ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 809 สร้างอิทธิพล การตัดสินใจของเทพมารปฐมภพ
บทที่ 809 สร้างอิทธิพล การตัดสินใจของเทพมารปฐมภพ
ผานซินและฉิวซีไหลล้วนออกปากมาแล้ว อริยะที่เหลือย่อมไม่กล้าเงียบอีก พากันปฏิญาณออกมา ว่าจะปกป้องมรรคาสวรรค์ สู้กับผานกู่ผู้นั้น!
หานเจวี๋ยกลับมิได้รู้สึกซาบซึ้งแต่อย่างใด ในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะออกมาปกป้องผานกู่
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ศึกนี้จะต้องเป็นไปอย่างเปิดเผยชอบธรรม ก่อนที่ผานกู่จะมา พวกเราต้องประกาศเรื่องนี้ออกไป มิใช่เพื่อป้ายสีผานกู่ เพียงประกาศให้ชัดเจนตามเหตุผล ผานกู่หมายล้างสังหารเทพมารฟ้าบุพกาล เพียงเพื่อจะเพิ่มพลัง หากมรรคาสวรรค์ไร้ซึ่งอริยะสวรรค์เกรียงไกร จะต้องกลับไปเป็นเช่นในอดีต มรรคาสวรรค์ติดค้างหนี้บุญคุณบุกเบิกโลกาของผานกู่ แต่ก็ติดค้างหนี้บุญคุณอริยะสวรรค์เกรียงไกรที่คอยช่วยกอบกู้และฟื้นฟูหลายต่อหลายครั้ง
“พวกเราต้องแสดงออกให้ชัดเจน ดีกว่าปล่อยให้ถูกศัตรูใช้ประโยชน์ ปัจจุบันนี้มรรคาสวรรค์ออกท่องไปทั่วฟ้าบุพกาล จิตใจของสรรพสิ่งควบคุมบงการได้ยากยิ่งนัก ทำได้เพียงกระตุ้นอารมณ์ คุยกันด้วยเหตุผล”
เหล่าอริยชนพยักหน้ารับ รู้สึกว่าพูดมีเหตุผล
พวกเขาล้วนเคยเป็นผู้บำเพ็ญมาก่อน เรื่องราวบางอย่าง ยิ่งกดไว้ ยิ่งปกปิดเท่าไร กลับจะก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้าน
จอมอริยะเสวียนตูมองไปที่หานเจวี๋ย เอ่ยถามว่า “มีความมั่นใจหรือไม่”
หานเจวี๋ยตอบว่า “อีกฝ่ายคือผานกู่ จะมีความมั่นใจได้อย่างไร ได้แต่ทุ่มสุดตัวเท่านั้น”
เหล่าอริยะรุ่นเก่าต่างยิ้มออกมา เหล่าอริยะหน้าใหม่สีหน้าตึงเครียด
มีเพียงคนที่คุ้นเคยกับหานเจวี๋ยดีถึงจะเข้าใจนิสัยของเขา
ถ้าสู้ไม่ได้จริงๆ คงเผ่นหนีแต่แรกแล้ว
หานเจวี๋ยยังสุขุมได้เช่นนี้ มิใช่แค่มีความมั่นใจไม่กี่ส่วน แต่มีความมั่นใจเต็มที่อย่างแน่นอน
ทุ่มสุดตัวเท่านั้นเป็นความผยองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหานเจวี๋ยแล้ว!
