ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 869 อายุห้าล้านปี จอมเทพข่งเซวี่ยพิสูจน์มหามรรค
บทที่ 869 อายุห้าล้านปี จอมเทพข่งเซวี่ยพิสูจน์มหามรรค
“อีกตัวตนหนึ่งคือผู้ใด”
หานเจวี๋ยถาม โจวฝานพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดไป คิดจะทำตัวอมพะนำหรือ
เด็กคนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วจริงๆ!
โจวฝานรับรู้ได้ถึงสายตาไม่พอใจของหานเจวี๋ย จึงรีบตอบว่า “ข้าก็ไม่ทราบขอรับ สรุปก็คือมีตัวตนเช่นนั้นอยู่ ต้องการให้เทพมารอนธการไปต่อกร”
หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด
หรือจะเป็นตัวเขาหลังจากยกระดับสายเลือดแล้ว
หากว่าไม่เหนือไปจากความคาดหมาย อีกหลายล้านปีข้างหน้า สายเลือดเทพมารอนธการของเขาจะยกระดับขึ้น ต้องเกิดผลกระทบแน่นอน
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘อีกตัวตนหนึ่งที่โจวฝานพูดถึง ใช่ตัวข้าหลังวิวัฒนาการสายเลือดหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ใช่]
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
หานเจวี๋ยโล่งใจกับตัวเอง
รอจนเขาวิวัฒนาการแล้ว เขาจะให้บุตรชายคลอดออกมา รั้งตำแหน่งเทพมารอนธการไว้ เช่นนี้ฟ้าบุพกาลก็ไม่มีทางให้กำเนิดเทพมารอนธการตนที่สองขึ้นมาได้
เมื่อไม่มีเทพมารอนธการตนที่สอง ศัตรูตัวฉกาจของเขาก็ลดลงไปอีกหนึ่งราย!
สมบูรณ์แบบ!
ยิ่งคิดหานเจวี๋ยก็ยิ่งมีความสุข แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย
เขาเอ่ยถาม “เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ร้ายกาจขนาดนี้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะควบคุมมันได้ ไม่ได้มีตัวตนเหนือชั้นอยู่เบื้องหลังมันหรอกหรือ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ใด”
เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่สามารถพยากรณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่เกิดขึ้นจากยอดมหามรรคได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“ข้าก็เคยกังวลเช่นนี้ขอรับแต่ตอนนี้ข้าผสานรวมกับเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่แล้ว ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลย อีกอย่างจะเลี่ยงความเสี่ยงได้อย่างไรเล่าขอรับ โอกาสวาสนาใดๆ ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ขอเพียงแข็งแกร่งทรงพลัง ก็ต้องถูกผู้ทรงพลังหมายตาอยู่แล้วขอรับ”
โจวฝานกล่าวอย่างจริงจัง “อาจารย์ วางใจเถอะขอรับ ข้ามีแผนอยู่ในใจแล้ว หากเผชิญปัญหาเดือดร้อนจริงๆ ข้าจะมาหาท่านแน่นอนขอรับ”
เขารับรู้ได้ถึงความห่วงใยของหานเจวี๋ย ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาก่อน
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ามีแผนอยู่ในใจแล้ว เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”
พูดจบ เขาก็สลายแดนความฝัน
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พึมพำว่า “ยังคงเป็นตบะที่สำคัญ”
ต้องรวบรวมชิ้นส่วนอนธการให้ครบโดยเร็ว ให้บุตรชายคนเล็กได้ถือกำเนิดในเร็ววัน เลี่ยงไม่ให้มีคนกลายเป็นเทพมารอนธการได้
….
