ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 788 หนึ่งล้านล้านปี!
บทที่ 788 หนึ่งล้านล้านปี!
[เหล่าตานเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]
ขณะที่หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอยู่แจ้งเตือนแถวหนึ่งพลันเด้งขึ้นมาตรงหน้า เขาไม่ได้สนใจ ฝึกบำเพ็ญต่อไป
หากเหล่าจื่อที่เป็นร่างจริงเกิดความประทับใจในตัวเขา เขาอาจจะนึกสงสัยอยู่บ้าง
เวลาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
ผ่านไปปีแล้วปีเล่า
หานเจวี๋ยปิดด่านรวดเดียวหนึ่งแสนสองหมื่นปี ในที่สุดโอกาสทะลวงขั้นก็มาถึง!
เขาลืมตาขึ้น ปรับสภาพอารมณ์
ในที่สุดก็จะได้ทะลวงขั้นแล้ว
ถ้ายังไม่ได้ทะลวงขั้นอีก หานเจวี๋ยคงนึกว่าตนกลายเป็นคนธรรมดาไปแล้ว
แต่ว่าก่อนจะทะลวงขั้น ควรใช้อายุขัยสักหน่อยดีหรือไม่
ถึงอย่างไรก็จะได้เพิ่มขึ้นทบทวีอยู่ดี!
ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยใช้อายุขัยครึ่งหนึ่งไปกับหนังสือยอดชะตา แต่ยังคงมีอายุชัยเหลืออยู่มากกว่าพันหมื่นล้านล้านล้านปี
จะใช้กับใครดี
หากเลือกจากระดับความเกลียดชัง ย่อมเป็นเจ้าชะตาอันธการ
แต่หานเจวี๋ยอยากเก็บเจ้าชะตาอันธการไว้รับเคราะห์จากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในฟ้าบุพกาล ช่วยถ่วงเวลาให้มรรคาสวรรค์และตัวเขา
ช่างเถอะ สาปแช่งสักหน่อยแล้วกัน
เลี่ยงไม่ให้เอาแต่แอบมาฉกตัวคนของมรรคาสวรรค์ไป
หานเจวี๋ยนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งเจ้าชะตาอันธการ
ห้าวันต่อมา อายุขัยของเขาเริ่มลดฮวบลง
ระหว่างที่สาปแช่งนั้นเขาก็ลังเลไปด้วย ครั้งนี้จะใช้อายุขัยเท่าไรดี
ใช้อายุขัยกับอีกฝ่ายหนึ่งล้านล้านล้านปีเลยดีหรือไม่!
ก็แค่จุดทศนิยมเท่านั้น!
จะสาปแช่งจนตายไปตรงๆ ได้หรือไม่
ลองดูแล้วกัน
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ แสงมืดดำของหนังสือแห่งความโชคร้ายส่องวาบขึ้นภายในอารามเต๋า ดูมืดมนน่าหวาดผวาอย่างยิ่ง
….
ภายในตำหนักมืดสลัวหลังหนึ่ง เจ้าชะตาอันธการกำลังโคจรพลังต่อต้านพลังคำสาปแช่งอยู่
เขายังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของเงาดำ ยากจะสอดส่องร่างจริงได้
“เฮอะ มาอีกแล้ว ข้าจะดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะสามารถทำร้ายข้าได้หรือไม่!”
เจ้าชะตาอันธการแค่นเสียงหยาม เขาเริ่มสำแดงพลังวิเศษแห่งกรรมที่เรียนรู้มาก่อนหน้านี้ ใช้ต้านรับพลังคำสาปแช่งโดยเฉพาะ
สองมือของเขาขยับเคลื่อนไหว ร่างโยงกฎระเบียบลึกล้ำบางอย่างขึ้นอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ ปรากฏลายเส้นขึ้นมากมาย ทำให้เขาวิงเวียนตาลายได้
ในเวลานี้เอง!
เขาหน้าถอดสีในทันใด!
จู่ๆ พลังคำสาปแช่งก็แรงกล้าขึ้น!
แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มากนัก และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
เจ้าชะตาอันธการตื่นตระหนกเมื่อพบว่าพลังวิเศษของตนต้านไม่อยู่แล้ว
“สมควรตาย ไอ้สุนัขตัวนั้นหลอกลวงข้า พลังวิเศษนี้ต้านทานอย่างสมบูรณ์ไม่ได้…”
เจ้าชะตาอันธการตระหนกแล้ว
เขาได้สรุปข้ออนุมานไว้ว่า หากการสาปแช่งดำเนินอยู่เกินห้าวัน นั่นแปลว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการต้องการจะสังหารเขา
หรือว่าเป็นเพราะช่วงนี้เขาสร้างข่าวลือเสียหายให้เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
เจ้าชะตาอันธการกระสับกระส่ายร้อนรน
มีชีวิตอยู่มาจนนับยุคสมัยไม่ได้ เขาเพิ่งเคยพบศัตรูที่น่ากลัวขนาดนี้เป็นครั้งแรก
เขาถึงขั้นที่ทราบด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เจ้าชะตาอันธการได้แต่พยายามใช้พลังเข้าต่อต้าน ขณะเดียวกันก็สวดอธิษฐานอยู่ในใจ
….
ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยจ้องมองอายุขัย รักษาสภาวะทุ่มพลังเต็มที่ไว้
เขาเสียอายุขัยไปหนึ่งแสนล้านปีแล้ว!
อายุขัยสองแสนล้านปี!
อายุขัยห้าแสนล้านปี!
[เจ้าชะตาอันธการศัตรูคู่อาฆาตของท่านมรรคจิตปรากฏรอยปริร้าว เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน]
ดำเนินการต่อ!
เจ็ดแสนล้านปี!
เก้าแสนล้านปี!
หนึ่งล้านล้านปี!
[เจ้าชะตาอันธการศัตรูคู่อาฆาตของท่านมรรคจิตได้รับความเสียหาย ตบะเสียหาย วิญญาณระส่ำระสาย เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน]
พอแล้ว
เล่นกับคนผู้นี้ต่อไม่ได้แล้ว
หานเจวี๋ยเก็บหนังสือแห่งความโชคร้าย
เขาลังเลอยู่ว่าจะเข้าฝันเจ้าชะตาอันธการดีหรือไม่
อยากจะดูท่าทีของอีกฝ่ายสักหน่อย
หานเจวี๋ยสำแดงความฝันอันธการทันที ไปพบเจ้าชะตาอันธการด้วยรูปลักษณ์ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
แดนความฝันคือห้วงอวกาศเวิ้งว้าง ที่นี่มีเพียงพวกเขาสองคน
เจ้าชะตาอันธการลืมตาขึ้น ทั้งสองต่างอยู่ในรูปลักษณ์ของเงาดำ เพียงแต่รอบกายของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการมีเพลิงทมิฬพัวพัน
“เป็นเจ้าจริงๆ…”
เจ้าชะตาอันธการเปิดปากเอ่ย น้ำเสียงซับซ้อน
ก่อนที่จอมเทพซิ่นอวี่จะสิ้นใจได้ส่งภาพของศัตรูซึ่งก็คือรูปลักษณ์เจ้าแดนต้องห้ามอันธการมาให้เขา
หานเจวี๋ยจ้องมองเขาอย่างเย็นชา ไม่เอ่ยวาจา
ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในความเงียบ
เจ้าชะตาอันธการย่อมรู้สึกเกลียดชังเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ทั้งยังโกรธยิ่งนัก แต่สติบอกเขาว่าไม่ควรก่อเรื่องวุ่นวาย
เมื่อเผชิญหน้ากับคำสาปแช่งของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เขาไม่มีหนทางต้านทานเลย
ผ่านไปพักใหญ่
เจ้าชะตาอันธการเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สหายเต๋าจะเอาอย่างไรกันแน่”
หานเจวี๋ยย้อนถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าชะตาอันธการ แล้วเจ้าคิดอย่างไรเล่า”
เจ้าชะตาอันธการตกตะลึงยิ่ง
เขาปกปิดตัวตนมาโดยตลอด แล้วอีกฝ่ายทราบฉายาธรรมของเขาได้อย่างไร
หรือว่าจะเป็นตัวตนยุคบรรพกาลเช่นกัน
เจ้าชะตาอันธการตระหนกแล้ว มีเงาร่างของคนมากมายผุดขึ้นในหัว ล้วนเป็นตัวตนที่เก่าแก่กว่ามรรคาสวรรค์ทั้งสิ้น
ทันใดนั้นหานเจวี๋ยก็สลายแดนความฝันทันที
เขาลืมตาขึ้น ยิ้มชอบใจอย่างที่เห็นได้ยาก
เมื่อครู่เขารับรู้ได้ถึงจิตใจที่ปั่นป่วนของเจ้าชะตาอันธการ
พอแล้ว
พูดมากไปจะผิดพลาดได้ง่าย แค่นิดหน่อยก็พอ
จากนี้ก็รอดูกันว่าเจ้าชะตาอันธการจะทำอย่างไร
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาอีกครั้ง
ศัตรูของเขายังคงมีน้อยเกินไป
คิดจะหาที่ระบายสักคนล้วนยากเย็นนัก
หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง จากนั้นก็ทำได้เพียงเริ่มเตรียมทะลวงขั้น
….