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ตอนนี้ผานกู่สังหารเทพมารฟ้าบุพกาลไปสามตนแล้ว กำลังมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตปฐมภพ เปิดศึกกับเผ่าเทพมารที่ก่อตั้งขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว รอจนผานกู่มาถึงมรรคาสวรรค์ เกรงว่าคงใช้เวลาอีกนานยิ่ง”
เหล่าอริยะพยักหน้ารับ
จากนั้น จอมอริยะเสวียนตูเริ่มหารือถึงปัญหาการพัฒนามรรคาสวรรค์ หานเจวี๋ยฟังแล้วเบื่อหน่ายจึงเรียกกล่องจดหมายออกมา อ่านฆ่าเวลา
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยถึงโลกอริยะไตรวิสุทธิ์
“นับตั้งแต่โลกอริยะไตรวิสุทธิ์ก่อตั้งขึ้น ได้ประกาศรับผู้บำเพ็ญสำนักเต๋า นับว่าเป็นการรวมเครือข่ายของบรรพชนเต๋าขึ้นใหม่อีกครั้ง เสริมอิทธิพลให้สำนักเต๋าได้มากนัก ผานกู่กวาดล้างฟ้าบุพกาล เกรงว่าผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคงเป็นสำนักเต๋า
“โลกไตรวิสุทธิ์ไม่นับว่าห่างไกลจากมรรคาสวรรค์นัก หรือก็คือใกล้กับที่ตั้งดั้งเดิมของแดนเทพหวนปัจฉิม ซึ่งอยู่ในขอบเขตการดูแลของนักพรตเต๋าเสินเผา
“ถึงแม้นักพรตเต๋าเสินเผาจะเป็นดวงจิตมหามรรค แต่มิใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าจื่อ สักวันหนึ่ง นักพรตเต๋าเสินเผาคงสะกดโลกอริยะไตรวิสุทธิ์ไว้ไม่อยู่ ไม่ช้าก็เร็วโลกอริยะไตรวิสุทธิ์จะแก่งแย่งชิงดีกับมรรคาสวรรค์ พวกเราต้องเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ”
เหล่าอริยชนตกอยู่ในห้วงความคิด
โลกอริยะไตรวิสุทธิ์มียอดฝีมือมากมายดั่งเมฆา มิใช่สิ่งที่มรรคาสวรรค์จะเทียบได้
ผู้แข็งแกร่งที่สุดในมรรคาสวรรค์คือหานเจวี๋ย ผนวกรวมกับมหาอริยะสวีหุน ก็มีอริยะมหามรรคเพียงสองคนเท่านั้น
เหล่าจื่อ เทพสูงสุดหยวนสื่อและเจ้านิกายทงเทียนรวมถึงศิษย์สืบทอดของแต่ละคน ต่างเป็นอริยะมหามรรคทั้งสิ้น
เหล่าอริยะไม่ทราบว่าเหล่าจื่อมิใช่อริยะมหามรรค แต่เป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่าอริยะมหามรรคไปแล้ว
ฟางเหลียงเอ่ยขึ้นว่า “ฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่ไพศาล แม้ว่ามรรคาสวรรค์และโลกอริยะไตรวิสุทธิ์จะพัฒนาไปเร็วยิ่ง ก็ต้องใช้เวลานับร้อยล้านปีถึงจะมาชนกันได้ ถึงจะเกิดการแก่งแย่งชิงดีขึ้น ระยะเวลาร้อยล้านปีเพียงพอให้มรรคาสวรรค์มีผู้ทรงพลังถือกำเนิดขึ้นมากมายยิ่ง ต่อให้โลกอริยะไตรวิสุทธิ์แข็งแกร่งแค่ไหนก็มิใช่มรรคาสวรรค์ที่แปรผันอุบัติขึ้นจากพลังมรรคทั้งหมดที่ผานกู่อุทิศให้ในช่วงรุ่งเรืองที่สุด เป็นสุดยอดของฟ้าบุพกาล”
เหตุใดดวงชะตาของฟ้าบุพกาลถึงแข็งแกร่งขนาดนี้น่ะหรือ มักจะมีผู้ทรงพลังถือกำเนิดขึ้นเสมอ ก็เป็นเพราะในยุคที่ผานกู่บุกเบิกมรรคาสวรรค์ขึ้นเขาเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในฟ้าบุพกาลแล้ว
ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในฟ้าบุพกาลอุทิศตนบุกเบิกมรรคาสวรรค์ขึ้น นั่นย่อมเป็นดินแดนที่แข็งแกร่งที่สุดในฟ้าบุพกาล และเป็นโลกที่มีอายุขัยยืนยาวที่สุด เพียงแต่เมื่อผ่านไปนานเข้าก็ถูกบรรพชนเต๋าเข้ายึดครองควบคุม
เหล่าอริยะยิ้มออกมา ต่างมีความมั่นใจยิ่งนัก
“นับจากวันนี้ไป อริยะทุกคนต้องเปิดอาณาเขตเต๋าให้บ่อยขึ้น เทศนาธรรมแก่สรรพสิ่ง หลังสิ้นสุดมหาเคราะห์ ต้องพยายามเพิ่มจำนวนอริยะให้ได้ถึงร้อยตำแหน่ง!”