ท้องนภาสีครามสดใส หมู่เมฆเรียงชั้น แท่นศิลาทรงกลมนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในอากาศ
บนแท่นศิลาแท่นหนึ่ง หานทั่ว อี๋เทียนรวมถึงดวงจิตมหามรรคอีกสามรายยืนเรียงกันอยู่
พวกเขาทั้งหมดมองไปยังทิศทางหนึ่ง รอคอยให้เทพมหาทัณฑ์มาถึง
ผ่านไปสักพักหนึ่ง
แสงสีดำสายหนึ่งร่วงลงมา ร่อนลงตรงหน้าคนทั้งห้า
เสียงของเทพมหาทัณฑ์แว่วออกมาจากแสงสีดำ “ข้าเตรียมการมอบหมายภารกิจอย่างหนึ่งให้พวกเจ้า”
หานทั่วประสานหมัดเอ่ยว่า “ผู้นำดวงจิตโปรดกล่าวมาได้เลย”
สี่คนที่เหลือก็ทำความเคารพเช่นกัน พวกเขาคุ้นเคยกับตำแหน่งห้าเทวทัณฑ์แล้ว หลายปีมานี้ เทพมหาทัณฑ์ปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี ซ้ำยังถ่ายทอดพลังวิเศษให้พวกเขาด้วย สมควรตอบแทนได้แล้ว
“ข้าต้องการให้พวกเจ้าไปเยี่ยมเยือนดวงจิตมหามรรคทั้งหลาย จากนั้นหากพวกเจ้าตรวจพบสิ่งใด แค่รายงานกลับมาก็พอ”
เสียงของเทพมหาทัณฑ์แว่วออกมาอีกครั้ง ห้าเทวทัณฑ์ได้ยินก็ตอบรับทันที
แสงสีดำเลือนหายไป ตั้งแต่ต้นจนจบ เทพมหาทัณฑ์ไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย
พวกหานทั่วหันหลังจากไป
….
ระยะเวลาเกือบสี่แสนปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในวันนี้เอง
แจ้งเตือนแถวแล้วแถวเล่าเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบห้าล้านปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที สร้างชื่อเสียงเทพมารอนธการให้เลื่องลือ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างจากข้อพิพาท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น]
ครั้งนี้ระบบเริ่มเล่นเล่ห์อีกครั้ง เพิ่มรางวัลอีกอย่างเข้ามาในตัวเลือกแรก
แต่น่าเสียดาย หานเจวี๋ยไม่หลงกล
เขาเลือกตัวเลือกที่สองเงียบๆ
ตอนนี้ เขามีชิ้นส่วนมหามรรคแปดชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหกชิ้น!
ผ่านไปอีกสามล้านปี บางทีคุณสมบัติกายดาราอนธการของเขาก็สามารถปรับเปลี่ยนได้แล้ว
หานเจวี๋ยนำศิลาก่อวิญญาณออกมา ผสานรวมกับปราณเทพมารกลุ่มหนึ่ง
ระหว่างที่ฝึกบำเพ็ญในช่วงหลายปีมากนี้ ในที่สุดเขาก็มองเห็นความหวังในการทะลวงขั้นแล้ว
ตอนนี้ โลกอนธการกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเทียบกับฟ้าบุพกาลไม่ได้ แต่ก็ใหญ่กว่ามรรคาสวรรค์หลายเท่า!
ขณะนี้โลกอนธการยังไม่ปรากฏขีดจำกัด ปราณอนธการที่อยู่ด้านในก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พลังยอดมหามรรคของหานเจวี๋ยก็เพิ่มขึ้นตลอด คาดว่าอย่างมากอีกห้าแสนปีก็คงฝ่าขั้นได้
เขาพอใจกับระดับความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของตนยิ่ง
ดูอริยะเทพอวี๋เจี้ยนเถิด จนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ในระดับยอดมหามรรคระยะต้น
หานเจวี๋ยเริ่มเข้าฝันจอมเทพข่งเซวี่ย
หลายหมื่นปีก่อน เขารับรู้ได้ว่าในฟ้าบุพกาลมีใครคนหนึ่งพิสูจน์มหามรรคสำเร็จ เป็นจอมเทพข่งเซวี่ย
นับตั้งแต่หานเจวี๋ยพิสูจน์มหามรรค ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ ในที่สุดก็มีอริยะมหามรรคหน้าใหม่กำเนิดขึ้น เพียงพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าระดับมหามรรคยากเย็นแค่ไหน
ในแดนความฝัน
จอมเทพข่งเซวี่ยลืมตาขึ้น มองเห็นหานเจวี๋ยที่มีไอดำทะมึนอยู่รอบตัว เขาพลันปิติยินดี รีบคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย
เขาลอบตกใจ
แม้ว่าจะพิสูจน์มหามรรคแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการเข้าฝันที่แสนอัศจรรย์ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ก็ยากจะรู้ตัวได้