ณ เขาเทพปู้โจว บนยอดเขา
หานอวี้และสตรีชุดเขียวยืนอยู่ริมหน้าผา ทอดมองลงไปด้านล่างหุบเขา มวลเมฆาเรียงซ้อนชั้น บดบังทิวทัศน์ด้านล่าง
สตรีชุดเขียวถามด้วยความสงสัย “ผู้อาวุโส ท่านกำลังคิดอะไรอยู่เจ้าคะ”
หานอวี้เอ่ยเสียงเบา “เวลาผ่านมาเนิ่นนานป่านนี้แล้ว ความแค้นในใจเจ้ายังคงอยู่หรือไม่”
สตรีชุดเขียวขมวดคิ้ว กล่าวตอบว่า “ว่าไปแล้วก็น่าอาย บรรเทาลงมากจริงๆ”
นางอยู่ข้างกายหานอวี้มาหลายแสนปี เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าไม่ได้ประสบพบเจอเรื่องราวมากมายนัก แต่นางกลับปล่อยวางได้มากขึ้น หลายเรื่องที่เคยคิดไม่ตกก็คิดได้กระจ่างแล้ว หลายเรื่องที่เคยใส่ใจ กลายเป็นไม่สำคัญแล้ว
นางไม่ทราบเลยว่าความเปลี่ยนแปลงของตนถูกต้องหรือไม่
สรุปแล้วนางมองโลกโลกีย์แตกฉาน หรือว่าหวาดกลัวโลกโลกีย์ ที่ละทิ้งความยึดติดทุกอย่างเพียงเพราะต้องการปกป้องตัวเองใช่หรือไม่
“เจ้าอยู่บนเขาลูกนี้มานานขนาดนี้ ปลีกวิเวกจากโลกภายนอก ตอนนี้เจ้ามองว่าโลกมนุษย์เป็นอย่างไร” หานอวี้ถาม แววตาเขาหม่นหมอง ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
สตรีชุดเขียวเอ่ยว่า “บนสวรรค์หนึ่งวัน บนพื้นโลกหนึ่งปี คำกล่าวนี้จริงแท้แน่นอน หากมองจากชาติเดียว ชีวิตผ่านพ้นความทุกข์ยากลำบากมากมายจริงๆ แต่หากมองจากร้อยชาติหมื่นชาติแล้ว สุดท้ายก็ต้องตาย แล้วความทุกข์ยากในชาติเดียวจะนับเป็นอันใดเล่า มนุษย์ธรรมดาเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ เดิมทีก็เป็นความทุกข์อันใหญ่หลวงอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ทุกข์ยิ่งกว่าประสบการณ์ใดๆ ที่เคยพานพบบนโลกมา
“ผู้อาวุโส ท่านว่าสุดท้ายแล้วมนุษย์มีตัวตนอยู่เพื่อสิ่งใดกันแน่ แล้วมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีรากวิญญาณเหล่านั้นมีตัวตนอยู่เพื่อสิ่งใด โลกใบนี้เป็นคุกแห่งหนึ่งใช่หรือไม่ เมื่อผู้บำเพ็ญทำความผิด ก็ส่งมารับความทุกข์ทรมานในสังสารวัฏกระมัง”
หานอวี้เหลือบมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “อันที่จริงข้าก็ไม่กระจ่างเช่นกัน แต่ข้ารู้อยู่อย่างหนึ่ง ชะตากรรมมีอยู่จริง ชะตากรรมจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับดวงชะตาที่ลิขิตให้ถือกำเนิด”
สาเหตุที่เขาหม่นหมอง เพราะมองเห็นฉินหลิงได้รับความลำบาก
เวลาผ่านมากว่าแสนปี ฉินหลิงแกร่งกล้าขึ้นมาแล้ว แต่บุญคุณความแค้นที่เขาแบกรับไว้กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผูกมัดให้จมลึกลงไปเรื่อยๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตในชาตินี้ของฉินหลิงลำบากยากเข็ญเหลือเกิน ทำให้หานอวี้ทนมองต่อไปไม่ได้
แต่หานอวี้ทราบดีว่านี่เป็นเพียงเคราะห์กรรมฉากหนึ่ง หลังผ่านเคราะห์กรรมไปแล้ว ฉินหลิงจะหลุดพ้น ได้รับเส้นทางอนาคตที่ยิ่งใหญ่
ความขัดแย้งในช่วงก่อนและหลัง สร้างความสับสนให้แก่หานอวี้
สรรพสิ่งเป็นเพียงตัวหมากของอริยะหรือ
เช่นนั้นอริยะเป็นตัวหมากของผู้ใดเล่า
เป็นผู้ใดที่คอยบงการทุกสิ่งอยู่ในความมืด เฝ้ามองความเป็นไปของสรรพสิ่ง เขากำลังยิ้มหรือกำลังร้องไห้อยู่
หรือว่าเขาไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย
สตรีชุดเขียวเอ่ยถาม “มหามรรคมีเพียงสามพันวิถี มิใช่ยังมีความหวังอันน้อยนิดอยู่หรือ นอกจากเกิดใหม่เป็นมนุษย์เพื่อรับความทุกข์ทรมานแล้ว โลกนี้ก็ยังมีมนุษย์ธรรมดาที่ฝืนกฎสวรรค์ สำเร็จเป็นเทพเป็นอริยะได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
………………………………………………………………