จอมอริยะเสวียนตูประกาศแผนการมรรคาสวรรค์ออกมาอย่างหนักแน่นเด็ดขาด จิตใจเหล่าอริยะฮึกเหิมพลุ่งพล่าน
ยิ่งมีอริยะมากเท่าไร อริยะรุ่นเก่าก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือนาวาลำหนึ่ง ยามที่ทุกคนมุ่งไปด้านหน้า คนที่นำหน้าอยู่ย่อมจะได้ประโยชน์ยิ่งขึ้น
ยิ่งมีอริยะหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมากเท่าไร ก็จะมีอริยะเสรีเพิ่มขึ้นเท่านั้น ยิ่งมีอริยะเสรีเพิ่มขึ้นเท่าไร อริยะมหามรรคก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน!
จอมอริยะเสวียนตูจัดแจงมอบหมายเรื่องบางอย่างต่อ จากนั้นเหล่าอริยะก็แยกย้ายกันไป
หานเจวี๋ยก็ลุกขึ้นจากไปเช่นกัน
เดินไปได้สองก้าว เขาก็เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหล่าอริยะหน้าใหม่เลื่อมใสอยู่ในใจ เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างผานกู่ หานเจวี๋ยไม่แต่จะขมวดคิ้ว นี่สินะอริยะสวรรค์เกรียงไกร
สรุปแล้วในสายตาของเขา ผานกู่เป็นตัวตนแบบใดกัน
….
ภายในอาณาเขตปฐมภพ เทพมารฟ้าบุพกาลหลายสิบตนยังคงนั่งสมาธิอยู่ในห้องโถง ร่างแยกของหานเจวี๋ยก็ยังอยู่
ทุกๆ พันปี เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลจะเริ่มพูดคุยหารือกัน
ผานกู่กำลังไล่ล่าสังหารเทพมารอิสระที่ไม่เข้าร่วมเผ่าเทพมารเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง ล้วนตายกันไปหมดแล้ว
ทุกครั้งที่มีเทพมารหนึ่งตนดับสูญลง ดวงชะตาสายหนึ่งจะลอยเข้าสู่ร่างของผานกู่ ทำให้ตบะของผานกู่เพิ่มขึ้นมหาศาลในฉับพลัน!
สงครามเทพมารในครั้งแรกเริ่มบุกเบิกฟ้าดินหวนกลับมาอีกครั้ง!
ร่างแยกของหานเจวี๋ยก็อยู่ที่นี่ด้วย เมื่อได้ยินคำรำพันทอดถอนใจของเหล่าเทพมาร เขาก็ลอบเหยียดหยามอยู่ในใจ
แต่ละตนเอาแต่นั่งวิจารณ์กันอยู่ที่นี่ ล้วนไม่กล้าออกไปหาผานกู่ด้วยตัวเอง ทำได้เพียงรอให้ผานกู่บุกมาหาถึงที่
เทพมารปฐมภพเงียบงันมาโดยตลอด นั่งสมาธิอย่างสงบ แต่เทพมารฟ้าบุพกาลทั้งหมดล้วนรับรู้ได้ว่ากลิ่นอายของเขากำลังแข็งแกร่งขึ้น
เขาเตรียมรับมือกับผานกู่อยู่!
