่มีศัตรูที่แท้จริงถึงจะอยู่เป็นอมตะนิจนิรันดร์!
……………………………………….