“ถึงแม้จะค่อนข้างช้า แต่ดีร้ายอย่างไรก็สำเร็จแล้ว”
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้น สุ้มเสียงแฝงความชื่นชม จอมเทพข่งเซวี่ยฟังแล้วละอายใจ
จอมเทพข่งเซวี่ยรีบถามว่า “เจ้าแดนต้องห้าม ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด บัญชามาได้เลยขอรับ!”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ฝึกบำเพ็ญไปก่อนเถอะ ข้าจะเทศนาธรรมให้เจ้า ระดับมหามรรคไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเจ้า”
พอกล่าวจบ เขาเริ่มเทศนามหามรรคต้นกำเนิด
มหามรรคต้นกำเนิดเต็มไปด้วยจินตนาการอัศจรรย์ เมื่อฟังเทศนาธรรมจากเขาล้วนจะได้รับมหามรรคสามพันวิธี จอมเทพข่งเซวี่ยมีมรรควิถีแห่งตนแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนมาสู่มหามรรคต้นกำเนิดได้ สิ่งที่หานเจวี๋ยต้องการคือช่วยให้มรรควิถีของเขาแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นการเทศนาธรรมครั้งนี้จึงไม่ได้แผ่มหามรรคต้นกำเนิดออกไป
การเทศนาธรรมจากระดับยอดมหามรรค ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่เทศนา แต่เป็นการใช้เสียงดึงดูดชักนำเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรค
ไม่นานนักจอมเทพข่งเซวี่ยก็เข้าสู่สภาวะมหามรรค
การเทศนาธรรมในแดนความฝัน หานเจวี๋ยสามารถควบคุมเวลาได้ ดูเหมือนจะผ่านไปนับหมื่นปี แต่ความจริงกลับผ่านไปเพียงวันเดียว
จอมเทพข่งเซวี่ยลืมตาขึ้น แดนความฝันสิ้นสุดลงแล้ว
เขาตื่นเต้นอยู่ในใจ
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการอยู่ระดับใดกันแน่
เขาเป็นอริยะมหามรรคแล้ว ทว่ายังคงถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการดึงดูดเข้าสู่ความฝันได้ง่ายๆ เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงความห่างชั้นระหว่างทั้งสองแล้ว
อีกด้านหนึ่ง หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เริ่มตรวจดูจดหมาย
ในส่วนกฎเกณฑ์แห่งเวลา หานเจวี๋ยไม่สามารถใช้กับตัวเองได้ และไม่สามารถใช้เร่งความเร็วช่วงเวลาของทั่วทั้งมรรคาสวรรค์ได้ ถึงอย่างไรมรรคาสวรรค์ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับมรรคาสวรรค์
ในเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดมีเวลารวมอยู่ด้วย เพียงแต่นิยามแห่งเวลาต่างไปจากที่มนุษย์ธรรมดาคิด เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับพลังแห่งการสรรค์สร้างด้วย ต่อให้ผู้ทรงพลังเร่งความเร็วของอาณาเขต วงจรความเร็วของพลังแห่งการสรรค์สร้างก็ยังคงเดิม ดังนั้นในมุมของผู้ทรงพลังแล้ว ควบคุมเวลาไปก็ไม่มีประโยชน์
เพียงแต่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้พึ่งพาพลังแห่งการสรรค์สร้างแล้ว เวลาน่ากลัวยิ่งนัก
จดหมายที่สั่งสมไว้เป็นระยะเวลาสี่แสนปียังคงมากมายก่ายกองยิ่ง หานเจวี๋ยอ่านอย่างได้อรรถรส
กล่าวโดยสรุปคือ ตอนนี้ฟ้าบุพกาลนับว่าสงบสุขดี ไม่มีสงครามใหญ่
หลังอ่านจดหมายจบ หานเจวี๋ยทอดสายตาขึ้นไปเหนืออาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
ห้วงจักรวาลดาราเงียบวังเวง แต่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สามเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ราวกับแดนเซียน
หานเจวี๋ยยกมือเรียกดวงวิญญาณหนึ่งออกมา
เป็นวิญญาณชิงหลวนเอ๋อร์มารดาของหานทั่ว
หลายล้านปีมานี้ หานเจวี๋ยใช้ปราณอนธการหล่อเลี้ยงวิญญาณของชิงหลวนเอ๋อร์มาตลอด ถึงแม้นางจะอยู่ในสภาวะหลับลึกเสมอมา แต่วิญญาณกลับแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
………………………………………………………………