เทพมารปฐมภพเองก็มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่เช่นกัน เขาเชื่อมาตลอดว่าตนไม่ได้แพ้ผานกู่ จนปัญญาที่สวรรค์ลิขิตชะตาไว้ ผานกู่ครอบครองสมบัติคู่ชีพถึงสามชิ้น หนำซ้ำทุกชิ้นยังเป็นยอดสมบัติที่ผสานพลังมหามรรคฤทธาไว้ด้วย ส่วนตัวเขาในอดีตกาลยุคแรกเริ่มมียอดสมบัติเพียงชิ้นเดียว จะเอาชนะได้อย่างไรเล่า
หงหยวนถ่ายทอดเสียงหาหานเจวี๋ย “สหายเต๋าหาน ร่างจริงของเจ้ายังไม่ตามมาอีกหรือ อยู่ลำพังระวังจะถูกผานกู่สังหาร”
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงตอบกลับ “ข้าซ่อนตัวอยู่ในมรรคาสวรรค์ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็นับเป็นชนรุ่นหลังของผานกู่ เขามีแต่จะเก็บข้าไว้จัดการตอนสุดท้าย”
หงหยวนเงียบไป เรื่องนี้ถูกต้องแล้ว
ในเวลานี้เอง เทพมารตนหนึ่งอุทานขึ้นมา “อริยะเทพอวี๋เจี้ยนยังไม่ตายหรือ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะไปท้าสู้ผานกู่อีกแล้ว!”
เทพมารตนอื่นๆ ก็เปิดปากพูดเช่นกัน
“ก่อนหน้านี้ก็สู้ผานกู่ไม่ได้เลย ตอนนี้ผานกู่แข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่า เหตุใดเขาถึงได้กล้านัก!”
“อริยะเทพอวี๋เจี้ยนก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน”
“คนผู้นี้ยอดเยี่ยมนัก ไม่แปลกเลยที่ตอนนั้นจะกล้าถากถางผานกู่”
“น่าเสียดาย ผานกู่แข็งแกร่งเกินไป”
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกไม่ชอบมาพากล ดูคล้ายว่าจะมีคนคอยช่วยเหลือผานกู่อยู่”
ในไม่ช้าเหล่าเทพมารต่างมองเห็นปัญหา ทุกครั้งที่อริยะเทพอวี๋เจี้ยนโจมตีผานกู่ ผานกู่จะฟื้นฟูได้เสมอ ที่สำคัญคือพละกำลังไม่ตกเลย
ผานกู่เป็นเพียงเทพมารฤทธา อีกทั้งมิได้ครอบครองมหามรรคอื่นเลย แล้วเหตุใดเมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนระดับเดียวกัน ถึงไม่ตายไม่วางวาย พละกำลังไม่พร่องลงเลย
หานเจวี๋ยคิดในใจ ‘ในที่สุดพวกเจ้าก็มองออกสักที!’
ผานกู่มีเทวีตราวินัยให้การสนับสนุน หานเจวี๋ยคิดว่าต้องมีตัวตนเหนือชั้นรายอื่นๆ อยู่เบื้องหลังอีกแน่
ก่อนหน้านี้มิ่งและเผ่ามารบุกตะลุยไปทั่วฟ้าบุพกาล ดวงจิตมหามรรคล้วนไม่สอดมือเข้ายุ่ง ยามนี้ผานกู่โผล่มา คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือมิ่งและเผ่ามาร
ในมิ่งก็มีเทพมารฟ้าบุพกาลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน!
หลายชั่วยามต่อมา
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนก็พ่ายแพ้อีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาพึ่งพากลยุทธ์ของตนหนีรอดไปได้
ความแข็งแกร่งของผานกู่ทำให้เหล่าเทพมารเงียบงันลงอีกครั้ง
เทพมารปฐมภพพลันลืมตาขึ้น กล่าวว่า “จะนั่งรอความตายไม่ได้ พวกเราสมควรลงมือได้แล้ว!”
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ทุกท่าน ตามข้าไปรบกับผานกู่ด้วยกันเถิด!”
เทพมารปฐมภพเอ่ยเสียงขรึม เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา เทพมารทั้งหมดพากันลุกขึ้นยืน
พวกเขากำลังรอประโยคนี้อยู่เช่นกัน!
……………………………………………..